ตอนที่ 1 บ้านเจ้าเกิดเรื่องแล้ว / ตอนที่ 2 แย่เสียยิ่งกว่าหมูหรือสุนัข

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ภาคที่ 1

ตอนที่ 1 บ้านเจ้าเกิดเรื่องแล้ว

“แม่จื่อเอ๋อร์ เจ้ายังทำอะไรอยู่ที่นี่ บ้านเจ้าเกิดเรื่องแล้ว ยังไม่รีบกลับไปอีก”

จ้าวซื่อ[1]ยืดเอวที่กำลังปวดเมื่อยขึ้น ในมือถือต้นกล้าข้าวสาลีกำหนึ่ง “ยังเหลืองานต้องทำอีกเล็กน้อย ทำเสร็จแล้วจะกลับไป บ้านข้าเกิดเรื่องอะไรหรือ”

“ยังจะทำงานอยู่อีก ลูกสาวเจ้าจะถูกคนตีตายอยู่แล้ว รีบกลับไปดูเร็วเข้าเถิด” ลุงหูมีสีหน้าเร่งร้อน

จ้าวซื่อพลันชะงักงัน ก่อนจะโยนต้นกล้าข้าวสาลีในมือทิ้งไปอย่างรวดเร็ว และกระโดดขึ้นไปบนคันนา “เมื่อครู่ท่านว่าอะไรนะ”

ลุงหูถอนใจ “แม่สามีและพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า พวกนางถือโอกาสที่เจ้ามาทำนา บังคับมัดลูกสาวของเจ้า เพราะต้องการขายนางให้บ้านคหบดีอู๋ เพื่อจัดงานแต่งงานขจัดเสนียดให้กับบุตรชายที่กำลังจะป่วยตายผู้นั้น ทว่าลูกสาวเจ้าไม่ยอม พวกนางสองจึงลงมือทุบตี ตอนข้าไปถึงได้ยินว่าไม่มีลมหายใจแล้ว ก็เลย…”

เขายังพูดไม่ทันจบ จ้าวซื่อก็รีบร้อนวิ่งไปแล้ว

ด้านนอกรั้วลานบ้านสกุลไป๋มีคนมุงอยู่ไม่น้อย ทุกคนกำลังชี้ไม้ชี้มือไปในลานบ้าน

จ้าวซื่อพุ่งเข้าไปในรั้วบ้านตนเองทันที และเห็นบุตรสาวนอนอยู่บนเสื่อกก ไร้ลมหายใจ

นางเข่าอ่อนโดยพลัน โซซัดโซเซมาถึงด้านหน้าของบุตรสาว แล้วดึงมืออันเย็นเฉียบของเด็กสาวมา พลางมองบาดแผลทั่วทั้งใบหน้าและลำตัวนั้น เจ็บปวดเจียนจะขาดใจ อยากจะร้องไห้ออกมา แต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็ร้องไห้ไม่ออก ได้แต่อ้าปาก น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย

หลิวซื่อ สะใภ้ใหญ่ของสกุลไป๋เดินออกมาจากในเรือน นางเห็นว่าสะใภ้สามกลับมาแล้ว ก็เลิกคิ้วขึ้นทันที บนใบหน้าอำมหิตมีแต่ความไม่พอใจ “เหตุใดเจ้าถึงกลับมา ทำงานในทุ่งนาเสร็จแล้วหรือ หากยังทำงานไม่เสร็จ เย็นนี้เจ้าก็อย่าได้คิดจะกินข้าวเลย”

จ้าวซื่อดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้าง ทั่วใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวสุดขีด นางหันไปตะคอกใส่หลิวซื่อ “ใครตีลูกสาวข้าจนเป็นเช่นนี้ ใครกัน”

สะใภ้ใหญ่ตะลึง จ้าวซื่อเป็นคนซื่อๆ มาแต่ไหนแต่ไร ปล่อยให้ผู้อื่นรังแกจนเคยชิน ไม่ว่าจะด่าว่าหรือสั่งให้ไปทำงานอย่างไร นางล้วนไม่เคยบ่นแม้แต่คำเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตะคอกเสียงดังใส่เช่นตอนนี้เลย

“ตะคอกอะไรของเจ้า เป็นข้ากับท่านแม่ที่ตีนางเอง แล้วอย่างไร ใครใช้ให้นางไม่เชื่อฟังเล่า กินข้าวสกุลไป๋ ใช้ของสกุลไป๋ สกุลเราสิ้นเปลืองอาหารเลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่ตั้งเท่าไร นางต่างหากที่โตขึ้นมากลับปีกกล้าขาแข็ง แม้แต่คำพูดของท่านย่าและท่านป้าใหญ่ตนเองยังกล้าจะไม่เชื่อฟัง ก็สมควรแล้ว”

สีหน้าสมน้ำหน้าของหลิวซื่อ ทำเอาจ้าวซื่อต้องตะกายลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะพุ่งเข้าไปตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรง “ข้าทำงานต่างวัวต่างม้าทั้งวัน หรือว่าแม้แต่ข้าวสักคำก็แลกมาให้ลูกสาวข้าไม่ได้ ครอบครัวเจ้ามีกันสี่คน แล้วทำงานได้จริงๆ กี่คนกัน ข้าเคยรังเกียจที่พวกเจ้ามากปากหรือ”

“นางเพิ่งอายุสิบสอง นางเพิ่งอายุได้สิบสองเท่านั้น!”

หลิวซื่อถูกตบหน้าจนมึนงง ตั้งแต่นางแต่งเข้าสกุลไป๋นี้ ก็ไม่เคยถูกผู้ใดตบเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังเป็นการตบหน้าต่อหน้าคนในหมู่บ้านมากมายเช่นนี้ นางนั่งลงกับพื้น ร้องไห้โฮเสียงดังขึ้นมา “นางตีข้า น้องสะใภ้ตีพี่สะใภ้ นางจะตีข้าจนตายแล้ว ใครก็ได้มานี่เร็ว!”

ชาวบ้านที่กำลังมุงดูอยู่นอกรั้วพากันส่ายหน้า “จ้าวซื่อโชคร้ายนัก ต้องมาเจอกับพี่สะใภ้และแม่สามีเช่นนี้ โชคร้ายเสียจริงๆ”

“ถูกต้อง สกุลไป๋ของพวกเขาแม้จะมีบุตรชายถึงสามคน ทว่าคนที่ทำงานมากที่สุดจริงๆ ก็มีแต่เจ้าสาม หลังจากเจ้าสามตายไป ก็มีเพียงสะใภ้สามเท่านั้นที่ทำไร่ทำนา ไหนเลยจะขาดนางได้ สตรีคนหนึ่งทำงานหนักยิ่งกว่าบุตรชายสองคนของบ้านพวกเขาเสียอีก อีกอย่าง บุตรชายคนโตมีลูกสองคน บุตรชายคนรองมีลูกสองคน คนไหนมีลูกน้อยคนกว่าเจ้าสามบ้าง? เหตุใดนางไม่ขายบุตรของตนเองเล่า”

“แต่บุตรสาวเจ้าสามที่ถูกรังแก ก็เป็นแค่เด็กที่เก็บมาเลี้ยงเท่านั้นนี่นา”

……….

ตอนที่ 2 แย่เสียยิ่งกว่าหมูหรือสุนัข

“ถึงแม้จะเป็นเด็กที่เก็บมาเลี้ยง ทว่าก็เลี้ยงดูจนอายุสิบสองแล้ว ต่างอะไรกับลูกสาวแท้ๆ กันเล่า คนเราไม่อาจไร้ศีลธรรมจนเกินไปได้” คนที่กำลังพูดก็คือลุงหูที่เพิ่งไปเรียกจ้าวซื่อกลับบ้านจากทุ่งนา

เสียงตะโกนโวยวายของหลิวซื่อ ทำให้แม่สามีที่เดิมทีตากเสื้อผ้าอยู่ด้านหลังได้ยินเสียงสะใภ้ใหญ่ จึงรีบทิ้งเสื้อผ้าในมือ แล้วหยิบท่อนไม้สำหรับทุบผ้าพุ่งออกมา

“ใครตีเจ้า” ทันทีที่แม่สามีออกมาที่หน้าประตูใหญ่ ก็เห็นหลิวซื่อนั่งร้องไห้ตะโกนเสียงดังอยู่บนพื้น

หลิวซื่อชี้ไปที่จ้าวซื่อ พลางกล่าวว่า “จ้าวหลานนางตีข้า ท่านแม่ ท่านต้องจัดการให้ข้านะเจ้าคะ”

ครั้นแม่สามีเห็นจ้าวซื่อ นางพลันนึกถึงนางเด็กไป๋จื่อ ที่ตายตอนไหนไม่ตาย ดันมาตายเอาเสียตอนนี้ ทำเอาสิบตำลึงเงินที่กำลังจะถึงมือนางต้องหายไป คิดๆ ดูแล้วก็เจ็บใจ เจ็บไปทั่วทั้งตัวเลยทีเดียว

นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถือไม้ทุบผ้าก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะตีจ้าวซื่ออย่างแรงสองสามไม้

จ้าวซื่อเสียใจจนแทบใจสลาย นางสนใจแค่เพียงบุตรสาว ไม่รู้เลยว่าแม่สามีห้อตะบึงเข้ามาหา เมื่อไม้ลงบนร่างสองสามครั้งแล้ว นางก็ล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นทันที เป็นลมสลบไป

ลุงหูที่ยืนอยู่นอกประตูลานบ้านเห็นดังนั้น ก็กล่าวด้วยความตกใจ “ยายแก่น่าตายผู้นี้ ตีหลานสาวจนตายแล้ว แม้แต่สะใภ้ก็จะไม่ปล่อยไป เร็ว รีบไปเรียกหัวหน้าหมู่บ้านมา”

เขาดันคนที่อยู่ด้านข้างครั้งหนึ่ง ส่วนตนเองพุ่งเข้าไปในลานบ้าน ตะคอกใส่สตรีสูงอายุว่า “ยายแก่ผู้นี้ เหตุใดเจ้าถึงใจร้ายนัก เจ้าจะตีจ้าวหลานให้ตายไปเลยหรืออย่างไร”

ฝ่ายแม่สามีก็คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะตีไปสองสามไม้ ลูกสะใภ้จะสลบไปเช่นนี้ ปกตินางก็ถูกตีไม่ใช่น้อยๆ ผิวหยาบหนังหนา เหตุใดตีแค่นี้ก็สลบไปเลยเล่า

หลิวซื่อที่อยู่ข้างๆ เห็นเหตุการณ์ก็ไม่ร้องไห้แล้ว นางรีบเข้ามาใกล้ พลางกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ท่านแม่ หากท่านตีจ้าวหลานจนตาย ต่อไปใครจะทำนาเล่า”

บัดนี้จู่ๆ เด็กสาวที่นอนอยู่บนเสื่อกกก็ลืมตาขึ้นมา ความจริงนางตื่นตั้งนานแล้ว เพียงแต่ในสมองสับสนวุ่นวายนัก ไม่อาจรับเรื่องจริงที่ว่าตนเองซึ่งเป็นแพทย์หญิงชื่อดังจากศตวรรษที่ยี่สิบสาม กลับกลายเป็นเด็กคนหนึ่งในยุคโบราณได้

นางลุกขึ้นนั่ง บาดแผลและความเจ็บปวดทั่วร่างทำให้นางต้องย่นคิ้ว สตรีสองคนนี้โหดร้ายจริงๆ คาดไม่ถึงเลยว่าจะตีเด็กสาวอายุสิบสองปีตายทั้งเป็นได้

“ศพฟื้น ศพฟื้น…” ชาวบ้านที่มุงดูด้านนอกพลันร้องขึ้นมา

แม่สามีและหลิวซื่อก็มองเห็นไป๋จื่อ ที่เดิมทีตายไปแล้วลุกขึ้นนั่งเช่นกัน ทั้งคู่ตกใจจนคุกเข่ากับพื้น

ฝ่ายแม่สามีดันหลิวซื่อไปข้างหน้า ร้องว่า “เป็นนาง นางบอกว่าต้องการขายเจ้า จะได้นำสิบสองตำลึงเงินนี้ให้ต้าเป่าใช้แต่งงาน ไม่เกี่ยวกับข้า ไม่เกี่ยวกับข้า”

ไป๋จื่อชำเลืองมองพวกนางครั้งหนึ่ง สายตาของนางเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง คนเช่นนี้แย่ยิ่งกว่าหมูหรือสุนัขเสียอีก

เดิมทีนางปวดหัว ผนวกกับบาดแผลทั่วร่างกาย ทีแรกจึงคิดจะหลับตาแกล้งตายสักพัก ทว่าได้ยินสิ่งที่พวกนางเพิ่งพูดเมื่อครู่แล้ว นางก็อดรนทนไม่ไหว กัดฟันลุกขึ้นมาเช่นนี้

นางคร้านจะพูดจาไร้สาระกับพวกนาง จึงเข้าไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของจ้าวซื่อโดยตรง กระดูกไหล่ขวาแตก ท้ายทอยบวมปูด ผิวหนังแตกจนมีเลือดไหลจำนวนหนึ่ง บาดแผลไม่สาหัส เพียงแค่สลบไปชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานก็คงฟื้นขึ้นมา

ขณะนี้หัวหน้าหมู่บ้านเบียดฝูงชนข้างนอกเข้ามา เขาเห็นไป๋จื่อยังมีชีวิตอยู่ ทว่ามีบาดแผลเต็มตัว ทั้งบวม ทั้งช้ำ ไม่ต้องกล่าวเลยว่าน่าเวทนาเพียงใด

จ้าวซื่อเป็นลมสลบอยู่บนพื้น ข้างกายมีไม้สำหรับทุบผ้าวางอยู่

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ผู้ใดเป็นคนทำ”

——————————

[1] ซื่อ (氏) หมายถึง นามสกุล ใช้เรียกผู้หญิงสมัยก่อนที่แต่งงานแล้ว โดยจะเรียกต่อกับนามสกุลเดิม