หลิงหลานรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่าเวลานี้ดูเหมือนดวงตาของเธอจะมีปัญหาเลยได้แต่อาศัยความรู้สึกเท่านั้น เธอเหมือนกับถูกใส่อยู่ในถังน้ำอุ่นใบหนึ่งที่ปิดผนึกไว้ รอบด้านคือน้ำ บางครั้งก็เหมือนกับมีคนกำลังเคลื่อนย้ายมันจนเธอสั่นโคลงเคลง…
หรือว่าเธอยังไม่ตาย? โรงพยาบาลวางเธอลงไปในสารอาหารเหลวเพื่อฟื้นฟูร่างกายเหรอ
เธอยังไม่ทันได้ตรึกตรองให้ชัดเจนก็หมดสติลงไปอีกครั้ง จมสู่ท่ามกลางความมืดมิด
ไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งและยังคงอยู่ในของเหลวอุ่นๆ คราวนี้เวลาที่ได้สตินานกว่าครั้งแรกนิดหน่อย
ครั้งนี้เธอสามารถได้ยินเสียงบางอย่าง เพียงแต่เธอเหมือนถูกกั้นโดยกำแพงนับชั้นไม่ถ้วนทำให้ได้ยินอะไรไม่ชัดเจน เธออยากทำความเข้าใจสภาพของตัวเอง แต่น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถขยับตัวได้ เธอจึงได้แต่อาศัยเสียงบางอย่างมาใคร่ครวญ ทว่าเธอยังไม่ทันขบคิดอะไรออกมาก็สิ้นสติไปอีกครั้ง
บ้าเอ๊ย! ให้เวลามากหน่อยไม่ได้หรือไง หลิงหลานทนไม่ไหวประท้วงขึ้นมาก่อนที่จะหมดสติไป
ราวกับว่าการประท้วงของหลิงหลานได้ผล ระยะเวลาที่หลิงหลานรู้สึกตัวก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมีอยู่วันหนึ่งที่เธอรู้สึกว่าตัวเองสามารถขยับได้
เธอถูกขังอยู่นานมากย่อมต้องพยายามออกแรงเตะต่อย แต่น่าเสียดายที่เธอขยับไม่กี่ทีก็รู้สึกเหนื่อยมากและอยากนอนหลับอีก
แบบนี้ไม่ได้นะ ฉันจะอ่อนแอขนาดนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะทนรับความเจ็บปวดผิดมนุษย์มนาพวกนั้นได้ยังไงกัน…ว่าไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานมานานแล้วสินะ หรือว่าความเจ็บปวดจะกำเริบขึ้นตอนที่ฉันไม่ได้สติเท่านั้น? หลิงหลานพลันรู้สึกว่าการที่เธอหมดสติไปดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีเช่นกัน
อย่างไรก็ตามหลิงหลานไม่ใช่หญิงสาวที่ชอบหลีกหนีปัญหา ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่อาจทนรับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสทุกวันมาตลอดยี่สิบสี่ปีได้ เธอปลุกจิตใจให้ฮึกเหิมและเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายที่แพทย์แผนจีนชราผู้หนึ่งสอนให้เธอ หลังจากที่ช่วยดูแลอาการป่วยของเธอตั้งแต่ที่เข้าโรงพยาบาลทหาร
ถึงแม้ว่าเธอจะฝึกฝนมาได้สิบกว่าปีและไม่เคยสัมผัสได้ถึงการกำเนิดของลมปราณอะไรขึ้นเลย แต่ทุกครั้งที่ฝึกฝนเสร็จ ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงในร่างกายก็จะลดลงไปมาก เรี่ยวแรงในการอดทนดีขึ้นเล็กน้อย แน่นอนว่าบางทีนี่อาจจะเป็นแค่การปลอบใจตัวเอง เป็นการเข้าใจผิด อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรมันก็มอบพลังประคับประคองให้เธอฝึกฝนต่อไป
คราวนี้เธอฝึกฝนจนกระทั่งหมดสติไป เมื่อหลิงหลานตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เธอขยับมือเท้าก่อนและพลิกตัวทีหนึ่งถึงค่อยรับรู้สภาพร่างกายของตัวเอง
ความรู้สึกนี้ทำให้เธอตะลึงงันไป เนื่องจากเธอสัมผัสได้ถึงลมปราณที่ไม่เคยรู้สึกถึงมาก่อน มันดูแฟนตาซีอย่างยิ่ง หรือว่าเธอจะเป็นอัจฉริยะสวรรค์สร้างจริงๆ แค่ตายปลอมๆ หนึ่งครั้งก็ทำให้เส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตู[1]ทั้งสองเส้นเปิดออก จากนั้นก็กลายเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธจักร?
หลิงหลานคิดไม่ออกว่าทำไมเธอฝึกฝนสิบกว่าปีด้วยความยากลำบากถึงไม่ได้ผล แต่ว่าคราวนี้กลับทำสำเร็จได้ อย่างไรก็ตาม มีสัมผัสลมปราณก็ย่อมเป็นเรื่องดี แพทย์แผนจีนชราคนนั้นเคยบอกว่า ถ้าเกิดฝึกฝนจนสัมผัสถึงลมปราณ เช่นนั้นก็แสดงว่าอาการป่วยของเธอมีความเป็นไปได้ที่จะรักษาหายแล้ว ควรรู้ไว้ว่ายี่สิบสี่ปีที่ผ่านมานี้ เธอเฝ้าหวังทุกวันว่าอาการป่วยของตัวเองจะรักษาหายได้ ไม่จำเป็นต้องทนรับความเจ็บปวดรุนแรงผิดมนุษย์มนาที่ทั่วทั้งร่างกายเหมือนกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
หลิงหลานตื่นเต้นดีใจยิ่งและสนใจการฝึกฝนมากขึ้น ดังนั้นจึงพัฒนากลายมาเป็นฝึกฝนทุกครั้งที่ตื่น เธอฝึกจนกระทั่งเข้าสู่สมาธิ ตอนนี้เธอยังไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นทารกในครรภ์ไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในชาติก่อนไม่มีความเกี่ยวข้องกับเธออีกต่อไป ดังนั้นย่อมไม่มีทางเกิดเรื่องราวอย่างที่เธอกังวลขึ้นแน่นอน
…………
หลานลั่วเฟิ่งลูบท้องที่มีทารกด้านในด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม เธออุ้มท้องมาเกือบห้าเดือนแล้วแต่ช่วงนี้กลับสัมผัสถึงการขยับตัวของเด็กในท้องไม่ได้เลย นี่ทำให้เธอกลุ้มใจอยู่บ้าง ถ้าไม่ใช่เพราะตรวจแล้วว่าการเจริญเติบโตทุกอย่างของเด็กเป็นปกติละก็ เธอจะต้องสติแตกแน่นอน
ความจริงเธอเองก็รับความกระทบกระเทือนอีกไม่ไหวแล้วเช่นกัน หลังจากที่หลิงเซียว สามีของเธอออกไปรบได้หนึ่งเดือนกว่าก็มีข่าวส่งมาว่า ในตอนที่ขบวนยานรบที่เขาเป็นผู้นำได้ผ่านเส้นทางแห่งความตายเพื่อหวังตีโอบล้อมศัตรูก็ได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น ขบวนยานรบทั้งหมดขาดการติดต่อกับกองบัญชาการใหญ่
ต่อมาก็ได้รับการยืนยันว่า ตอนที่พวกเขาผ่านเส้นทางแห่งความตายได้พบเจอกับการรบกวนของพลังงานที่มาจากส่วนลึกของเขตดาวตกมรณะ ยานบินทั้งกองถูกพลังงานรุนแรงกลืนกิน ทหารและผู้บัญชาการทั้งหมดไม่มีใครรอดชีวิตเลย ทุกคนต่างพลีชีพ นอกจากนี้ยังไม่เหลือซากกระดูกศพอีกด้วย
ในขณะที่เธอยังไม่สามารถยอมรับข่าวร้ายได้หมดก็มีเรื่องที่น่ารังเกียจกว่าเกิดขึ้น ตระกูลสาขารุ่น N ที่แยกตัวจากหลิงเซียวอยากจะสืบทอดตำแหน่งที่ได้รับจากการสละชีวิตของหลิงเซียว นอกจากนี้ยังทำท่าทีมีเมตตาว่าจะดูแลเธอตลอดชีวิตอีกด้วย
หลานลั่วเฟิ่งไล่คนที่น่ารังเกียจพวกนั้นออกไปทันที อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ยอมแพ้และไปหาคนของรัฐบาลสหพันธรัฐเพื่อเข้าไปปรึกษาเรื่องนี้
หลานลั่วเฟิ่งไม่ใช่คนที่อ่อนแอ การร้องห่มร้องไห้มีแต่จะทำให้ชื่อเสียงเกียรติยศที่ได้รับจากการสละชีพของหลิงเซียวถูกคนเลวทรามต่ำช้าพวกนี้แย่งชิงไป
เธอจะถอยก็ถอยไม่ได้ จึงตัดสินใจเด็ดขาดด้วยความกล้าหาญ ประกาศเสียงดังต่อหน้าคนชั่วช้าน่ารังเกียจพวกนั้นว่า ‘หลิงเซียวมีลูกชายซึ่งก็คือเด็กในท้องของเธอ มีเพียงลูกชายของเขาเท่านั้นที่มีคุณสมบัติในการสืบทอดชื่อเสียงเกียรติคุณทุกอย่างของหลิงเซียว’
ความจริงแล้วกฎหมายการสืบทอดเกี่ยวกับตำแหน่งเกียรติยศของสหพันธรัฐมีความลำเอียงอยู่ ซึ่งก็คืออนุญาตให้สมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้ชายเท่านั้นถึงจะรับช่วงต่อได้ นี่ก็เป็นเหตุผลที่หลานลั่วเฟิ่งไม่เอ่ยปากเปิดเผยแต่แรกว่าเธอมีลูก เนื่องจากเธอกับหลิงฉินรู้ว่าเด็กในท้องเป็นผู้หญิง แต่ว่าในสถานการณ์แบบนี้ เธอไม่อาจถอยหนีได้ พ่อบ้านหลิงฉินเลื่อมใสในความเด็ดเดี่ยวของเธออย่างยิ่งและก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจในเรื่องนี้ของเธอมากๆ เช่นกัน
พวกเขาคิดดีแล้วว่า เมื่อหลิงหลานเกิดก็จะจัดเตรียมทารกเพศหญิงคนหนึ่งอบรมเลี้ยงดูตั้งแต่เด็กให้เป็นผู้คุ้มกันที่จงรักภักดีอยู่เคียงคู่หลิงหลาน แล้วก็จับเธอแต่งงานออกหน้าออกตาให้กับหลิงหลานหลังจากที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
พวกเขาจะต้องคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องสถานะตัวตนอีกอันของหลิงหลานเช่นกัน เพื่อให้หลิงหลานสามารถใช้สถานะตัวตนของเด็กผู้หญิงปรากฏตัวได้อย่างเปิดเผย แน่นอนว่าทุกอย่างนี้ยังต้องขบคิดพิจารณาให้ละเอียดอีกที หลานลั่วเฟิ่งเชื่อว่า เวลาหลายปีกว่าหลิงหลานจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เธอย่อมต้องคิดหาวิธีที่ได้ผลดีทั้งสองฝ่ายออกแน่นอน
หลานลั่วเฟิ่งมีเพียงความคิดเดียว นั่นก็คือทุกสิ่งทุกอย่างของเธอกับหลิงเซียวจะต้องตกเป็นของหลิงหลานเท่านั้น คนอื่นๆ ที่ไม่รู้ว่าคลานออกมาจากรังนกกรงสุนัขไหนอย่าได้คิดจะเอารัดเอาเปรียบหลิงหลานเลย เธอไม่อนุญาตแน่นอน เธอจะรักษามันไว้โดยไม่คำนึงถึงค่าตอบแทนทุกอย่าง
แน่นอนว่าที่หลานลั่วเฟิ่งมีความเชื่อมั่นอย่างนี้เป็นเพราะว่าคนรับใช้และพ่อบ้านของหลิงเซียวต่างก็ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเจ้านาย พวกเขาจะดูแลตระกูลหลิงอย่างใกล้ชิดไม่ให้คนละโมบพวกนั้นลงมือทำร้ายเจ้านายน้อยของตระกูลพวกเขาได้ นอกจากนี้ตระกูลหลิงยังมีโรงพยาบาลส่วนตัว หลานลั่วเฟิ่งจึงปกปิดความลับว่าหลิงหลานเป็นลูกสาวได้โดยสะดวก
ในที่สุดเมื่อหลานลั่วเฟิ่งคลอดลูกย่อมต้องเลือกโรงพยาบาลประจำตระกูลเป็นสถานที่คลอดภายใต้การคุ้มกันอย่างแน่นหนาเช่นนี้เอง ไม่อาจให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อในตอนสุดท้ายได้ ยิ่งไปกว่านั้น หมอและพยาบาลที่รับหน้าที่ทำคลอดให้กับหลานลั่วเฟิ่งก็เป็นผู้คุ้มกันที่ตระกูลหลิงจัดเตรียมไว้ให้ในโรงพยาบาล พวกเขาย่อมไม่เปิดเผยความลับนี้ออกไปอยู่แล้ว
…………
หลิงหลานยังคงฝึกปรืออยู่ เมื่อเสียงร้องที่ฟังดูแทบขาดใจรบกวนการเข้าสมาธิของเธอ ทำให้เธอรู้สึกรำคาญใจอย่างยิ่งยวด ในขณะเดียวกันเธอก็ได้ยินเสียงน้ำไหล นอกจากนี้ร่างกายของเธอถูกพลังอะไรก็ไม่รู้ผลักออกจนกำลังจะหัวทิ่มไถลลงไป
เธอตกตะลึงและกางขาสองข้างออกทันทีเพื่อหยุดอยู่กับที่ไว้ไม่ให้ร่างกายของตัวเองไถลลงไป
“ให้ตายสิ ทำไมเด็กไม่ยอมออกมา น้ำคร่ำจะไหลออกมาจนหมดแล้วนะ” เหงื่อไหลตามหน้าผากของหมอและพยาบาลที่ทำคลอด เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปอย่างราบรื่นดีมาก แต่เด็กกลับไม่ลงมา สถานการณ์แบบนี้จึงดูเหมือนกับการคลอดยากมากๆ ควรรู้ไว้ว่าถ้าหากคุณนายของพวกเขาคลอดยากขึ้นมาจริงๆ พวกเขาจำเป็นต้องผ่าคลอด เช่นนั้นก็จะไม่มีทางรับประกันได้เต็มร้อยเลยว่าสามารถปกปิดความลับของคุณหนูพวกเขาไว้ได้โดยที่ไม่มีวันพลาดแน่นอน เนื่องจากมีคนเกี่ยวข้องมาก ความเป็นไปได้ที่ความลับจะรั่วไหลก็เพิ่มขึ้นเยอะมาก
หลานลั่วเฟิ่งกัดฟันและลูบท้องที่ตั้งขึ้นสูงก่อนจะเอ่ยปลอบโยนว่า “ลูกรัก เลิกทรมานแม่ได้แล้ว รีบออกมาเจอแม่เร็วๆ เข้าเถอะ ถ้าหากลูกแค้นใจที่แม่ทำให้ลูกต้องใช้ชีวิตผิดปกติละก็ ลูกก็ต้องออกมาแค้นใช่ไหม”
เอาเถอะ หลานลั่วเฟิ่งเองก็เจ็บจนไอคิวติดลบไปแล้ว สิ่งที่เธอพูดออกมาไม่สมเหตุสมผลโดยสิ้นเชิง มีแม่คนไหนให้ลูกมาโกรธแค้นตัวเองบ้าง
อย่างไรก็ตาม หลิงหลานกลับได้ยินคำพูดของหลานลั่วเฟิ่ง ความรู้สึกเมื่อสักครู่บวกกับคิดโยงไปถึงสภาพตกอับก่อนหน้านี้ เธอก็พลันรู้แล้วว่าที่แท้ตัวเองกลายเป็นเด็กทารกไปแล้ว มิน่าล่ะเธอถึงขยับตัวไม่ได้เป็นเวลานานขนาดนั้น…
แต่ว่าเธอตายไปแล้วชัดๆ ไม่ใช่เหรอ กลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง? ทำไมถึงไม่ได้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง*[2]*ล่ะ ความทรงจำเกี่ยวกับชาติที่แล้วฝังลึกขนาดนั้นเลยเหรอ เสียงอ่อนโยนที่เธอได้ยินทำให้เธอรู้ว่าแม่คนนี้ไม่ใช่แม่ของเธอในชาติที่แล้วแน่นอน นี่จึงกำจัดความเป็นไปได้เรื่องการฟื้นคืนชีพออกไปเช่นกัน
“ขอร้องล่ะ ตอนนี้เธอยังมีใจมาคิดถึงปัญหาเรื่องการเกิดใหม่และฟื้นคืนชีพอะไรอีกเหรอ แม่เธอถูกเธอทำให้คลอดยากแล้วนะ…ยังไม่เก็บขาสองข้างของเธออีก เลิกติดอยู่กับที่ได้แล้ว!” เสียงเด็กอ่อนดังลนลานขึ้นมาในหัวของเธอ เตือนว่าตอนนี้เธอควรทำอะไร
หลิงหลานได้ยินแล้วก็หดขาสองข้างที่ติดอยู่กลับมาตามจิตใต้สำนึก หลังจากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงกรีดร้องที่เหมือนใจจะขาด พลังสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาฉับพลันและผลักร่างกายของเธอออกไป
พริบตานั้นเธอก็รู้สึกได้ว่ามีแสงสว่าง…
เธอยังไม่ทันได้เรียกสติกลับมาก็รู้สึกได้ว่ากำลังถูกนิ้วมือของใครก็ไม่รู้ควานเข้าไปในปากของตัวเอง ทำให้เธออยากอาเจียนอยู่บ้าง และอดอ้าปากประท้วงไม่ได้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนอุแว้ๆ ของตัวเอง!
ใช่แล้ว มันเป็นเสียงตะโกน! หลิงหลานไม่มีทางยอมรับอยู่แล้วว่านั่นเป็นเสียงร้องไห้ มันดูน่าอายมากเกินไปจริงๆ
“คุณนาย คุณหนูแข็งแรงดีค่ะ!” หมอที่เป็นหนึ่งในคนคุ้มกันของตระกูลหลิงโล่งอกในที่สุด ภารกิจคุ้มครองความปลอดภัยแม่ลูกของพวกเธอสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เธออุ้มหลิงหลานที่ร้องตะโกนออกมาสองทีก่อนตัดสินใจจะไม่เอ่ยปากอีกไปที่ข้างกายหลานลั่วเฟิ่งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลานลั่วเฟิ่งลืมตาที่เหน็ดเหนื่อยขึ้นมาและลูบลูกของตัวเองด้วยความรักใคร่เอ็นดู หลังจากนั้นก็เอ่ยอย่างเฉียบขาดด้วยสีหน้ามีตื่นเต้นว่า “บอกคุณอาฉินว่า ฉันกับคุณชายหลิงหลานปลอดภัยดี!”
“ค่ะ คุณนาย!” คุณหมอเองก็เก็บรอยยิ้ม ทำหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
การถือกำเนิดของคุณหนู ไม่สิ การถือกำเนิดของคุณชายไม่ได้หมายถึงว่าเรื่องราวจะสิ้นสุดลง ยังมีสงครามดุเดือดอีกมากมายที่จะต้องต่อสู้ เพื่อปกป้องชื่อเสียงเกียรติคุณทุกอย่างที่ได้รับหลังจากที่พลตรีหลิงเซียวถึงแก่กรรม
……………………………………
[1] เส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตู มาจากเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดซึ่งประกอบด้วย เริ่น ตู ชง ต้าย หยางเชียว อินเชียว หยางเหวย และอินเหวย โดยเส้นลมปราณเริ่นควบคุมดูแลเส้นลมปราณหยิน ส่วนเส้นลมปราณตูดูแลเส้นลมปราณหยาง
[2] น้ำแกงยายเมิ่ง เป็นความเชื่อของชาวจีนว่า วิญญาณที่จะไปเกิดใหม่ต้องดื่มน้ำแกงของยายเมิ่งเพื่อลบความทรงจำในอดีต