อันหลินยืนอยู่บนดาดฟ้าของตึกสูง สายลมหวีดหวิวโชยมาปะทะหน้า
เขาเหลียวมองข้างหลัง บริเวณนั้นมีผู้ชายหน้าตาชั่วร้ายกลุ่มหนึ่ง กำลังล้อมเข้ามาอย่างช้าๆ
“หึหึหึ ไอ้เด็กเวร ดูสิว่าคราวนี้แกจะหนีไปไหนได้อีก มีปัญญาแกก็บินขึ้นฟ้าสิ!” ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าถือท่อนเหล็กไว้ ใบหน้ามีความโหดเหี้ยมปรากฏให้เห็น
อันหลินรู้ว่าตอนนี้เขาไม่มีโอกาสหลบหนีอีกต่อไปแล้ว แต่พอนึกถึงจุดจบของการถูกจับตัวกลับไป ร่างกายของเขาก็อดสั่นเทาไม่ได้ ชีวิตแบบนั้นไม่ใช่ชีวิตที่คนจะอยู่ได้เลย!
ทำยังไงดี ทำยังไงดี ถ้าเราบินได้ก็คงดี…
ในใจอันหลินคิดแบบนี้ จากนั้นพายุหมุนก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ม้วนตัวเขาจนลอยขึ้น
“เอ๊ะๆๆ”
อันหลินตกใจ เขาเหาะได้แล้วจริงๆ ถูกลมพัดจนตัวลอยขึ้นมาแล้ว!
“บัดซบ เขาเหาะได้จริงๆ เหรอ” ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าเห็นฉากนี้ ก็ตะลึงพรึงเพริด
อันหลินถูกพายุหมุนพาเหาะออกจากดาดฟ้าต่อหน้าต่อตาทุกคน
จากนั้น ลมก็หายไป เขาเริ่มดิ่งลงพสุธา…
“อ๊ากกกกก…ช่วยด้วย!”
สายลมพัดกรรโชก สภาวะไร้น้ำหนักจากการตกลงมาฉับพลันแบบนั้น ทำอันหลินตกใจจนกรีดร้องออกมา
จะตายแล้ว! จะตายแล้ว! จะตายแล้ว!
อันหลินร้องตะโกนในใจไม่หยุด
ความรู้สึกกลัวความตายจะมาเยือนปกคลุมไปทั่วร่างแบบนั้น ทำให้ทุกอณูของร่างกายเขาสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้
บนดาดฟ้า ชายฉกรรจ์มองอันหลินตกลงไปด้วยความงุนงง จากนั้น เขาก็หันไปหาทุกคนแล้วพูดช้าๆ ว่า “เจ้านั่นน่ะ เจ้าเด็กนั่นไม่ได้ถูกฉันบีบให้กระโดดลงไปนะ ฆาตกรคือ ‘ลม’ พวกแกต้องเป็นพยานให้ฉัน…”
ผู้คนข้างหลังยืนเหม่ออยู่ที่เดิม ลมเกิดขึ้นประหลาดเหลือเกิน พูดออกไปจะมีคนเชื่อไหม อย่าว่าแต่คนอื่น พวกเขาเห็นกับตายังไม่อยากจะเชื่อเลย!
อันหลินมองพื้นดินที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้ของตน จะจบลงอย่างน่าสมเพชแบบนี้
ในตอนนี้เอง จู่ๆ กลุ่มแสงสีขาวลึกลับก็ปรากฏขึ้น จากนั้นห่อหุ้มเขาไว้ทั้งตัว
แรงต้านอากาศอันน่าสะพรึงก็เกิดขึ้นทันที ต่อมาเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งรถไฟเหาะ ดิ่งลงข้างล่างสุด จากนั้นก็หมุนเป็นวงกลมแล้วพุ่งสูงขึ้นฟ้า
“อ๊ากกกกกก…”
อันหลินกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง หลังร่างกายของเขาเหาะขึ้นฟ้าแล้ว ก็ตกลงบนดาดฟ้าตึกอีกครั้ง
สภาวะที่แรงต้านเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างรุนแรง กับความรู้สึกที่ความเป็นความตายสลับสับเปลี่ยนกันแบบนั้น ทำให้เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะ จากนั้นก็อาเจียนออกมาอย่างน่าผิดหวัง
“นี่ เจ้าหนุ่ม ดีขึ้นบ้างหรือยัง” ในตอนนี้เอง เสียงอันเลือนรางก็ดังขึ้นข้างหูอันหลิน
เขาเงยหน้าขึ้น พบว่าเป็นชายชราคนหนึ่งกำลังมองตัวเองด้วยความรักใคร่เอ็นดู
ด้านหลังชายชรา ผู้ชายโฉดชั่วที่มาตามจับเขาพวกนั้น ต่างก็เป็นลมล้มพับอยู่บนพื้นแล้ว
ผมเผ้าหนวดเคราของชายชราล้วนเป็นสีขาว ดูโดดเด่นสะดุดตา ไอเซียนสีทองห้อมล้อมร่างกาย ลักษณะท่าทางบริสุทธิ์ผุดผ่อง
พอเห็นฉากนี้ อันหลินก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว พล็อตเรื่องนับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามาในใจ
นิยาย เอนิเมะ ภาพยนตร์…
พล็อตเรื่องต่างๆ นานาเริ่มผุดขึ้นในหัวของเขา จุดเริ่มต้นของห้วงความฝันทั้งปวง ก็คือฉากที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่หรือไง!
ตุบ!
อันหลินก้มหัวคำนับอย่างแรง พูดน้ำตาคลอเบ้า “ท่านเซียน ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผม!”
ชายชราที่ถูกอันหลินขานเรียกว่าท่านเซียน ลูบเคราสีขาวเบาๆ ส่งยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “เมื่อครู่ร่ายมนตร์พลาดไปหน่อย ทำหนุ่มน้อยตกใจ จะว่าไปทำไมคนพวกนี้ถึงตามล่าหนุ่มน้อยล่ะ”
อันหลินได้ฟังก็ชะงัก ร่ายมนตร์พลาดงั้นเหรอ ที่แท้เมื่อกี้ที่เขาถูกลมพัดจนตัวลอยเป็นฝีมือของท่านเซียนเองเหรอ แต่ไม่ว่ายังไงท่านเซียนก็ช่วยชีวิตเขาไว้ หลังได้ยินคำถามของท่านเซียน ความอัดอั้นมหาศาลก็ล้นทะลักในใจ เขาเอ่ยปากพูดว่า
“เรื่องเป็นแบบนี้ หลังแม่ของผมจากไป พ่อก็ติดการพนัน”
“เขาเล่นพนันจนเสียบ้าน แถมยังติดหนี้หลายล้านไม่มีปัญญาคืน แล้วเขาก็หนีเอาตัวรอดไปคนเดียว!”
“กว่าผมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงหัวได้ไม่ง่ายเลย คราวนี้เจ้าหนี้กลับมาหาผม บอกให้ผมใช้หนี้แทนพ่อ…”
“เงินตั้งหลายล้าน! ผมจะเอาอะไรไปคืน”
“แฟนสาวก็บอกว่าผมติดหนี้ก้อนโต จากไปโดยที่ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา”
“ผมถูกเจ้าหนี้จับไปใช้แรงงาน ลั่นวาจาว่าหากพ่อผมยังไม่ใช้หนี้ ผมก็อย่าหวังจะไปไหนได้”
“แต่ว่า…งานแบบนั้นไม่ใช่งานที่คนทำ! ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้วางแผนหลบหนี จากนั้น เจ้าหนี้ก็ส่งคนมาตามจับผม ถึงได้มีเรื่องก่อนหน้านี้เกิดขึ้น”
อันหลินเล่าน้ำหูน้ำตาไหล รู้สึกว่าชีวิตมืดแปดด้าน
ชีวิตที่ต้องชดใช้หนี้ตลอดไป จะมีอะไรต่างจากปลาเค็ม[1]
หลังเซียนท่านนั้นฟังประสบการณ์ของอันหลินจบ ในดวงตาก็ฉายแววเห็นอกเห็นใจ เขาพูดช้าๆ ว่า “เจ้าหนุ่ม ชีวิตของเจ้าช่างรันทดนัก… เอาอย่างนี้ เจ้ากับข้าพบกันเป็นพรหมลิขิต อีกอย่างข้าเห็นเจ้ามีคุณสมบัติดีเยี่ยม สู้ให้ข้ามอบ ‘ระบบ’ ชุดนี้แก่เจ้า ให้เจ้าได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเจ้าดีกว่า”
อันหลินได้ยินก็สั่นเทิ้มทั้งตัว ตอนแรกเขาคิดว่ามีวาสนากับท่านเซียน ก็ถือเป็นความโชคดีอย่างล้นพ้นแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าท่านเซียนจะฟุ่มเฟือย จะมอบระบบให้ตั้งแต่พบหน้ากันแบบนี้!
“ท่านผู้เฒ่าเซียน ท่านดีกับผมมากเหลือเกิน! ผมไม่รู้ว่าเลยว่าจะตอบแทนท่านยังไง!” อันหลินมองชายชราคนตรงหน้าด้วยน้ำตาคลอเบ้า ซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
ท่านเซียนยิ้มอย่างมีเมตตา ชูฝ่ามือขึ้นฟ้า จากนั้นกลุ่มแสงสีขาวบริสุทธิ์อย่างยิ่งดวงหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของเขา
“เจ้าหนุ่ม มานี่ รับกลุ่มแสงดวงนี้ไปประคองไว้” ท่านเซียนพูดกับอันหลิน
พอได้ยินดังนั้น อันหลินก็กำกลุ่มแสงไว้อย่างอดรนทนไม่ไหว
กลุ่มแสงอยู่ในมือเขา แผ่กระแสอุ่นออกมาเป็นสายๆ ลำแสงที่สาดออกมาจากกลุ่มแสงอ่อนโยนยิ่งกว่า
“เริ่มต้นการถ่ายโอนระบบ” ท่านเซียนพูดอย่างเชื่องช้า
คำพูดของท่านเซียนเพิ่งจบลง ลำแสงของกลุ่มแสงสีขาวก็สว่างโชติช่วง!
ขณะนั้นเอง ท่านเซียนก็บอกอันหลินว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้ารีบปฏิญาณ ปฏิญาณน้อมรับระบบเทพสงคราม ไม่ทอดทิ้งไม่แยกจากกันชั่วชีวิต!”
ระบบเทพสงครามหรือ
ช่างเป็นชื่อที่ห้าวหาญจริงๆ!
แต่ทำไมคำสาบานถึงเหมือนคำปฏิญาณในพิธีแต่งงานเลยล่ะ
ไม่ทันได้ใคร่ครวญ อันหลินก็รีบร้อนพูดว่า “ผมขอปฏิญาณว่า จะน้อมรับระบบเทพสงคราม ไม่ทอดทิ้งไม่แยกจากกันชั่วชีวิต!”
คำปฏิญาณของอันหลินเพิ่งจบลง กลุ่มแสงก็พุ่งเข้าไปในตัวเขาดังซิ่วทันที ประสานเป็นหนึ่งกับเขา
ต่อมา ก็มีเสียงดังขึ้นในสมองของเขา “ตรวจสอบโฮสต์เป็นร่างกายกฎแห่งสวรรค์วิเวก สอดคล้องกับคุณสมบัติ ระบบเริ่มการประสาน!”
อันหลินตื้นตันมาก ตื้นตันจนอยากร้องไห้
เดิมทีคิดว่าชีวิตของตัวเองหม่นหมอง ไม่คิดเลยว่าจะเกิดการพลิกผัน ได้ชีวิตของระบบปลั๊กอินมาในเวลานี้!
ท่านเซียนก็ตื้นตันมากเหมือนกัน แถมยังตื้นตันจนร้องไห้แล้ว!
เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า น้ำตาไหลพราก คุกเข่าลงกับพื้น สุดท้ายก็หัวเราะทั้งน้ำตาแล้วพูดว่า “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าไสหัวไปได้สักที ในที่สุดข้าก็ได้ชีวิตใหม่แล้ว!”
“ท่านผู้เฒ่าเซียน เป็นอะไร ไม่เป็นไรใช่ไหม” เห็นชายชราท่าทางแปลกๆ อันหลินก็ถามด้วยความเป็นห่วง
ท่านเซียนได้สติกลับมา ปาดน้ำตาทิ้ง รู้ว่าตัวเองลืมตัวเสียกิริยา
“ไม่เป็นไร ข้าแค่นึกถึงอดีตที่ไม่อาจหวนคิดถึง…”
“เจ้าหนุ่ม ได้ระบบไปแล้ว เจ้าต้องพยายามเข้านะ” ท่านเซียนพูดอย่างจริงใจ
“อืม ผมจะพยายาม!” อันหลินพยักหน้ารัวๆ
“เช่นนั้น เจ้าไปฝึกบำเพ็ญเซียนที่สำนักไหม ข้ารู้จักสำนักที่ไม่เลวเลยทีเดียวแห่งหนึ่ง” ท่านเซียนพูดต่อ
ไปบำเพ็ญเซียนที่สำนักเหรอ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธ!
“อยากสิ ผมอยากไปมากเลย!” อันหลินไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ ก็เอ่ยปากตอบทันที
ท่านเซียนได้ยินก็ยิ้มอย่างปลื้มใจ ล้วงกระดาษสีทองออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้อันหลิน จากนั้นพูดว่า “นี่เป็นจดหมายรับรองจากข้า หากเจ้ามีมัน จะเข้าไปเรียนในสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนได้ ก้าวเข้าสู่เส้นทางการบำเพ็ญเซียนอย่างเป็นทางการ”
อันหลินตกใจ ที่แท้เส้นทางบำเพ็ญเซียนมังกรผงาดฟ้านี้[2] ท่านเซียนจัดเตรียมไว้ให้ตัวเองแล้ว!
เขารับจดหมายรับรองที่ท่านเซียนให้ตัวเองมา แล้วมองท่านเซียนอย่างซาบซึ้ง
“ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่าเซียน มีนามว่าอะไร”
“นามข้าหรือ…ไม่พูดดีกว่า” ท่านเซียนลูบหัวอันหลินเบาๆ ใบหน้าแสดงความเห็นใจ
“ข้าต้องไปแล้ว แล้วพบกันใหม่นะเจ้าหนุ่ม”
ท่านเซียนโบกมืออำลาอันหลิน จากนั้นก็เหาะเหินขึ้นชั้นฟ้าไป
“ท่านเซียนเดินทางปลอดภัยนะ!” อันหลินโบกมือลาท่านเซียนที่เหาะขึ้นฟ้าด้วยความซึ้งใจ
เสียงหัวเราะของท่านเซียนแว่วมาจากฟากฟ้า เสียงหัวเราะนั่นสบายอารมณ์ยิ่งนัก ปล่อยตัวปล่อยใจเป็นที่สุด เสมือนระบายความโกรธแค้นจากความอยุติธรรมทั้งชาติออกมา
ทำไมเซียนท่านนี้ถึงดีใจขนาดนี้ล่ะ รู้สึกเหมือนดีใจกว่าเราเสียอีก
อันหลินเกาหัว ทำหน้าไม่เข้าใจ
ในตอนนี้เอง เสียงผู้หญิงก็ดังขึ้นในจิตสำนึกรู้ของอันหลิน “สวัสดี”
เสียงผู้หญิงไพเราะน่าฟัง ราวกับเสียงสวรรค์ ทำเขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
นี่เป็นเสียงของระบบหรือ อันหลินฉงนสนเท่ห์
ขณะนั้นเอง ก็มีหน้าจอปรากฏขึ้นในสมองของเขา
หน้าจอเป็นสีเทา มีแค่ตัวหนังสือไม่กี่ตัวปรากฏขึ้นด้านบน ‘ระบบเทพสงครามจะถูกเปิดใช้งานเมื่อเข้าสู่แผ่นดินบรรพกาล’
แผ่นดินบรรพกาลคืออะไร
หรือว่า…
อันหลินนึกถึงจดหมายรับรองที่ท่านเซียนให้ แล้วเขาก็คลี่กระดาษสีทองในมือออกด้วยความคาดหวังเต็มอก
ต่อมา เขาพบว่าในกระดาษสีทองไม่มีเนื้อหาอะไรเลย มีแค่รอยมือที่ยุบลงไปเล็กน้อย
อันหลินไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ถือโอกาสวางมือของตัวเองลงบนกระดาษ ประสานกับรอยมืออันนั้น
จู่ๆ กระดาษสีทองก็สว่างโชติช่วง อันหลินเปล่งเสียงด้วยความตกใจแค่ทีเดียว ร่างกายก็ถูกลำแสงสีทองกลืนหายไป
“อ๊าก…!”
อันหลินรู้สึกโลกหมุนขึ้นมาชั่วขณะ วิสัยทัศน์การมองเห็นแปรเปลี่ยนจากมืดสนิท เป็นสว่างไสวอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็พบว่า ร่างของตัวเองโผล่มากลางนภา เริ่มดิ่งลงพสุธาอีกครั้ง
อันหลินสัมผัสกับความรู้สึกของการกระโดดตึกอีกครั้ง ความรู้สึกเจ็บแสบเกินบรรยายแบบนั้น ไม่ว่ากี่ครั้งเขาก็อยากจะร้องไห้อยู่ดี
ตูม
เขาตกลงบนพื้นอย่างจัง โชคดีที่ตัวเขามีแสงทองปกคลุม ทำหน้าที่ลดแรงกระแทก ถึงช่วยรักษาชีวิตน้อยๆ ของเขาไว้ได้
“นี่เป็นวิธีเคลื่อนย้ายเหรอ ป่าเถื่อนเกินไปหรือเปล่า!” อันหลินนอนคว่ำบนพื้น บ่นด้วยความไม่พอใจ
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก อยากดูสักหน่อยว่าที่นี่ที่ไหน
จากนั้น เขาก็ได้เห็นฉากที่ยากจะลืมเลือนไปชั่วชีวิต
เสาประตูลายมังกรสีขาวสูงร่วมร้อยจั้ง[3]สองเส้น ตั้งตระหง่านท่ามกลางท้องฟ้า บนแผ่นป้ายสลักอักษรลึกลับที่เขาอ่านไม่ออก
หลังประตู มีวังนับพันนับหมื่น มองไม่เห็นที่สิ้นสุด
ก้อนเมฆหลากสีล่องลอยรอบๆ วัง สัตว์เทพเจ้านานาชนิดบินร่อนกลางนภา เป็นทัศนียภาพของที่อยู่อาศัยเซียนอันตระการตา
อันหลินยืนเหม่ออยู่ที่เดิม ใบหน้ามีแต่ความตกตะลึง
ที่แท้บนโลกใบนี้ ก็มีแดนเซียนอยู่จริงๆ!
เรามาโผล่ที่แดนเซียนเหรอ… อันหลินพยายามสงบสติอารมณ์ ให้ตัวเองใจเย็นลง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาเห็นผู้หญิงสวมชุดนักพรตคนหนึ่งเดินมา จึงรีบเข้าไปทักทายหมายอยากรู้สถานการณ์
“สวัสดี พี่สาวเซียน” อันหลินโบกมือให้หญิงคนนั้น
เมื่อหญิงหน้าตาสะสวยคนนั้น เห็นอันหลินโบกมือให้ จึงเดินเข้ามาหา
อันหลินเห็นดังนั้นก็ถามอย่างตื่นเต้นว่า “พี่สาวเซียนคนสวย ไม่ทราบว่าที่นี่ที่ไหน ผมเพิ่งเคยมาครั้งแรก ยังไม่ค่อยรู้จักที่นี่มากเท่าไหร่”
พอได้ยินคำพูดของอันหลิน หญิงคนนั้นก็แสดงสีหน้าแปลกใจ จากนั้นก็พูดว่า “จีหลี่กูลู”
“หา คุณว่าอะไรนะ” อันหลินไม่เข้าใจ
หญิงคนนั้นแสดงอาการเช่นเดียวกันอันหลิน พูดว่า “จีหลี่กูลูวาเลียจีหลี่”
อันหลินงุนงงขึ้นมาทันที เธอพูดอะไรกันแน่
การคาดเดาอันน่ากลัว ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา
“พี่สาวเซียน คุณพูดภาษาจีนกลางได้ไหม” เบ้าตาของอันหลินเปียกชุ่มเล็กน้อย
“กูลูกูลูวาจีจีจี” หญิงงามยกมือเท้าสะเอว เกิดมีน้ำโหขึ้นมาบ้างแล้ว
เสร็จกัน คุยไม่รู้เรื่อง
เธอกำลังพูดอะไรกันแน่ ฉันฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด!!!
คราวนี้อันหลินตะลึงงันอย่างสิ้นเชิง เขายืนอยู่ที่เดิมด้วยสายตาเหม่อลอย ในใจคิดเพียงอย่างเดียวว่า ‘อะไรกัน ไม่เหมือนที่ในนิยายว่าไว้นี่นา ทั่วโลกควรจะพูดภาษาจีนกลางไม่ใช่หรือไง…’
สุดท้าย อันหลินก็ปล่อยโฮ
ฟังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ จะบำเพ็ญเซียนได้ยังไง
คนอื่นเริ่มต้นจากขี้แพ้ แต่เขาเริ่มต้นจากความโง่เหรอเนี่ย!
…………………………..
[1] ปลาเค็ม (咸鱼) คนที่ไร้ความฝัน ขี้แพ้ ไร้ความสามารถ
[2] มังกรผงาดฟ้า (龙傲天) เป็นศัพท์สแลงที่ใช้แพร่หลายในอินเทอร์เน็ต มีความหมายเชิงเสียดสีตัวละครที่เก่งเกินไป เหนือธรรมชาติ
[3] จั้ง (丈) หน่วยวัดความยาวของจีน 1 จั้ง เท่ากับ 3.333 เมตร