ตอนที่ 1 พี่น้อง

ปฏิญญาค่าแค้น

กระท่อมถูกสร้างตามแนวลาดเชิงเขาและมีรั้วไม้ไผ่ยื่นออกไปยังลำห้วยด้านล่างของคูน้ำ ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ดอกไม้บนภูเขาต่างพากันเบ่งบานสะพรั่งอยู่ทั่วทุกหนแห่งในหมู่บ้านสร้างสีสันและความสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้สัญลักษณ์แห่งสันติภาพคือผู้คนที่ดำรงอยู่อย่างสงบสุข หมอกควันที่ล่องลอยเป็นสิ่งบ่งบอกให้รู้ว่านั่นคือที่พักอาศัยของผู้คน 

 

 

มีหนึ่งหมู่บ้านซึ่งอยู่ภายใต้เขตเฟิงอาน ชื่อว่าเจี้ยนซี หมู่บ้านดังกล่าวมีผู้อาศัยอยู่ไม่เกินยี่สิบถึงสามสิบครัวเรือน ผู้คนที่นั่นใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย อยู่ติดบริเวณเนินเขาสีเขียวชอุ่มและมีธารน้ำหนึ่งสายจากภูเขาที่คอยหล่อเลี้ยงไปรอบหมู่บ้าน ช่างเป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามยิ่ง พื้นที่กว้างด้านหน้าของหมู่บ้านคือทุ่งหม่อนและท้องนา ร่มเงาจากทุ่งหม่อนและท้องนาแสนกว้างใหญ่ มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ความเป็นจริงที่ว่า หมู่บ้านเจี้ยนซี ทุกครอบครัวล้วนมีที่ดินทำกินอันอุดมสมบูรณ์ ชายทำนาและหญิงทอผ้า นับได้ว่าเป็นหมู่บ้านที่แข็งแรงแห่งหนึ่งภายใต้เขตเฟิงอาน แต่ทว่ากลับมีหนึ่งครอบครัวซึ่งแตกต่างออกไปนั่นก็คือครอบครัวแซ่หลินซึ่งอยู่ทางตะวันออกสุดของหมู่บ้าน ทำไมเช่นนั้นหรือ ก็ผู้คนในหมู่บ้านเจี้ยนซีส่วนมากจะใช้แซ่จินไม่ก็แซ่เฉิน มีเพียงครอบครัวหลินเท่านั้นที่มาจากที่อื่น พวกเขาปราศจากที่ดินอันอุดมสมบูรณ์จึงต้องประทังชีวิตด้วยการเลี้ยงหมู 

 

 

เช้ามืด ไก่โต้งของครอบครัวจินฟู้กุ้ยของหัวหน้าหมู่บ้านเพิ่งจะขันออกมาเพียงเสียงแรก ขณะที่ครอบครัวหลินซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกสุดของหมู่บ้านนั้นได้ก่อไฟจนควันฟุ้งโขมงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

 

 

หลินหลันนำโจ๊กซึ่งผ่านการต้มแล้ววางลงบนเตาถ่านขนาดเล็กและเคี่ยวอย่างช้าๆ แล้วจึงเปลี่ยนไปนึ่งซาลาเปา อีกทั้งยังนำของจากตู้กับข้าวที่หลงเหลือจากเมื่อคืนนำออกมาอุ่นให้ร้อน ท่าทางวุ่นวายไม่เว้นว่างทำให้นางดูเหมือนหญิงสาวที่แสนขยันขันแข็งและเป็นมืออาชีพประจำบ้าน ทว่าน่าเสียดายที่มืออาชีพประจำบ้านกลับไม่ใช่หลินหลัน มืออาชีพตัวจริงนั้นคือผู้ที่ยังคงนอนหลับบนเตียงขณะนี้ต่างหากล่ะ 

 

 

ในห้องผู้เป็นเจ้าของบ้านซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกสุด ผู้หญิงที่มีใบหน้ากลมมนกำลังใช้มือหนึ่งของนางจับศีรษะเอาไว้ และอีกมือหนึ่งกำลังยื่นเลยออกมาจากเตียงนอนเพื่อรั้งผู้ชายที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าอยู่ด้านข้าง ริมฝีปากที่ค่อนข้างหนากำลังบ่นพึมพำ ดวงตาง่วงปรือ และกำลังส่งเสียงออดอ้อนเว้าวอน “นอนต่ออีกหน่อยเถอะน่า! นี่ยังไม่สว่างเลยนะ!”  

 

 

ชายหนุ่มหลุดยิ้มออกมา ดึงฝ่ามือนั่นที่วางอยู่บนแผงอกของเขาออก “ยังเช้างั้นหรือ! เม่ยเหม่ย [1] ทำอาหารเช้าจนเกือบจะเสร็จแล้ว” 

 

 

หญิงสาวเบ้ปากกระจับยกสูงขึ้น “ครอบครัวของเราไม่ได้ต้องไปเก็บลูกหม่อนหรือปลูกต้นหม่อนเสียหน่อย แล้วจะตื่นเช้าไปทำไมกัน”  

 

 

ชายหนุ่มสวมใส่เสื้อแขนสั้นตัวเก่าท่อนบน “ร่างกายเจ้าไม่ไหวก็ยังไม่ต้องลุกหรอก อีกประเดี๋ยวข้าจะนำอาหารเช้าเข้ามาให้ วันนี้ข้าจะต้องเข้าไปภูเขาซักรอบ ตาเฒ่าหัวหงอกวานให้ข้าช่วยไปจับห่านสองตัวทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ลูกคนที่สองของเขากำลังจะแต่งงาน”  

 

 

ทันใดนั้นหญิงสาวก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา นางลุกขึ้นนั่งแล้วพาดมือบนไหล่ของชายผู้นั้น และกองเนื้อนุ่มทั้งสองบนหน้าอกของนางก็แนบชิดเข้ากับแผ่นหลังของชายผู้นั้น พลางถูไปถูมา “เรื่องของผู้อื่นเจ้ากลับจำได้ชัดเจนเสียจริงนะ ทีเรื่องของน้องสาวตนเองกลับไม่สนใจ น้องสาวเจ้าปีนี้ก็อายุสิบหกปีเข้าไปแล้ว ในหมู่บ้านนี้หญิงสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางก็พากันทยอยไปสู่ขอหมั้นหมายคนอื่นเขาหมดแล้ว ก็มีแต่น้องสาวเจ้า ช่างเลือกยิ่งนัก จะรอบๆ หรือใกล้เคียงในหมู่บ้าน ก็ไม่มีผู้ใดซักคนที่เข้าตานาง หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปอีก คงได้เป็นแม่นางแก่ๆ พอถึงตอนนั้นแล้วคนดีๆ ที่ไหนจะยังอยากต้องการนาง คนอื่นที่เขาพอรู้ ก็ว่านางมักใหญ่ใฝ่สูง แต่ที่ไม่รู้ต่างพากันคิดว่าพวกเราเป็นพี่ชายพี่สะใภ้ประสาอะไรไม่รู้จักใส่ใจเรื่องราวของนางสาวตัวเอง จะว่าไปอีกอย่าง ทุกวันนี้พวกเราก็ใช้ชีวิตกันอย่างขัดสน เดี๋ยวพอลูกลืมตาเกิดมา ก็เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งปากท้อง เช่นนี้ก็จะยิ่งยากลำบากเข้าไปอีก”  

 

 

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล แต่ว่า…ก่อนแม่ตายได้สั่งเสียไว้ว่าเรื่องการแต่งงานของน้องสาวให้น้องสาวเป็นคนตัดสินใจด้วยตนเอง”  

 

 

“ข้าคิดว่าตอนนั้นโผโผะ [2] คงป่วยจนเลอะเลือนไปหมดแล้ว ผู้หญิงที่ไหนจะไม่เชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่และคำพูดของแม่สื่อ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินหญิงสาวบ้านไหนจะตัดสินใจเรื่องการแต่งงานด้วยตัวเอง พูดออกไปไม่กลัวคนเขาหัวเราะเยาะแย่หรือ แล้วถ้านางไม่ยอมแต่งงาน พวกเราก็จะเลี้ยงดูนางไว้แบบนี้ตลอดไปเลยงั้นสิ?” นางยิ้มออกมาอย่างเย็นชา 

 

 

ชายหนุ่มที่มือกำลังร้อยหูเข็มขัดกลับหยุดชะงักลง แล้วเอ่ยขึ้น “ในช่วงสองปีมานี้ต้องขอบคุณน้องสาวข้าที่ขึ้นไปบนภูเขาอยู่บ่อยๆ เพื่อเด็ดสมุนไพรยามาเพิ่มเติมไว้สำหรับใช้ในครอบครัวเรา”  

 

 

หญิงสาวไม่พอใจและหยิกเข้าไปที่เอวของชายผู้นั้นอย่างแรงหนึ่งที “เช่นนั้นเจ้าก็หมายความว่า ข้าเป็นคนเดียวในบ้านที่วันๆ ไม่ทำอะไรเลยเช่นนั้นหรือ”  

 

 

ชายหนุ่มนิ่งเงียบ ความจริงก็เป็นเช่นนั้นล่ะ เจ้าแต่งเข้ามาก็สามปีแล้ว ไม่เห็นว่าวันวันเจ้าจะทำงานทำการอะไรซักอย่าง 

 

 

“ข้า…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เจ้าคิดมากไปแล้ว” ชายคนนั้นพูดออกไป 

 

 

ฝ่ายหญิงเปลี่ยนจากหยิกเป็นทุบตี ตุบตุบตุบ เสมือนกำลังตีกลอง พลางกรนด่าออกไป “เจ้ามันเป็นคนไร้จิตสำนึก ตระกูลเหลาหลินของเจ้าที่นาก็หามีไม่ ที่ดินก็ไม่มี มีแต่หญิงแก่ที่เจ็บป่วยออดแอด กับเด็กสาวที่วันๆ ไม่ทำอะไรเลย รอบๆ บริเวณใกล้เคียงในหมู่บ้านนี้ จะมีหญิงนางไหนอยากแต่งกับเจ้าบ้างหากไม่ใช่ข้า แล้วดูเจ้าตอนนี้ยังไม่รู้จักสำนึกอีกหรือ ข้าแต่งกับเจ้าแล้วเจ้าทำอะไรให้ข้าบ้างรึ ชุ่ยฮวาของหมู่บ้านเราหน้าตาน่าเกลียดกว่าข้าเสียอีก สินทรัพย์เดิมก็ไม่ได้มีมากมายเช่นข้า แต่ดูนางสิ ข้าเห็นนางเมื่อไม่นานมานี้ นางสวมสร้อยข้อมือเงินสองเส้นในข้อมือ แล้วข้ามีอะไรบ้างล่ะ แต่ละวันข้าได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายกับเจ้าแล้วหรือไง ตราบใดที่เจ้าไม่ได้เป็นหัวหน้าครอบครัว เจ้าก็จะไม่รู้ถึงความยากลำบากของครอบครัว น้องสาวของเจ้าหาของเล็กๆ น้อยพวกนั้นเข้ามาเพิ่มเติม ของที่เอาไว้ให้นางกินคนเดียวยังไม่พอยาไส้เลยด้วยซ้ำไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสื้อผ้าถุงเท้า เมื่อน้องสาวของเจ้าแต่งงานในอนาคต พี่สะใภ้อย่างข้าก็จะต้องนำสินทรัพย์เดิมไปสมทบตบแต่งเป็นสินทรัพย์เดิมของนาง ข้า…ทำไมชีวิตข้าถึงได้ลำบากขนาดนี้…ชีวิตนี้ข้าคงไปไม่รอดแล้วแน่ๆ …” หญิงสาวร้องห่มร้องไห้ขณะที่ด่าทอและทุบตีลงไปบนหน้าท้องของนาง “เจ้าลูกชายผู้น่าสงสารของข้า! เจ้าช่างมาเกิดผิดที่ผิดทางเสียแล้ว และยังมีพ่อที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้อีก แม่ขอโทษเจ้าด้วย…”  

 

 

เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าหญิงสาวโมโหโวยวายขึ้นมาเช่นนั้น ใบหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เขารีบคว้ามือของนางเอาไว้และเอ่ยอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงต่ำลง “เจ้าไม่ร้องนะ ไม่ร้อง ระวังร้องไห้จะส่งผลไม่ดีต่อร่างกายเจ้า ข้าผิดเอง เป็นข้าที่ผิดเองพอใจไหม อย่าทำให้ลูกต้องตกใจอีกเลย”  

 

 

หญิงสาวกลับยิ่งร้องไห้โฮหนักขึ้น เสียงก็ค่อยๆ ดังยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  

 

 

ชายหนุ่มจนปัญญาหมดหนทาง แนวป้องกันในหัวใจพังทลายลง “เจ้าว่าอย่างไรข้าล้วนยึดตามเจ้าตกลงไหม ล้วนตามใจเจ้าทั้งสิ้น”  

 

 

เสียงของนางเงียบลงทันที ดวงตาคู่เล็กเปล่งประกายแหลมคม ไม่เห็นหยาดน้ำตาอีกแม้แต่น้อย ชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่ม “นี่เจ้าพูดเองนะ”  

 

 

ชายหนุ่มพยักศีรษะตอบกลับ “ข้าพูดเอง”  

 

 

หญิงสาวกลับพึงพอใจขึ้นมาอีกครั้ง ดึงชายหนุ่มเข้ามาและแนบชิดไปบนเรือนร่างเขา แล้วเอ่ยกระซิบกระซาบ “ข้าก็แค่หวังดีต่อน้องสาวเจ้า ในเมื่อนางไม่ถูกใจชาวไร่ชาวนา เช่นนั้นพวกเราก็ต้องช่วยหาที่ไกลออกไปให้นาง แต่ว่าพวกเราวันๆ ก็เดินวนอยู่แต่ในภูเขานี้ จะรู้จักไปได้ซักกี่คนเชียว เพราะฉะนั้นข้าก็เลยขอให้แม่สื่อหวังช่วยแนะนำให้หน่อย”  

 

 

ชายหนุ่มได้ยินผู้เป็นเมียเอ่ยอย่างมีเหตุมีผล ใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มขึ้นมา “ตกลง เรื่องนี้ต้องรบกวนเจ้าด้วยแล้วกัน”  

 

 

ประตูไม้ซอมซ่อที่ดังเอี๊ยดอยู่ข้างหลัง ขณะนั้นเองตะหลิวในมือของหลินหลันก็สะบัดโบกขึ้นลงไปมา แม้จะเอ่ยพูดก็ไม่ได้หันหน้ามา “เกอ [3] รออีกเดี๋ยวนะ ใกล้จะเสร็จแล้ว” 

 

 

“ไม่ต้องรีบ ยังเช้าอยู่เลย!” หลินเฟิงหยิบกะละมังไม้และตักน้ำสองกระบวยเพื่อล้างหน้า 

 

 

แวบหนึ่งที่หลินหลันแอบมองผู้เป็นพี่ชาย เมื่อครู่ที่พี่สะใภ้ร้องห่มร้องไห้ด่าทอนางล้วนได้ยินทั้งสิ้น บ้านทั้งหลังก็มีเพียงแค่สามห้องเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นไม้กระดานบางๆ จะไปสามารถกั้นเสียงอะไรได้ จึงมักได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน รวมทั้งเสียงจังหวะเตียงยวบหยาบในกลางดึกก็ด้วย ทั้งหมดล้วนทะลุเข้าหูนางทั้งสิ้น 

 

 

นับแต่ปีที่แล้วที่นางปฏิเสธการแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของพี่สะใภ้ พี่สะใภ้จึงไม่ค่อยจะลงลอยกับนาง และมักจะหาปัญหามาให้นางปวดหัวอยู่สม่ำเสมอ นางไม่สนเหตุสนผลอะไรทั้งนั้น และเรื่องมันน่าตลกตรงที่ว่า ลูกพี่ลูกน้องของพี่สะใภ้เป็นคนพิการ ให้นางแต่งงานกับคนพิการเนี่ยนะ ไม่มีทาง ต่อมาพี่สะใภ้ก็แนะนำอีกสองสามคนให้แก่นาง ไม่เป็นคนที่ขี้ริ้วขี้เหล่เกินคนก็เป็นประเภทขี้เกียจสันหลังยาว ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะผลักนางลงไปในหลุมไฟ หากไม่ใช่เพราะท่านแม่เห็นธาตุแท้ของพี่สะใภ้ จึงได้ทิ้งคำสั่งลาเรื่องการแต่งงานนั้นไว้ให้นางเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเองแล้วล่ะก็ ตอนนี้หากนางไม่ใช่อยู่ในหลุมไฟก็คงจะต้องถูกบังคับให้ออกจากบ้านไปแล้ว 

 

 

หมดคำจะพูด! ข้ามเวลาทะลุมิติมานักต่อนักล้วนอยู่ในรูปลักษณ์และฐานะที่ดีเยี่ยม ชีวิตก่อนหน้านางเป็นถึงบุตรสาวของตระกูลผู้ร่ำรวยมั่งคั่ง และเห็นได้ชัดว่าโชคได้หมดสิ้นไปแล้ว เมื่อครั้งข้ามเวลาทะลุมิติมาไม่ทันได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน สุดท้ายแล้วจึงมาตกอยู่ในหมู่บ้านเจี้ยนซีของครอบครัวเหลาหลินซึ่งยากจนที่สุด มิอาจปฏิเสธได้เลยว่า พระเจ้าทรงยุติธรรมแล้วล่ะ ทำให้เจ้าอิ่มหนำไปกับความมั่งคั่งทางวัตถุแล้วก็ทำให้เจ้าขาดแคลนความมั่งคั่งทางจิตวิญญาณ โลกก่อนนั้นบิดามารดารู้จักหาเงินมาให้นางใช้สอยอย่างไม่รู้หมด ทว่ากลับมอบความรักและการดูแลเอาใจใส่ได้เพียงน้อยนิด แต่ทว่าในโลกนี้แม้จะใช้ชีวิตแบบกินแกลบ และสวมใส่เสื้อผ้าที่เสมือนผ้ากระสอบ แต่กลับมีมารดาและพี่ชายที่รักนางมากยิ่งนัก นางจึงยอมรับแต่โดยดี ถึงจะยากจนก็เอาวะ! ครอบครัวหนึ่งที่มีความสามัคคีและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ด้วยความรู้และประสบการณ์ที่นางสั่งสมมาถึงยี่สิบเอ็ดศตวรรษ การจะทำให้ทั้งครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก ทว่าน่าเสียดายที่โชคชะตาฟ้าลิขิตช่างขัดต่อความปรารถนาของคนนัก ไม่รอให้นางได้ลงมือสร้างบ้านหลังสวยงามขึ้นมา ผู้เปลี่ยนชะตากรรมของครอบครัวเหลาหลินก็ปรากฏตัวขึ้นมาเสียแล้ว 

 

 

สามปีก่อนพี่สะใภ้ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ หลินหลันอดไม่ได้ที่จะแสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมากต่อระบบการแต่งงานแบบโบราณขึ้นมาอีกละลอก การบงการชีวิตจากบิดามารดาและคำพูดของแม่สื่อ มันช่างไม่ปกติเอาเสียเลย เชื่อคำพูดของแม่สื่อไม่สู้เชื่อว่าโลกนี้มีผียังจะดีเสียกว่า โดยเฉพาะแม่สื่อหวังผู้นั้น ตอนแรกก็เป็นแม่สื่อหวังที่มาถึงบ้าน พูดพรรณนาจนสวยหรู นำพี่สะใภ้จอมขี้เกียจบรรยายลักษณะเสียเหมือนกับหญิงสาวที่ขยันทำงานขันแข็งและมีน้ำจิตน้ำใจ นอกจากนั้นยังมีคุณธรรมควบคู่กับความงาม ผู้เป็นพี่ชายจึงถูกล่อลวงให้ใจหวั่นไหว แม่ก็เลยรีบตัดสินใจทันทีว่า…ลูกสะใภ้ของข้าก็คือนาง เหยาจินฮวา กระทั่งนางย้ายเข้ามาในบ้าน จึงได้รู้ว่าโดนหลอกเข้าให้ จะเสียใจก็สายเกินไปเสียแล้ว! ระยะเวลาเพียงสามปี ผู้เป็นแม่ที่สุขภาพอ่อนแอเป็นทุนเดิมก็ถูกปั่นหัวโกรธโมโหจนตายไปแล้ว พี่ชายผู้ซื่อสัตย์ก็รู้จักแต่การไกล่เกลี่ยเพื่อยุติปัญหา ทักษะการอดทนของเขานั้นยังดีเสียยิ่งกว่าทักษะการยิงธนูเสียอีก หลินหลันรู้ดีว่านางสามารถอยู่ในบ้านหลังนี้ได้อีกไม่นานแล้ว หลินหลันออกแรงสะบัดตะหลิวไปมา ทั้งตะหลิวและกระทะสัมผัสกัน เสียงดังฉ่าฉ่า นางจะไม่มีวันปล่อยให้อนาคตถูกกำหนดโดยผู้อื่นง่าย  

 

 

หลังจากหลินเฟิงล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วก็นำอาหารเช้าไปให้เมียของเขาก่อน แล้วจึงกลับมากินข้าว หลินหลันได้ตักโจ๊กไว้ให้เขาแล้วรวมถึงตะเกียบก็เตรียมไว้เรียบร้อย หลินเฟิงหยิบชามขึ้นมาซดอย่างมีความสุข จากนั้นมองไปยังหญิงสาวซึ่งกำลังอยู่ในท่าทีที่ยุ่งวุ่นวาย ในใจจึงรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากผู้เป็นแม่จากไป ในครอบครัวก็เป็นน้องสาวคนนี้ที่คอยดูแลพวกเขา ต้องขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเก็บยา ต้องทำงานบ้าน พอพูดขึ้นมา เป็นเมียเขาเองที่ขี้เกียจเกินไปจริงๆ แม้เขาจะว่ากล่าวนางไปหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งเขาก็ไม่สามารถเอาชนะนางได้ เพื่อให้เรื่องราวไม่บานปลาย ก็ทำได้เพียงมองดูน้องสาวของเขาต้องทนลำบากอีกหน่อย แต่ก็หวังว่าในอนาคตข้างหน้าผู้เป็นน้องสาวจะสามารถแต่งานกับคนดีๆ ซักคน จะได้ไม่ต้องลำบากขนาดนี้ 

 

 

หลินหลันตักผักดองที่เพิ่งอุ่นร้อนเสร็จขึ้นมา กลับเห็นว่าผู้เป็นพี่ชายกำลังมองนางอยู่ ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความรู้สึกผิดและความเสียใจอย่างสุดซึ้ง หลินหลันเข้าใจความนึกคิดของพี่ชายเป็นอย่างดี จึงจงใจเข้าไปสบตาเขา “เกอ มัวมองอะไรอยู่”  

 

 

หลินเฟิงรีบหลบสายตาปกปิดแล้วเอ่ยออกไป “ไม่มีอะไร โจ๊กที่น้องสาวพี่ทำมันช่างหอมอร่อยเสียจริง”  

 

 

หลินหลันยิ้มขื่นในใจ “งั้นข้าตักให้พี่อีกชามแล้วกันนะ” หลินหลันคว้าเอาชามไปตักอีกสองกระบวยใหญ่ๆ  

 

 

หลินหลันเปิดผ้าดิบลายดอกไม้สีน้ำเงินออกแล้วนำหมันโถวไม่กี่ชิ้นและน้ำเทใส่หม้อลงไป สองด้านม้วนขึ้นเรียบร้อยแล้วผูกตรงกลางเป็นปม พลางเอ่ยขึ้น “เกอ หมันโถวของพี่ข้าห่อเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ข้างในยังมีผักดองแล้วก็น้ำก็ใส่ไว้ให้เต็มแล้วด้วย เอาไว้ดื่มตอนพี่กระหายน้ำ ห้ามดื่มน้ำในภูเขาเป็นอันขาด น้ำนั่นมองดูใสสะอาด แต่ที่จริงแล้วในนั้นมีแมลงตัวเล็กตัวน้อยปะปนอยู่มากมาย ถ้าดื่มมากเกินไป ในท้องเกิดมีแมลงเข้าไปอยู่ล่ะก็ลำบากแย่แน่” นับตั้งแต่ที่ผู้เป็นแม่ตายจากไป หน้าที่ดูแลพี่ชายก็กลายเป็นงานของหลินหลัน เมียจอมขี้เกียจที่ยังอยู่ในห้องนั้นไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ตอนที่ได้เงินเท่านั้นแหละ ทันทีที่ได้เห็นเหรียญทองแดง ดวงตาทั้งสองข้างก็ลุกวาวและนางก็รีบวิ่งปรี่เข้ามาพร้อมกับส่งเสียงวี้ดว้าย 

 

 

“เหม่ยจื่อ [4] หากเจ้ามีคนที่เจ้าชอบ จะต้องบอกข้านะ ข้าในฐานะพี่ชายของเจ้า ก็มีเจ้าคนนี้เป็นน้องสาวเพียงผู้เดียว ไม่อยากให้เจ้าต้องเสียใจ” หลินเฟิงเป็นห่วง จึงพูดประโยคในใจออกไป แม่สื่อหวังผู้นั้น เขาเองไม่ก็ค่อยอยากจะเชื่อถืออีกแล้ว 

 

 

บนใบหน้าของหลินหลันแสดงความเขินอาย เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เกอ ข้ารู้แล้วน่า”  

 

 

“พี่สะใภ้เจ้าที่จริงก็แค่เป็นห่วงเจ้า เพียงแต่ว่าสายตาของนาง…” หลินเฟิงอยากจะอธิบายอีกซักนิด เพื่อว่าผู้เป็นน้องสาวจะได้ไม่เข้าใจผิด 

 

 

“เกอเสียงเบาหน่อยสิ ไม่กลัวว่าพี่สะใภ้จะได้ยินเข้าแล้วทะเลาะกับพี่อีกเหรอ” หลินหลันรีบลดเสียงต่ำลงเพื่อเตือนเขา ดวงตาและหัวใจของผู้ที่อยู่ห้องนั้นเล็กเสียยิ่งกว่ารูเข็ม หากนางได้ยินพี่ชายของนางพูดว่านางสายตาไม่ดี จะต้องอาละวาดสร้างปัญหาอีกเป็นแน่ 

 

 

หลินเฟิงรีบหดหัวลง มองกลับไปที่ประตูด้วยความหวาดระแวง และไม่กล้าพูดต่ออีก จึงหันกลับไปตั้งหน้าตั้งตากัดหมันโถวคำโต 

 

 

หลินหลันลอบส่ายหัว เหยาจินฮวาหวังดีต่อนางงั้นรึ ให้ตายก็ไม่เชื่อหรอก ก็มีแต่คนซื่อๆ อย่างพี่ชายที่ยังเชื่ออยู่เช่นนั้น หากไม่ใช่เกรงว่าพี่ชายของนางซึ่งเป็นคนกลางจะลำบากใจจนทำตัวไม่ถูก นางเองก็คงขับไล่พี่สะใภ้หญิงจอมขี้เกียจผู้นี้ออกไปตั้งนานแล้ว 

 

 

 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] 妹妹 เม่ยเหม่ย แปลว่า น้องสาว 

 

 

[2] 婆婆 โผโผะ แปลว่า แม่สามี 

 

 

[3] เกอ(哥)คือ พี่ชาย 

 

 

[4] 妹子 เหม่ยจื่อ แปลว่า น้องสาว