ชายคนหนึ่งหยุดยืนอยู่ตรงประตู ไม่ได้เดินเข้าไป ขาข้างหนึ่งก้าวเข้าประตูไป แต่ขาอีกข้างอยู่นอกประตู ท่าทางดูลังเล
เขายิ้มทักทายให้กับสองแม่ลูกคู่นั้น ไม่พูดจา มุมริมฝีปากแตก หน้าผากปูดบวมอย่างเห็นได้ชัด
สภาพเช่นนี้ อารมณ์แบบนี้ ทำให้สองแม่ลูกที่เพิ่งทะลุมิติเวลามารู้สึกตื่นเต้น
ขณะที่ชายคนดังกล่าวแบมือยื่นไปทางซ่งฝูหลิง ใจของสองแม่ลูกก็กังวลมาก
เมื่อแบมือออกมาก็มีช็อกโกแลตแท่งหนึ่งที่หีบห่อยับเยิน รู้ได้ว่าชายผู้นี้กำมันไว้ด้วยอารมณ์กระวนกระวายใจขนาดไหน ถึงใช้แรงเยอะขนาดนั้น
เมื่อเฉียนเพ่ยอิงเห็นช็อกโกแลตนั้น ก็รู้สึกผ่อนคลายลง ขาแทบจะยืนไม่ไหว ร่างกายอ่อนปวกเปียกทรุดลงกับพื้น ร่ำไห้เสียงดัง “เหล่าซ่ง ฉันรู้ว่าท่านทำได้ ท่านตามมาแล้ว ตามมาแล้วจริงๆ” น้ำเสียงแฝงไปด้วยความกลัว หวาดผวาและตื่นตระหนก
“พ่อ!” ซ่งฝูหลิงเสมือนลูกปืนขนาดเล็ก พุ่งเข้าสู่อ้อมอกของชายหนุ่ม นางไม่ได้โอบกอดพ่อร่ำไห้แบบนี้มาอย่างน้อยสิบปีแล้ว ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว ต้องการการปกป้องของพ่อ
คุณพ่อซ่งสูดลมหายใจเข้าจมูก ฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ใจเต้นระส่ำ
ต้องขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้พวกเราสามคนได้พบเจอกันอีกครั้ง
อีกด้านคอยเช็ดน้ำตาให้บุตรสาว อีกด้านรีบเดินไปสองก้าวเพื่อยื่นมือให้ภรรยาที่ยังนั่งอยู่ที่พื้นให้ลุกขึ้น
“รีบลุกขึ้น เพ่ยอิง”
“ไม่ลุก อย่าดึงข้า ข้าก็ยังลุกไม่ไหว ข้าอยากสงบสติอารมณ์ก่อน”
ซ่งฝูหลิงร้องไห้รำพึงรำพัน “ลูกกับแม่กังวลจะตายอยู่แล้ว เปลี่ยนร่างแล้วก็ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน ไม่ทราบว่าพวกเราเป็นใคร ยิ่งน่ากลัวกว่านั้นก็คือ เราทั้งสองไม่มีความทรงจำเลยแม้แต่น้อย พ่อ ท่านรู้ไหม? พวกเรากำลังคิดว่าหากไม่มีท่าน การมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร”
ผู้ชาย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์คับขันอย่างไรก็ยังคงสติไว้ เขาดึงภรรยาให้ลุกขึ้นจากพื้นและจูงมือบุตรสาวเดินเข้าไปด้านใน “อย่าร้องไห้ตรงนี้ กำแพงมีหู ประตูมีช่อง ต้องระวังหากคนอื่นได้ยินขึ้นมา อย่ากลัว ข้ามีความทรงจำอยู่ พวกเราเข้าห้องก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
…..
สามคนปิดประตูสนิท ไม่ทันได้กินน้ำกินข้าว ก็นั่งล้อมวงเป็นสามมุม เจ้าจ้องมองข้า ข้าสัมผัสเจ้า นั่งใกล้ชิดกันมาก เหมือนกับว่าการกระทำแบบนี้จะทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัย
“เหล่าซ่ง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เจ้ารีบพูดมา พูดให้ละเอียดหน่อย”
แท้จริงแล้วเหล่าซ่งก็ไม่อยากจะอธิบายรายละเอียดเลยสักนิด รู้สึกหนักใจ เมื่อนึกถึงความทรงจำเขาก็อยากจะสบถออกมา ย่ามึงสิ นี่มันเรื่องอะไรกัน
ภรรยาของเขาต้องการเวลาทำใจ ส่วนตัวเขาตอนนี้อยากอยู่เงียบๆ
แต่ว่า
“โธ่ ข้าไม่ได้ว่างเปล่า สมองยังมีความทรงจำ แต่ว่า ก็ตกใจไม่น้อย…
…พูดเกริ่นตั้งแต่เริ่มต้นก่อน ข้าไม่มีความจำตอนนั้น…
…ตอนนั้นข้าเพิ่งลืมตา สมองยังคงสะลึมสะลือ มีหญิงสาวนางหนึ่งสวมเสื้อผ้าอาภรณ์แปลกตายืนอยู่ตรงหัวเตียงข้า นางยิ้มหัวเราะไปพร้อมกับถือชาม พูดกับข้าว่า รีบดื่มยานี้เถอะ…
…ข้าได้ฟัง ใครจะกล้าดื่ม รู้สึกบทพูดนี้เหมือน อู่ต้าหลัง ในซีรีย์ที่เคยได้ยินมา อีกทั้งการแต่งกายของนางก็ช่างเหมือน พานจินเหลียน ข้าอาศัยจังหวะที่นางเผลอรีบหนีออกมา…
…ข้าได้แต่คลำแผลที่หัวมาตลอดทาง เหมือนผี ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ…
…ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร ต้องคอยสังเกตการแต่งกายและการพูดจาของผู้คน ยิ่งเห็น ใจก็เย็นวาบ ยังไม่ทันได้ระวัง เท้าก็สะดุดล้มหัวกระแทกพื้น…
…เห็นหน้าผากอันบวมปูดนี้ไหม ตอนนั้นเพราะกระแทกเข้ากับก้อนหิน…
…การหกล้มครั้งนี้ทำให้ข้ามึนงงไปหมดและยังทำให้แต่เดิมตรงหัวถึงกับเลือดตกยางออก แผลใหม่แผลเก่ามารวมกัน คาดว่ามันคงทำให้ข้าสามารถดึงความทรงจำกลับมาได้…
…ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก็ผุดขึ้นมามากมาย ข้ากอดก้อนหินถึงหนึ่งชั่วโมงเพื่อสงบสติอารมณ์ มิเช่นนั้นก็คงไม่มาถึงตอนเย็นแบบนี้”
ตอนท่านพ่อซ่งกำลังบรรยายเรื่องราว เฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงก็รีบตรวจดูบาดแผลของเขา เขาโบกมือว่าไม่เป็นไร ก่อนจะกล่าวต่อ
“อย่ายุ่งยากเลย ไม่เป็นไร ต่อไปเรามาคุยถึงเรื่องครอบครัวนี้ก่อน ข้าจะเล่ารายละเอียดมากหน่อย ถ้าพวกเจ้าไม่เคยพบเจอก็อย่าไปใส่ใจมากนัก อย่าแสดงอะไรที่แตกต่างออกไป ยุคโบราณมีความเชื่ออันเก่าแก่อยู่…
…ร่างนี้ของข้าก็แซ่ซ่ง…
…มาพูดถึงตระกูลซ่งก่อน…
…ก่อนหน้าข้ายังมีพี่สาวคนโตชื่อซ่งอิ๋นเฟิ่ง นางแต่งงานใช้ชีวิตบนเขากับพี่เขย…
…ในความทรงจำตอนนั้น พี่สาวเป็นคนสวยมาก พวกเราสองคนหน้าตาคล้ายกันมาก…
…แต่พี่สาวต้องการนำเงินมาให้ข้าร่ำเรียน จึงปฏิเสธการแต่งงานกับคนมีฐานะนอกหมู่บ้าน ยอมแต่งงานไปอยู่กับพรานป่าบนภูเขาที่ไม่มีใครยอมไปอยู่…
…เป็นที่รู้กันว่าพรานป่าไม่มีที่ดิน ในสายตาของชาวบ้านคือไม่มีหลักแหล่ง ไม่มีหลักประกัน แต่คนนอกหมู่บ้านนั้นให้สินสอดหนักสามร้อยกรัม พี่เขยสามารถให้สินสอดถึงเจ็ดร้อยห้าสิบกรัม แม่เจ้าของร่างนี้ก็ตอบตกลงและรีบนำเงินนั้นมาให้ข้าได้เรียนต่อ โดยหวังว่าข้าจะมีอนาคตที่ดี…
…ส่วนข้ายังดี ถึงจะเป็นนักเรียนยากจนแต่ก็สอบได้ถงเซิง และในปีนั้นก็เข้าร่วมสนามสอบสอบได้อั้นโส่ว ก็มีชื่อเสียงบ้าง ตั้งแต่นั้นมาชีวิตตระกูลซ่งก็เปลี่ยนแปลงไปเพราะข้าได้แต่งงานกับเจ้า…
…ส่วนเรื่องที่เกี่ยวพันกับภรรยานั้น รอสักพักค่อยพูดถึง ข้ายังต้องเล่าเรื่องนั้นต่อ…”
เมื่อพ่อซ่งพูดถึงตอนนี้ ตนเองก็รู้สึกสะดุดเสียก่อน ความคิดนั้นแปรปรวน
ซ่งฝูหลิงเอ่ยเตือน “พูดถึงการเปลี่ยนชีวิตของพี่สาวคนโตแล้ว คนในครอบครัวนั้นไม่มีใครอื่นแล้วหรือ? ”
“ใช่ ท่านป้าของเจ้า ที่นี่ไม่เรียกป้าเฉยๆ แต่ต้องเรียกท่านป้า ลูกสาวเจ้าต้องจำไว้ให้ดี…
…บ้านของนางตอนนี้ย้ายออกจากภูเขาแล้ว เพราะว่าบุตรชาย บุตรสาวโตแล้ว ต่อไปหากแต่งงานจะไม่สะดวก พี่เขยก็อายุมากแล้วไม่เหมาะที่จะอาศัยอยู่บนเขา…
…เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ลับหลังเจ้า ข้าให้นางยืมเงินยี่สิบห้าตำลึง ตอนนั้นนางต้องปลูกบ้านและซื้อที่ดิน ถ้าไม่ซื้อที่จะกินอะไร พี่เขยหาของป่าเก็บเงินเกือบครึ่งชีวิตก็ยังไม่พอ ในความทรงจำ ข้าไม่ได้หวังให้นางนำมาคืน ที่ให้ก็เหมือนกับให้ไปเปล่าๆ…
…เรื่องนี้อยู่ในความจำของข้าถือว่าสำคัญมาก…
…นี่ถือว่าได้เปลี่ยนชีวิตของนางแล้วสินะ? ข้าได้ภรรยาที่ดี มีพ่อตาที่ร่ำรวย ข้าเปลี่ยนแปลงชีวิตแล้วยังช่วยเปลี่ยนแปลงคนในครอบครัวที่อยู่ในหมู่บ้าน…
…พี่สาวเป็นลูกคนโต ถัดมายังมีพี่ชายอีกสองคนชื่อซ่งฝูไฉ ซ่งฝูสี่ ถ้านับตามลำดับชาย ข้าจะถือเป็นลูกชายคนที่สาม เป็นลูกคนเล็กของบ้าน ชื่อว่าซ่งฝูเซิง ไม่ใช่ซ่งเจี้ยนเยี่ย พวกเจ้าต้องจำไว้…
…ในบ้านมีแม่ที่เป็นแม่หม้าย อยู่อาศัยกับพี่ชายทั้งสองคน เป็นหัวหน้าครอบครัวให้กับพวกเขา มีหลานสาวหลานชายเยอะแยะไปหมด ที่นี่พ่อแม่อยู่ด้วย จะไม่แยกครอบครัว…
…ข้าได้เปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของแม่และพี่ชายทั้งสอง ปีนั้นปู่ของเจ้าของร่างนี้ ได้ให้ที่ดินอันแห้งแล้งกับข้ามาเจ็ดไร่ หลายปีที่ผ่านมา หลังจากที่ข้าแต่งงาน เขาก็ได้ทยอยให้ที่ดินแปลงดีๆ อีกหกไร่…
…นี่ยังไม่รวมเงินที่ให้ตอบแทนพระคุณช่วงเทศกาลปีใหม่ งานเชงเม้งไหว้บรรพบุรุษและอีกหลายรายการที่ให้เงินช่วยเหลือพวกเขา”
เฉียนเพ่ยอิงทนไม่ไหว คุยกันไปสองนาทีแล้วก็ยังไม่พูดถึงจุดสำคัญ ยังไม่เคยเห็นใครพูดเป็นน้ำท่วมทุ่งได้เหมือนกับเหล่าซ่ง
“นี่เหล่าซ่ง ข้าแค่อยากรู้ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน อยู่ไหน เรียกว่าอะไร และต่อไปพวกเราจะทำอย่างไร นี่เจ้าพูดไปไกลถึงไหนแล้วเนี่ย”
“ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือที่ให้ข้าเล่าลงรายละเอียดเยอะหน่อย ในสมองของข้า เรื่องสำคัญก็มีแค่นี้ ก็ต้องเล่าไปทีละเรื่อง”
ซ่งฝูหลิงพูดไม่ออก สองคนนี้ยังจะทะเลาะกันอีกแล้ว
“พ่อ ท่านก็ปล่อยผ่านไปบ้าง ท่านแม่ก็อย่าเพิ่งรีบร้อน พวกเราสามคนสามารถมานั่งรวมกันตรงนี้ได้ ถ้าจะแย่มันคงไม่แย่ไปมากกว่านี้หรอก ท่านอย่าลืมตอนที่เพิ่งเห็นท่านพ่อว่าพวกเราดีใจมากขนาดไหน ค่อยๆ ให้เขาได้พูด พ่อของข้าก็ลำบากเหมือนกัน ความจำมากมายขนาดนี้เข้ามาอยู่ในสมอง เขาก็คงยังเรียบเรียงเหตุการณ์ได้ไม่หมดและไหนจะต้องรีบกลับบ้านมาหาพวกเราอีก”
“เจ้าก็ได้แต่เข้าข้างพ่อของเจ้า”
“เจ้าดูไว้ นี่สิถึงจะเป็นลูกสาวตัวจริงของข้า!”