ตอนที่ 1 บุตรโง่เขลาของเศรษฐีที่ดิน
ซวนลี่รัชสมัยที่แปด ต้นเดือนห้า แสงฤดูใบไม้ผลิจางหาย ดอกไม้หน้าร้อนที่สวยสด
แสงแดดยามเช้าถูกต้นไทรเก่าแก่ภายในจวนที่มีใบไม้อย่างหนาแน่นตัดเป็นชิ้น สั่นไหวอย่างแผ่วเบาตกกระทบลงไปบนพื้น และมีเศษส่วนที่ลอดผ่านหน้าต่างมาตกกระทบบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน
เป็นใบหน้าขาวบอบบางที่ดูอ่อนวัย เพียงแค่สายตาคู่นั้นที่มองออกไปยังดอกไม้ป่าที่บานสะพรั่งอยู่นอกหน้าต่าง สายตาระหว่างหัวคิ้วนั้นดูคมชัดขึ้น เมื่อเห็นพวงดอกไม้ป่าโน้มลงมา
นี่คือชีวิตใหม่… ฟู่เสี่ยวกวนฟื้นมาได้สองวันแล้ว เขารื้อฟื้นความทรงจำทั้งหมดของเจ้าของร่างนี้แล้ว แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่ามันไร้สาระอย่างถึงที่สุด แต่ที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ก็ได้บอกกับเขา ว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง
“ก็ดี…”
“ทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว ถือเสียว่า… พ้นทุกข์แล้ว”
เขายิ้มน้อย ๆ ริมฝีปากยกโค้ง ดวงตาคมราวกับดาบถูกซ่อนเร้น และสงบราวกับสายน้ำ ความล้ำลึกนั้น บุตรโง่เขลาอายุ 16 ปีของเศรษฐีที่ดินไหนเลยเล่าจะมีสายตาซ่อนเร้นเยี่ยงนั้น
นี่คือสิ่งที่ชุนซิ่วเองก็รู้สึกว่าแปลก
ชุนซิ่วรู้สึกได้ว่าตั้งแต่คุณชายฟื้นขึ้นมาก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นใครอีกคน ในยามที่คุณชายลืมตาตื่นขึ้นมา ชุนซิ่วก็ถูกสายตานั้นบังคับให้ถอยเท้าไป 3 ก้าว หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก
ในขณะนั้น นางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้องใต้ดินน้ำแข็ง
ในขณะนั้น นางเกือบจะหยุดหายใจ
สายตาที่คมราวกับมีดนั้นถูกส่งมาทางนาง กรีดคอของนาง หลังจากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
นางอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ ยามกลับไปมองฟู่เสี่ยวกวนที่นอนอยู่บนเตียงอีกครา ก็พบว่าดวงตาคมนั้นได้ปิดลงแล้ว ราวกับ… เหมือนเมื่อครู่ไม่มีอันใดเกิดขึ้น หรือเป็นเพราะนางเองที่กังวลเกี่ยวกับคุณชายมากเกินไป
ชุนซิ่วเดินถืออ่างน้ำเข้ามาจากระเบียงทางเดิน สองวันมานี้คุณชายฟื้นตัวไม่น้อย ดวงตาคู่นั้นไม่ได้มองมาทางนางอย่างฟาดฟันอีกต่อไป เพียงแค่หลังจากที่ผ่านเรื่องราวนั้นมา เหมือนว่าคุณชายจะเติบใหญ่ขึ้นมาเสียมาก จนทำให้นางรู้สึกไม่คุ้นชินเล็กน้อย
นั่นมิใช่เรื่องที่นางสนใจ เพียงคุณชายปลอดภัย… ทุกอย่างก็ยังคงดี
……
……
อ่างน้ำถูกวางไว้บนชั้นวาง ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามา ยื่นมือหยิบผ้าขนหนูจากชั้นวาง
ชุนซิ่วชะงักค้างไปอึดใจ ปากเล็กขยับเล็กน้อย “คุณชายเจ้าคะ…บ่าว…”
“ข้าทำเอง ขอบคุณ”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวตามอำเภอใจ จากนั้นเขานำผ้าขนหนูจุ่มลงในอ่าง ก็เห็นปากเล็กของชุนซิ่วอ้ากว้างขึ้นเรื่อย ๆ
เขายิ้ม ก่อนจะบิดผ้าขนหนูและเช็ดใบหน้า
มือเล็กของชุนซิ่วคู่นั้นกำชุดกระโปรงเอาไว้แน่น นางเอ่ยถามด้วยความกังวล “คุณชายเจ้าคะ บ่าวทำได้ไม่ดีหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่ปัญหาของเจ้า เป็นปัญหาของข้า… ข้ายังไม่คุ้นชินเท่าใดนัก”
ชุนซิ่วยังไม่เข้าใจ การกระทำที่สบาย ๆ ของคุณชายทำให้นางไม่คุ้นชินอย่างมาก โดยเฉพาะคำว่าขอบคุณ ซึ่งทำให้นางเครียดขึ้นไปอีก
หลังจากที่รับใช้คุณชายมานานนับสิบปี ชีวิตประจำวันของคุณชายเป็นหน้าที่ของนางทั้งสิ้น หากทำผิดพลาดบ้างถึงแม้จะไม่ถูกทุบตี แต่อาการชักสีหน้านั้นก็มีให้เห็นไม่น้อย แต่ในวันนี้คุณชายกลับเอ่ยปากขอบคุณออกมา เกิดอะไรขึ้นกับเขากัน
ในฐานะที่คุณชายนั้นเป็นบุตรเพียงคนเดียวของเศรษฐีที่ดินตระกูลชั้นนำแห่งเมืองหลินเจียง นามฟู่เสี่ยวกวนนั้นกังวานก้องไกล
ย่อมไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ทางด้านวรรณกรรมหรือด้านวรยุทธ์ แต่เป็นเพราะคุณชายฟู่โปรยเงินอย่างใจป้ำ ทั้งยังมีชื่อเสียงว่าเป็นคุณชายที่กำเริบไม่รู้จักกาลเทศะ
เมาหัวราน้ำตั้งแต่อายุ 12 ปี เข้าหอนางโลมตั้งแต่อายุ 13 ปี อายุ 14 ปีประกาศศักดาจะตบแต่งกับฝานตั่วเอ๋อร์นางโลมแห่งหออี้หง อายุ 16 ปีหรือก็คือเมื่อสองเดือนก่อนหน้า เขาพาพรรคพวกมารวมตัวกันที่หอหลินเจียง แต่ไม่ได้คาดคิดถึงว่าจะมีภัยพิบัติเข้ามาถึงตัว
ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินอยู่ในเมืองหลินเจียงก็ได้พบกับบุตรีเสนาบดีกรมคลังต่งชูหลานจากเมืองหลวงที่ผู้คนต่างพูดถึง เป็นเรื่องแน่นอนว่ายามนั้นฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้ว่านางนั้นคือต่งชูหลาน
นางสวมชุดสีขาว คลุมด้วยผ้าคลุมหน้า นั่งเงียบ ๆ อยู่ที่ริมหน้าต่างของหอหลินเจียง เบื้องหน้ามีกาน้ำชาต้มเดือด และมีถ้วยชา 2 ใบวางอยู่ ราวกับกำลังรอใครอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนที่ดื่มจนเมามาย และรีบร้อนจะไปห้องสุขา ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นออกมาจากห้องส่วนตัว เพียงหันศีรษะไป ก็ได้พบกับต่งชูหลาน
ต้องโทษสายลมราวฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านมาทางหน้าต่าง
ยามนั้นฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้สนใจอันใด ในยามที่เขากำลังผละสายตามาจากร่างของต่งชูหลาน ทันใดนั้นสายลมก็พัดผ่านมา และพัดผ้าคลุมของต่งชูหลานให้เปิดออก
สายตาของฟู่เสี่ยวกวนหยุดอยู่ที่ใบหน้าของต่งซูหลาน ทันใดนั้นเขาลืมอาการปวดเบาไปทันที
ณ เวลานั้นหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น ช่วงเวลานั้นเขาถึงขั้นหลงลืมฝานตั่วเอ๋อร์แห่งหออี้หง เวลานั้น… เขาเดินเข้าไปหา
“แม่นาง ข้าจะตบแต่งเจ้าเป็นภรรยาของข้า”
ต่งชูหลานตื่นตระหนก นางพบเจอคุณชายมามากหน้าหลายตา แต่เป็นครั้งแรกที่พบเจอผู้ที่เถรตรงเยี่ยงนี้
แน่นอนว่านางมิได้หันไปมองฟู่เสี่ยวกวน นางรินชามา 1 ถ้วย เป่าแล้วจิบมันเบา ๆ หลังจากนั้นจึงลุกขึ้น ในยามที่จะกำลังจะออกไป ฟู่เสี่ยวกวนกลับขวางนางเอาไว้อย่างไม่รักชีวิต จนถึงขั้นยื่นมือออกไป หมายจะจับแขนของนางเอาไว้
“ปึง…”
“อ๊าก…”
“ตูม…”
เสียงดังสามครา
ต่งชูหลานมิได้มองออกไปข้างนอกหน้าต่าง นางเพียงเอ่ยกับองครักษ์ข้างกายเสียงเรียบว่า “ตรวจสอบเสีย หากมีเรื่องเลวร้ายก็ส่งมอบคนให้กับทางการจัดการ หากไม่มีเรื่องเลวร้ายอันใด… เยี่ยงนั้นเม็งหลาง เจ้าก็สั่งสอนเขาเพียงเล็กน้อย อย่าให้ถึงชีวิต หมดอารมณ์… ไว้นัดหมายอาจารย์ฉินอีกครั้ง และเปลี่ยนไปที่สำนักศึกษาหลินเจียง”
……
…..
ฟู่เสี่ยวกวนอันธพาลหลินเจียง ถูกคนโยนลงมาจากชั้นสองของหอหลินเจียง ทันทีที่พ่อค้าฟู่บิดาของฟู่เสี่ยวกวนได้ทราบเรื่องก็รู้ว่าบุตรเพียงคนเดียวของเขาได้เตะแผ่นเหล็กเข้าให้แล้ว
ในฐานะบุคคลที่มีฐานะที่สุดของหลินเจียง พ่อค้าฟู่ย่อมเป็นคนกว้างขวาง แต่ครั้งนี้ หลิวจือต้งนายอำเภอกลับไม่ได้มาพบเขา ต่อจากนั้นเขาจึงได้รับรู้ฐานะของฝ่ายตรงข้ามผ่านหลิ่วซานเย่ผู้ช่วยของหลิวจือต้ง
เขาจึงเตรียมการสามประการขึ้นมาทันพลัน
ประการแรก เขาเขียนจดหมายแล้วมอบให้กับพ่อบ้านใหญ่หวงเวย ให้เขาเร่งรีบไปยังเมืองหลวงจินหลิง น่านน้ำแม่น้ำฉินหวายแห่งจินหลิงมีเรือหรูหราที่นามว่าหงซิ่วจาว
ประการต่อมา เขานำภาพวาดสะสมที่ล้ำค่าออกมาจากห้องอักษร ให้อาจารย์เฉินอาจารย์ของตระกูลฟู่นำไปที่สำนักศึกษาหลินเจียง เพื่อให้อาจารย์ฉินตรวจสอบความถูกต้อง
หลังจากนั้นเขาจึงวานให้ฮูหยินรองนำเครื่องประดับล้ำค่าที่นำมาจากเมืองหลวงไปเยี่ยมเยียนฮูหยินของนายอำเภอ
หลังจากที่เตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็ไปหาฮูหยินใหญ่แต่เพียงผู้เดียว หรือก็คือสุสานของมารดาฟู่เสี่ยวกวน เมื่อจุดธูปแล้ว ก็นั่งอยู่ตรงนั้นจนฟ้ามืด
ในช่วงเวลาที่กังวลใจ พ่อค้าฟู่ได้ข้ามผ่านช่วงเวลาสองเดือนที่ทรมานที่สุดในชีวิตไป
ภายในระยะเวลาสองเดือน ฟู่เสี่ยวกวนถูกคุมขัง จนกระทั่งถึงคืนวันที่สิบ
ค่ำคืนนั้นท้องฟ้ามืดมิดและลมพัดแรง พ่อค้าฟู่เกิดรู้สึกหวาดผวาขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ในยามที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก เขาไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป เขานำองครักษ์หลายคนไปยังเรือนของฟู่เสี่ยวกวน
ต้นไทรยังคงอยู่ดังเก่า ไฟในห้องมีสีเหลืองนวล ชุนซิ่วและองครักษ์อีก 10 คนนอนอยู่ที่พื้น แต่บุตรชายของเขากลับหายไปแล้ว
ทุกคนในจวนฟู่ต่างถูกส่งออกไป พ่อค้าฟู่นั่งอยู่บนธรณีประตู และเอ่ยกำชับขึ้นมาอย่างง่ายดาย “หากมีชีวิตต้องเห็นคน แม้ตาย… ก็ต้องเห็นศพ”
จวนฟู่ที่ยิ่งใหญ่ในเวลานี้เหลือเพียงแค่เขาเพียงคนเดียว
“สุดท้ายข้าก็ทำร้ายเขา…”
……
…..
หลังจากผ่านยามเที่ยงคืนของคืนนั้น ข้ารับใช้ของจวนฟู่ก็พบฟู่เสี่ยวกวนที่ลำธารด้านหลังของภูเขา
หลังจากที่ท่านหมอเซี่ยตรวจอาการของฟู่เสี่ยวกวนโดยถี่ถ้วน ก็ถอนหายใจออกมา และกล่าวกับพ่อค้าฟู่ว่า “คงมีแต่… ปาฏิหาริย์ มิฉะนั้น… ก็รอจัดงานศพเถอะ”
ใบหน้าที่อวบอูมของพ่อค้าฟู่แดงก่ำขึ้นมาทันพลัน เขาคว้าคอเสื้อของท่านหมอเซี่ยไว้ และยกเขาขึ้นอย่างรุนแรง และเอ่ยถามอย่างดุดัน “ลูกชายของข้า แท้จริงแล้วเขาตายแล้วหรือไม่”
“ไม่ ไม่ ไม่…”
พ่อค้าฟู่ปล่อยมือ และเดินปรี่ไปที่เตียงและคำรามลั่น “ นำหมอเมืองหลินเจียงมาทั้งหมด พาพวกเขามาหาข้าทั้งหมด ”
ไม่มีใครรู้ ฟู่เสี่ยวกวนคนเดิมนั้นได้ตายไปแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนที่อยู่ในตอนนี้ จึงกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยงไร ก็ได้มีชีวิตขึ้นมาแล้ว
ลมหายใจที่ติดขัดอยู่ในลำคอพ่อค้าฟู่จึงได้หายใจได้คล่องในที่สุด
เขาไปที่สุสานของฮูหยินใหญ่อีกครั้ง จุดธูป และนั่งอยู่ทั้งคืน
“เจ้าบอกว่า หากชีวิตนี้ข้าไม่ได้ขึ้นเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ลูกชายเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยก็เพียงพอแล้ว”
“ แต่เขา… กลับไม่ฝักใฝ่หาความรู้เลย ”
“ลูกชายไปเข้าเรียน เขาก็นอนหลับ ข้าให้เขาอ่านตำรา เขาก็ปวดหัว… เพื่อเขา ข้าจึงเปิดสำนักศึกษาจวนฟู่ เชิญชวนบุคคลมีชื่อเสียงจากทั้งเมืองหลินเจียง ถึงกระทั่งเชิญชวนอาจารย์ฉินแห่งสำนักศึกษาหลินเจียงมาด้วย แน่นอนว่าอาจารย์ฉินไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ได้เชิญชวนอาจารย์หลี่มาแล้ว ”
“แต่ก็ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีอาจารย์ท่านใดอยู่ได้เกิน 10 วัน สุดท้ายต่างก็ยอมแพ้กันไป”
“สอบชิงตำแหน่งบัณฑิต ข้าให้เขาไปเข้าร่วมมาแล้ว ได้รับผู้มีพรสวรรค์… ใช้เงินไปทั้งหมด 5,000 เหรียญ… เงินมิใช่เรื่องใหญ่อันใด ถือว่าเป็นชื่อเสียง”
“ข้าไม่ได้วางแผนให้เขาเข้าไปเป็นขุนนางที่หน่วยงานใด ข้าเพียงอยากให้เขามีความรู้ มีตัวตนเป็นผู้มีความสามารถ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหล่าบัณฑิต เพื่อลบล้างความอัปยศของเขานี้… เพียงเพื่อจะได้ดูแลธุรกิจครอบครัวที่ยิ่งใหญ่นี้ต่อไปได้”
“เป็นเวลาหลายปี ข้าเสาะหาทรัพย์สินเพื่อเขา เพื่อให้เขาได้ร่ำรวยไปทั้งชีวิต ถึงแม้เจ้าลูกคนนี้จะทำเรื่องชั่วร้ายเล็ก ๆ น้อย ๆ มาไม่น้อย แต่อย่างไรก็ไม่กล้ากระทำผิดร้ายแรง ข้าเองก็โล่งใจ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเยี่ยงนี้”
“หลังจากที่ผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว ข้าหวังว่าเขาจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาบ้าง”
……
…..
ฟู่เสี่ยวกวนได้พบกับบิดาของเขาแล้ว
หลังจากที่ล้างหน้าล้างตา ชุนซิ่วก็ยกอาหารเช้าเข้ามา พ่อค้าฟู่ตามหลังมาติด ๆ เพราะชุนซิ่วกล่าวว่าคุณชายลุกลงจากเตียงได้แล้ว มอง ๆ ไปแล้วมีสีหน้า…ไม่เลว
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองพ่อค้าฟู่ นัยน์ตามีแววสับสนเล็กน้อย
พ่อค้าฟู่มองฟู่เสี่ยวกวน นัยน์ตานั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่
“ลูกชาย นั่นเจ้าจะลุกขึ้นมาทำอันใด รีบกลับไปนอนที่เตียงเถิด ชุนซิ่วจะป้อนเจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนยังไม่ทันได้พูดอะไร พ่อค้าฟู่ก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ท่านหมอจางกล่าวว่า อาการบาดเจ็บที่ศีรษะของเจ้า ต้องได้รับการพักผ่อน… อือ ส่วนอื่น ๆ นั้นไม่ได้มีปัญหาที่ใหญ่อะไร หลายวันที่ผ่านมา พ่อมานั่งคิด เจ้ามีใจให้แก่ฝานตั่วเอ๋อร์ เช่นนั้นพ่อจะไถ่ตัวนาง แต่นางจะเป็นได้แค่อนุเท่านั้น ก่อนที่จะเจ้าจะตกแต่งภรรยา ก็ให้นางมาคอยปรนนิบัติเจ้า เป็นเยี่ยงไร”
พ่อค้าฟู่ไม่ได้บอกเล่าคำพูดที่ท่านหมอจางกล่าวกับเขาอย่างระมัดระวัง ท้ายทอยถูกกระแทกเข้าอย่างรุนแรง ต่อแต่นี้ไป เป็นไปได้ว่าที่จะมีอาการตกค้างที่ตามมา หรือก็คือ…อาจจะกลายเป็นคนโง่
ในตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะไม่มีอาการตกค้าง นั่นเองก็เป็นสาเหตุที่พ่อค้าฟู่ต้องรีบมาดู
ฟู่เสี่ยวกวนผงะไปชั่วครู่ แล้วจึงหัวเราะขึ้นมา
“…เรื่องนั้นมิใช่เรื่องเร่งรีบอันใด ข้าเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนัก เพียงแค่อ่อนแอลงเพียงเล็กน้อย” เขามองชุนซิ่วที่ยกชามโจ๊กเข้ามาและกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ “ตระกูลของเรา มิได้ขาดแคลนเงินทองใช่ไหม”
พ่อค้าฟู่ชะงักไป “ไม่ได้ขาดแคลน”
“เยี่ยงนั้นขออาหารที่มันดีกว่านี้ได้หรือไม่” ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปที่โจ๊ก
“ท่านหมอจางกล่าวไว้ว่า หากไม่ได้รับการบำรุง ก็ทานอาหารอ่อนจะดีกว่า จากที่ท่านหมอกล่าวไว้ก็ถูก”
“สิ่งนี้ไม่มีคุณค่าทางอาหาร ข้าอยากทานอะไรที่มันดีกว่านี้ อย่างเช่น…ไก่ตุ๋นโสม”
ชุนซิ่วถึงได้รู้ว่าก่อนหน้านี้คงเป็นนางที่ตาฝาดไปเอง แท้จริงแล้วคุณชายนั่นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
← ตอนก่อน