ตอนที่ 2 โลกใบนี้ไม่เชื่อในน้ำตา

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

เพราะถูกปล้นแถมมาหมดสติกะทันหัน ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่กลับมาเร็วกว่าปกติ พอเห็นฟ้าเริ่มมืด ก็ทราบดีว่าเวลานี้ขืนเดินผ่านเมืองพร้อมกับเหยื่อที่ล่ามาได้นั้นจะอันตรายมาก

ช่วงกลางวัน คนจากในป้อมยังออกมารักษากฎระเบียบบ้าง พอถึงช่วงกลางคืนคนพวกนั้นก็จะกลับเข้าป้อมไป

แน่นอนว่าสิ่งที่คนจากป้อมทำนั้น ไม่ได้ทำด้วยจุดประสงค์ดีอะไร เพียงแค่กลัวว่าหากเมืองวุ่นวายเกินไป มันจะไปกระทบต่อการใช้แรงงานของพวกผู้อพยพ

“โอ้ ดูสิ ดูเหมือนวันนี้เริ่นเสี่ยวซู่จะได้ของดีเชียว!”

ขณะเริ่นเสี่ยวซู่กำลังวิ่งกลับเข้าไปในเมืองพร้อมกับแบกหม้อไปด้วยนั้น ก็มีคนใบหน้ามอมแมมทักทายเขา ช่างเป็นใบหน้าที่ราวกับว่าตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยล้างหน้ามาก่อน

ส่วนใหญ่แล้วคนในเมืองก็สภาพแบบนี้กันทั้งนั้น เกือบทุกวันก็จะลงทำงานในเหมืองใกล้เคียงแลกอาหาร พวกถ่านหินที่ขุดได้ก็จะถูกส่งเข้าไปในป้อมปราการ และเหล่าคนงานก็จะได้รับขนมปังหรือเผือกที่เพียงพอไว้สำหรับประทังชีวิต

นอกจากงานขุดเหมืองแล้ว บรรดางานที่ต้องเปรอะเปื้อนทั้งหลายแหล่ในป้อม ล้วนเป็นงานของเหล่าผู้อพยพ

เนื่องจากน้ำในเมืองต้องแบ่งสันปันส่วนกัน น้ำในแต่ละวันที่ทุกคนได้จะเป็นจำนวนที่แน่นอน และก็ไม่มีใครริอ่านหาญกล้าขอเพิ่มด้วย มิหนำซ้ำแถวนี้แทบไม่มีแหล่งน้ำสะอาดเลย หรือไม่ก็เป็นแหล่งน้ำสะอาดที่อันตรายเกินกว่าจะเข้าไปได้เพราะมีสัตว์ร้ายรวมตัวเข้าไปดื่ม และด้วยประการฉะนี้เอง ทุกคนในเมืองจึงดูสกปรกเสียจนไม่อาจเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน เริ่นเสี่ยวซู่เองก็ไม่ต่างจากผู้อื่น

ถึงอย่างนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่เคยลงไปทำงานในเหมือง เขามีวิธีเอาตัวรอดเป็นของตัวเอง

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ทักทายตอบใครเลย ทำเพียงพยายามกลับไปกระท่อมโกโรโกโสของตนให้เร็วที่สุด

ขณะเริ่นเสี่ยวซู่ใช้อีกทางกลับเข้าเมือง เขาก็เห็นกำแพงป้อมปราการลอยสูงเด่นจากไม่ไกลนัก ยามมองขึ้นไปแล้วแม้แต่ปลายยอดยังไม่เห็น ทำให้ตัวเองรู้สึกเล็กจ้อยนัก

สิ่งปลูกสร้างที่ทำจากหินนั้นหายากนักในเมือง ส่วนใหญ่แล้วคนจะอยู่อาศัยตามกระท่อมกันมากกว่า

เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มผ่อนคลาย แต่พอเข้ามาในเขตเมืองปุ๊บ ก็ต้องเกิดความระแวดระวังขึ้นมาโดยพลัน พลางชักมีดกระดูกออกจากเอว บรรยากาศบนถนนหนักอึ้ง รังสีมุ่งร้ายแผ่ออกมาตามกระท่อม แต่พอเริ่นเสี่ยวซู่ชักมีดกระดูกขึ้นมาถือ คนเหล่านั้นก็เก็บงำรังสีคุกคามลงไป

สิ่งแรกที่เริ่นเสี่ยวซู่ได้เรียนรู้จากที่นี่คือ อย่าเชื่อใครเด็ดขาด…ยกเว้นเหยียนลิ่วหยวน

เสียงกระซิบดังมาจากกระท่อมข้างถนน  “ไม่คิดเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะล่าเหยื่อมาได้”

“นั่นจะเรียกว่าเหยื่อได้ไง ก็แค่นกกระจอก”

“แต่มันไม่เหมือนนกกระจอกที่พวกเราเคยเห็นในหนังสือโบราณนี่ ฉันเดาว่าเหยี่ยวก่อนภัยพิบัติก็น่าจะตัวราวๆ นั้นนะ”

“อย่าไปยั่วยุเขาสิ”  แล้วเสียงกระซิบจากในกระท่อมก็เงียบไป ดูเหมือนจะมีคนรู้อดีตของเริ่นเสี่ยวซู่ดี

เริ่นเสี่ยวซู่ยกม่านประตูเข้ามาในกระท่อม ความอบอุ่นพลันตีเข้าหา ลดทอนความตึงเครียดของเขา

พอเหยียนลิ่วหยวนที่กำลังนั่งทำการบ้านในกระท่อมเห็นเริ่นเสี่ยวซู่กลับมาแล้ว ก็ยินดีมาก “พี่จับนกกระจอกได้เหรอ”

“ทำไมไม่จุดตะเกียง”  เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วถาม

เดิมเหยียนลิ่วหยวนเป็นเด็กเอาแต่ใจนัก แต่ต่อหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ที่เป็นเหมือนกับพี่ชายแล้ว กลับทำตัวอ่อนหวานได้อย่างน่าประหลาดใจ “ผมอยากเก็บเชื้อเพลิงไว้”

“ถ้านายสายตาสั้นขึ้นมาจะทำยังไง” เริ่นเสี่ยวซู่วางร่างนกกระจอกลง

เหยียนลิ่วหยวนสายตาทอประกาย “อาจารย์ที่โรงเรียนบอกว่า ยุคก่อนภัยพิบัติมีสิ่งที่เรียกว่า ‘แว่นตา’ ด้วย แต่ตอนนี้เจอได้แค่ในป้อมปราการเท่านั้น ถ้าพวกเรามีบ้าง ก็ไม่ต้องกลัวเรื่องสายตาสั้นแล้ว”

เริ่นเสี่ยวซู่ฟังอย่างดูถูกดูแคลน  “ฉันเคยเห็นคนใส่เจ้าสิ่งนั้นมาก่อน แต่การต้องให้วิสัยทัศน์มาพึ่งพาของที่จะทำหล่นตอนไหนก็ได้ในดินแดนรกร้างน่ะนะ แบบนั้นไม่ต่างกับตายหรอก อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของอาจารย์มาก ใช่ว่าทุกอย่างที่เขาพูดเป็นเรื่องถูกต้องไปเสียหมด”

“อือ…”  เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้า เอ่ยว่า “งั้นทำไมพี่ยังพยายามส่งผมเข้าโรงเรียนไปอีกล่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่สำลักไปที “ทำไมพูดมากจัง”

“เมื่อไหร่ผมจะไปล่ากับพี่ได้” เหยียนลิ่วหยวนถามต่อ

“นายอายุแค่สิบสี่เอง ทำไมอยากไปล่านักนะ ถ้าผลการเรียนดี ก็ไม่ต้องออกล่าแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “เรียนบัญชี ฟิสิกส์ หรือเคมีดีกว่าออกล่าอีกไม่ใช่เหรอ”

“พี่ก็แค่สิบเจ็ดเองนี่” เหยียนลิ่วหยวนยังคงดื้อแพ่ง

ในยุคสมัยเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนป่าเถื่อน ก็ยังทราบถึงความสำคัญของความรู้

ด้วยเหตุนี้เองผู้ที่ทำอาชีพอาจารย์จึงสามารถอยู่รอดในเมืองได้ ไม่ว่าในเมืองจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น อาจารย์ก็คือผู้ที่ปลอดภัยที่สุดเพราะไม่มีผู้ใดเล็งเขาเป็นเป้าหมาย

แต่ว่าค่าเรียนนั้นแพงหูฉี่ ไม่งั้นเริ่นเสี่ยวซู่คงเข้าเรียนด้วยตัวเองไปแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่ตั้งหม้อ ก่อนจะผ่าร่างนกกระจอกอย่างชำนิชำนาญ พลางว่า “วันนี้อาจารย์พูดถึงเรื่องอะไรเหรอ ฉันพอให้นายกินเครื่องในนกกระจอกได้ แต่ส่วนอื่นต้องไปขายที่ตลาดพรุ่งนี้”

“พี่บาดเจ็บมาเหรอ!” พอเหยียนลิ่วหยวนเห็นรอยแผลที่มือของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ขมวดคิ้ววูบ เป็นแผลจากการโดนนกกระจอกจิกมา และยังคงมีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด

หม้อใหญ่ถูกแขวนบนไม้ เพลิงในหลุมไฟของกระท่อมฉายลุกโชนจนเกิดเงาวูบวาบบนใบหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ “ก็แค่รอยข่วน”

เสียงในกระท่อมเงียบไป สักพักหนึ่ง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ตักเครื่องในนกกระจอกที่สุกแล้วออกจากหม้อมายื่นให้เหยียนลิ่วหยวน “กินสิ”

เหยียนลิ่วหยวนตาแดงก่ำขึ้นมาทันที “ไม่เอา พี่กินเลย แผลพี่ต้องการการฟื้นตัวนะ”

“เดี๋ยวฉันกินซุปเอาก็ได้” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “แล้วก็ยังมีขนมปังดำเหลืออยู่ด้วย”

“ไม่กิน แผลพี่ไม่เห็นเป็นรอยขูดข่วนอย่างที่ว่าเลย ไม่กี่วันก่อนผมเห็นคนในเมืองหายามารักษารอยบาดกับรอยถลอกไม่ได้จนแผลติดเชื้อตาย” เหยียนลิ่วหยวนว่าอย่างไม่ยินยอม น้ำตาแทบไหลรินลงมาอาบแก้ม

เพียะ!

เริ่นเสี่ยวซู่ตบหน้าเหยียนลิ่วหยวนทันที แล้วพูด “จำไว้ ตราบใดที่เรายังอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ นายกับฉันต้องไม่ร้องไห้ออกมาเด็ดขาด! โลกใบนี้ไม่เชื่อในน้ำตา!”

เริ่นเสี่ยวซู่พูดต่อ “ดูว่าคนรอบกายเราเป็นคนประเภทไหน ถ้านายไม่กินให้ดี แล้วมีคนบุกเข้ามาแทงฉันจนตายตอนกลางคืนจะทำยังไง ที่ฉันส่งนายไปเรียน ก็เพราะหวังว่านายจะไม่กลายเป็นคนที่รู้จักแต่การล่าแบบฉัน นายมีทักษะพิเศษ ตราบใดที่ตั้งใจเรียน ก็ไม่ต้องไปออกล่าในแดนรกร้างประทังชีวิตเหมือนกับฉันแล้ว! ที่ฉันส่งนายไปเรียน ก็เพราะไม่อยากให้นายกลายเป็นคนป่าเถื่อนอย่างพวกเขา!”

เหยียนลิ่วหยวนรับเครื่องในนกกระจอกจากเริ่นเสี่ยวซู่และกลืนลงไปทันที เขากลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ในที่สุด เขาอยากเป็นคนที่เข้มแข็งเหมือนกับเริ่นเสี่ยวซู่!

“อะแฮ่ม หลังจากกินเสร็จก็เข้ามาช่วยฉันใช้ผ้าสะอาดเช็ดแผลด้วย” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า

“อื้อ” เหยียนลิ่วหยวนตอบ

“ตอนนายอยู่ข้างนอกปกติก็เจ้าเล่ห์เพทุบาย ไหงพอกลับบ้านดันกลายเป็นคนอ่อนไหวไปได้เนี่ย” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “วันนี้ในเมืองเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”

“อ๊ะใช่!” เหยียนลิ่วหยวนว่า พลางหาผ้าสะอาดไปด้วย “มีคนออกมาจากป้อมปราการกลุ่มหนึ่ง เห็นว่ากำลังหาคนนำทางไปป้อมปราการ 112 พวกเขาอยากผ่าตรงไปที่นั่นผ่านเขาจิ้งซานเลย”

“พวกเขาอยากไปป้อมปราการ 112 เหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งงันไปพักหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วพูด “แถมยังจะยืนกรานว่าต้องผ่านเขาจิ้งซานให้ได้อีก?”

“คิดว่าพวกเขาจะมาหาพี่ไหม ทุกคนในเมืองต่างรู้กันทั้งนั้นแหละว่าพี่คุ้นเคยกับดินแดนข้างนอกมาก” เหยียนลิ่วหยวนกะพริบตา ก่อนจะพูด “ผมได้ยินว่ามีคนเชิญนักดนตรีกับนักร้องในป้อม 113 ไปแสดงที่ป้อม 112”

“ฉันไม่ไปหรอก” เริ่นเสี่ยวซูส่ายหน้า “คนพวกนั้นอยากเดินทางผ่านเขาจิ้งซานก็แล้วแต่ ฉันอยากให้นายอยู่ห่างจากพวกเขาไว้ คนพวกนี้ดูเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล”

ขณะเดียวกันเริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกอารมณ์ปั่นป่วนนัก โลกเป็นแบบนี้แล้ว แต่ก็ยังมีนักร้องกับนักดนตรีมืออาชีพอีก โลกในป้อมปราการเป็นแบบไหนกันแน่

เริ่นเสี่ยวซู่พลันอยากรู้ขึ้นมาชอบกล