ตอนที่ 1 ป่วยกะทันหัน

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

“คุณหมอคะ ฉันป่วย! อาจจะค่อนข้างจะหนักด้วยค่ะ” 

 

 

“คุณอวิ๋นเจี่ยวใช่ไหม” 

 

 

“ใช่ค่ะ ฉันชื่ออวิ๋นเจี่ยว” 

 

 

“ฟังชื่อแล้วหายหิวเลย ดูคุณตอนนี้ก็ปกติดีนะ ไม่สบายตรงไหนเหรอ” 

 

 

“ฉันรู้สึกว่าตาฉันมีปัญหาค่ะ มันมักจะเห็นอะไรแปลกๆ” 

 

 

“มองเห็นอะไรแปลกๆ เหรอ แล้วคุณรู้สึกเจ็บตาไหม” 

 

 

“ไม่เจ็บเลยค่ะ!” 

 

 

“อืม ผมดูผลตรวจรวมถึงผลเอกซเรย์ของคุณแล้ว ทุกอย่างก็ดูปกติดีนะ ถ้างั้นคุณลองเล่าอาการอย่างละเอียดให้ผมฟังหน่อยว่าคุณมองเห็นอะไรที่ว่าแปลกๆ” 

 

 

“ส่วนใหญ่จะเป็นเงาลางๆ บ้างก็เหมือนสัตว์ บ้างก็เหมือนคน บ้างก็บอกไม่ถูกว่ามันมีลักษณะเป็นยังไง แต่หน้าตาของพวกมันดูน่ากลัว แล้วก็ยังมีสีอีก ส่วนใหญ่จะเป็นสีขาว แต่ก็มีสีดำด้วย อ้อ ใช่ เมื่อกี้ฉันเห็นตัวสีแดงอยู่หน้าโรงพยาบาล พวกมัน…” 

 

 

“เดี๋ยวนะ!” คุณหมอขนลุกไปทั่วทั้งตัว จึงขัดไม่ให้เธอพูดต่อ และมองฝ่ายตรงข้ามจากหัวจรดเท้า “ทำไมฟังแล้วรู้สึกเหมือนกับว่าคุณเจอ…ผี?” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวชะงักไปสักพักแล้วจึงพยักหน้า “ถ้ามันไม่มีคำอธิบายอย่างอื่น ก็คงเหลือแค่สาเหตุนี้” 

 

 

“เหลวไหล!” คุณหมอรู้สึกเย็นวาบในทันใด และใช้สายตาที่ฉายแววไม่เห็นด้วยมองไปยังเธอ “เรื่องงมงายพวกนี้เชื่อไม่ได้นะจะบอกให้! ผมว่าคุณอายุก็ยังน้อย น่าจะแค่ยี่สิบต้นๆ ทำไมถึงได้เชื่อเรื่องพวกนี้” พูดจบก็ก้มลงไปมองอายุของเธอที่ประวัติผู้ป่วย อายุยี่สิบแปด โอเค ก็ถือว่ายังเด็กอยู่ 

 

 

“คุณหมอ ที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงนะคะ ฉันถึงได้มาหาหมอนี่ไง” ใบหน้าของอวิ๋นเจี่ยวยังคงแสดงถึงความจริงจังเหมือนในตอนแรก แม้กระทั่งตาก็ยังไม่กะพริบสักนิด 

 

 

“ผมว่าคุณอาการไม่เบาแล้วล่ะ!” ความดื้อด้านของเธอทำให้คุณหมอไม่พอใจยิ่งขึ้นไปอีก เขาโกรธจนหัวเราะออกมา “เอางี้ ถ้าคุณคิดว่าเห็นผีจริงๆ ไหนคุณลองบอกมาสิว่าผีพวกนั้นนอกจากมีสีแล้ว หน้าตามันเป็นยังไง” 

 

 

“ส่วนใหญ่ก็หน้าตาอัปลักษณ์ บ้างก็คอขาด เลือดทะลักออกมาอย่างกับน้ำพุ บ้างก็มือขาดขาขาด ทำได้แต่คลานอยู่บนพื้น รอยเลือดนี่ลากเป็นทางยาว บ้างก็ลำตัวทะลุเป็นรู แล้วก็จะได้ยินเป็นเสียงทำนองตอนที่ลมพัดผ่านลำตัวของพวกมัน บ้างก็ตัวเละ เลือดกับเนื้อรวมกันจนกลายเป็นเนื้อบด…โดยรวมๆ แล้ว ปกติจะไม่เห็นแบบที่มาครบสามสิบสอง” อวิ๋นเจี่ยวพูดด้วยเสียงที่เรียบเฉย ราวกับกำลังคุยกันเรื่องแฟชั่นโชว์ แต่ไม่ไช่เรื่องผี 

 

 

“…” คุณหมอยิ่งรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นไปอีก ราวกับมีลมหนาวพัดขึ้นมาจากใจ ดื่มน้ำร้อนไปหลายอึกติดต่อกันก็ยังไม่ดีขึ้น 

 

 

“อ้อ! จริงสิ” เธอเหมือนกับมองเห็นอะไรสักอย่าง เอียงคอเล็กน้อยแล้วมองไปที่มือขวาของคุณหมอที่กำลังจับกระบอกน้ำอยู่ “อย่างตัวที่อยู่ด้านซ้ายมือของคุณหมอ เหมือนกับเขาเคยผ่านการผ่าตัดบริเวณท้องมาก่อน ตอนนี้เขากำลังควักไส้ออกมาพาดที่มือของคุณหมออยู่เลย ฉันคิดว่าเขาคงอยากเอาไส้ออกมาตากน่ะ” 

 

 

คุณหมอถึงขั้นมือสั่น แก้วที่จับอยู่ในมือนั้นหล่นลงพื้นดังแกร๊ง ก่อนที่จะกลิ้งออกไปไกล น้ำที่อยู่ในแก้วนั้นสาดไปทั่วพื้นห้อง 

 

 

เขาคิดจะก้มลงไปเก็บ แต่กลับได้ยินอวิ๋นเจี่ยวพูดอย่างเรียบเฉยและไร้อารมณ์ว่า “โอ๊ะ ไส้ร่วงลงไปแล้ว” 

 

 

“…” มือที่กำลังจะเก็บแก้วของคุณหมอชะงักลงในทันที ราวกับเห็นภาพกองไส้และเลือดเต็มพื้นอยู่ตรงหน้าจริงๆ  

 

 

ผู้ป่วยรายนี้น่ากลัวชะมัด! 

 

 

แต่ฝ่ายตรงข้ามดันมีท่าทางจริงจังตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ อีกทั้งยังใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำ แววตาก็ไม่มีทีท่าว่าจะแกล้งหรือจงใจแม้แต่น้อย ขนาดตัวเขาเองยังอดเชื่อไม่ได้เลยว่าเธอเห็นผีจริงๆ  

 

 

ไม่ๆๆ ! คุณหมอสะบัดหน้าอย่างแรง ดึงความคิดของตัวเองที่กำลังจะไปหลงเชื่อเรื่องงมงายแบบนั้น พร้อมท่องในใจว่า ร่ำรวย แข็งแกร่ง ประชาธิปไตย วัฒนธรรม ปรองดอง…  

 

 

เขาถูมือซ้ายที่ขนลุกแรงๆ ไปหนึ่งที พร้อมหายใจเข้าลึกๆ ถึงจะสงบสติได้ ในฐานะที่เป็นหมอ เขาต้องเชื่อในวิทยาศาสตร์ อย่าไปหลงเชื่อเรื่องงมงาย อย่าหลงเชื่อ! 

 

 

หากหญิงสาวที่ชื่ออวิ๋นเจี่ยวคนนี้ไม่ได้โกหก งั้นก็แสดงว่าเธอต้องเห็นภาพหลอนแน่นอน อืม ใช่ ทุกอย่างคือภาพหลอน ถ้าเป็นภาพหลอนก็คงไม่ได้เกี่ยวกับแผนกจักษุของเขาแล้วล่ะ 

 

 

“แค่ก คือ…คุณอวิ๋นครับ ที่นี่เป็นโรงพยาบาล คุณต้องมีความเคารพสถานที่นะครับ อย่าหลอกคนมั่วๆ แบบนี้” 

 

 

“ฉันจริงจังมากนะคะ” อวิ๋นเจี่ยวตอบ 

 

 

คุณหมอเงยหน้ามองใบหน้าของเธอ ใช่ สีหน้าของเธอไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ไม่ได้มีแม้กระทั่งสีหน้าล้อเล่น ทำให้คนอยากหาเรื่องยังทำไม่ลง 

 

 

คุณหมอพอจะเข้าใจอะไรแล้ว ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง พร้อมแนะนำเธออย่างอ้อมๆ “อาการของคุณค่อนข้างซับซ้อน ถือว่าอยู่ในขอบข่ายทางด้านจิตใจ ที่นี่เป็นแผนกจักษุ ผมคิดว่าคุณควรจะไปปรึกษาคุณหมอที่ดูแลด้านนี้โดยเฉพาะดีกว่านะ คุณออกจากประตูนี้แล้วเลี้ยวซ้าย ขึ้นไปที่ชั้นสามดูไหม” นี่มันมีปัญหาทางด้านสมองชัดๆ 

 

 

“คุณหมอหมายถึงแผนกจิตเวชใช่ไหมคะ” อวิ๋นเจี่ยวถาม 

 

 

“อ่อ…ใช่” ถามตรงไปไหมเนี่ย 

 

 

“ไม่ต้องหรอกค่ะ” อวิ๋นเจี่ยวพูดพร้อมส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ แต่กลับไม่มีอาการโกรธสักนิด “เมื่อกี้ฉันเพิ่งลงมาจากชั้นสาม ผู้อำนวยการแพทย์ข้างบนบอกว่า ฉันปกติทุกอย่างเลยแนะนำให้ฉันมาแผนกจักษุ” เธอพูดจบก็หยิบใบประวัติผู้ป่วยของแผนกจิตเวชออกมา 

 

 

“…” เวรเอ้ย ที่แท้ก็ชั้นสามผลักภาระมานี่เอง 

 

 

คุณหมอแผนกจักษุตากระตุกเล็กน้อย ก่อนที่จะกรอกตาไปมาพร้อมกลับคำพูดอย่างรวดเร็ว “จากที่ผมดู คุณก็ปกติดีนะ อาจจะไม่ใช่ปัญหาทางจิตก็ได้ หรือคุณลองเปลี่ยนไปพบจิตแพทย์…” 

 

 

เขาพูดยังไม่ทันจบ อวิ๋นเจี่ยวก็ได้เอ่ยขึ้น “จิตแพทย์ของฉันแนะนำให้ฉันมาหาหมอที่แผนกจิตเวชของโรงพยาบาลนี้” เมื่อพูดจบ เธอก็ควักนามบัตรออกมาสองใบ ใบหนึ่งเขียนว่า ปรึกษาทางจิตวิทยา อีกใบเขียนว่าแผนกจิตเวชโรงพยาบาล 

 

 

คุณหมอ “…” โอ้โห นี่สองต่อเลยเหรอเนี่ย 

 

 

“คุณหมอคะ โรคของฉันรักษาได้ไหมคะ” 

 

 

“คือ…คือว่า…” รักษาได้สิแปลก เขาเป็นหมอตานะ ไม่ใช่หมอผี 

 

 

อึกอักอยู่สักพักก็ยังไม่มีข้อสรุปออกมา สายตามองสายทีขวาที เหลือบไปเห็นผลตรวจที่วางบนโต๊ะ ทันใดนั้นแววตาก็สว่างขึ้นมา 

 

 

“แค่ก คือ…คุณอวิ๋นครับ” คุณหมอกระแอมไอทีนึง ก่อนที่จะพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “อาการของคุณตอนนี้ เพียงแค่นี้คงไม่สามารถวินิจฉัยได้ แต่เบื้องต้นผมสันนิษฐานว่าคงมีอะไรอยู่ในตาของคุณ ทำให้คุณเห็นภาพหลอน อาจจะต้องทำการตรวจอย่างละเอียดถึงจะรู้ผล และอาจจะต้องผ่าตัดด้วย” 

 

 

“…” ในที่สุดสีหน้าของอวิ๋นเจี่ยวก็มีการเปลี่ยนแปลง คิ้วของเธอขมวดเข้าด้วยกันเล็กๆ เหมือนกำลังวิเคราะห์คำพูดของคุณหมออย่างตั้งใจ 

 

 

พอดูเหมือนจะได้ผล คุณหมอก็พูดอย่างไหลลื่นขึ้น “เพราะฉะนั้น ทางผมแนะนำว่า ให้คุณลองไปตรวจที่แผนกศัลยกรรมดู อย่างนี้หากหาสาเหตุเจอในภายหลัง จะได้รักษาได้ตรงตามอาการ อีกทั้งยังประหยัดเวลาของคุณด้วย คุณว่ายังไงครับ” 

 

 

“แผนกศัลยกรรม…” อวิ๋นเจี่ยวเอียงคอเล็กน้อย มองไปยังคุณหมอหนุ่มฝั่งตรงข้าม คิ้วขมวดหนักขึ้นเล็กน้อย “คุณแน่ใจเหรอคะ” 

 

 

“แน่ใจครับ แน่ใจ” คุณหมอพยักหน้ารับอย่างแรง ขอแค่อย่ามาหลอกคนในแผนกของเขา จะผลักไปที่ไหนก็เหมือนกัน ถึงแม้ที่นี่จะเป็นโรงพยาบาล แต่แผนกแต่ละแผนกก็มีเกณฑ์การประเมินความพอใจของผู้ป่วยเหมือนกันนะ จะมาโดนหักคะแนนเพราะเขาไม่ได้ “คุณรีบไปตรวจเถอะ แผนกศัลยกรรมอยู่ชั้นหกนะ อย่ามัวแต่รีรออยู่เลย” 

 

 

“อย่างงั้นเหรอ” เธอเอ่ยแต่กลับไม่ได้ลุกออกไป ซ้ำกลับยังยกถุงที่วางอยู่ข้างๆ มาเปิดพลางพูดว่า “จริงๆ แล้ว…ฉันคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับแผนกศัลยกรรมหรอกค่ะ เพราะว่าฉันเองก็เป็นหมอแผนกศัลยกรรมเหมือนกัน ด้านสมองโดยเฉพาะด้วย” พูดจบ เธอก็หันไปหยิบใบรับรองมากมายออกมาจากถุง วางลงบนโต๊ะทีละเล่ม “นี่เป็นใบประกอบวิชาชีพแพทย์ ใบประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ใบรับรองผู้อำนวยการแพทย์ ใบจบการศึกษาปริญญาเอกจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด รวมถึงใบรับรองการทำงานที่โรงพยาบาลอันดับหนึ่งในเมือง…พอดีว่าฉันกลัวคุณไม่เชื่อ ก็เลยหยิบมาด้วยทั้งหมด” 

 

 

คุณหมอ “…” 

 

 

นี่เขากำลังทำให้ผมลำบากใจชัดๆ !  

 

 

(╯°Д°)╯︵┻━┻