เซี่ยยวี่หลัวนั่งอยู่บนยอดเขา มองเห็นภูเขาเขียวที่อยู่ห่างไกลออกไป แม่น้ำสายเล็กคดเคี้ยวไหลผ่านหมู่บ้าน ขอบฟ้าสีขาวอ่อนๆ ทั้งหมู่บ้านถูกเขาเขียวน้ำใสห้อมล้อม นางสูดลมหายใจเข้าลึก ในจมูกเหมือนยังมีกลิ่นอายธรรมชาติเบาบางลอยวนเวียน
ทิวทัศน์งดงามยิ่งนัก เหมือนธรรมชาติที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นใหม่ก็มิปาน
เซี่ยยวี่หลัวลุกขึ้นยืน สะบัดน้ำค้างบนกาย ก่อนเดินลงจากเขา
ในเมื่อทะลุมิิติมาแล้ว ก็สงบใจอยู่ต่อไปแล้วกัน ชาติก่อนเซี่ยยวี่หลัวผู้นี้ต้องตายอย่างอนาถ ชาตินี้ดีที่ยังไม่สายเกินไป
กลับถึงหมู่บ้าน ผู้คนในหมู่บ้านก็ทยอยกันตื่นแล้ว มีคนซักเสื้อผ้า มีคนทำอาหารเช้า บางส่วนก็ไปทำงานในไร่นา เมื่อเห็นเซี่ยยวี่หลัว บางคนมองตามร่างนางจนไม่อยากละสายตา แต่บางคน เมื่อเห็นเซี่ยยวี่หลัว แววตากลับฉายประกายดูหมิ่นเหยียดหยามและริษยา
บางคนเอ่ยวาจาเสียดสี คำพูดเหล่านั้นย่อมไม่น่าอภิรมย์ “อัยยะ พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรืออย่างไร ดอกไม้ของหมู่บ้านเราวันนี้ยังไม่ทันจะแต่งตัวก็ออกจากบ้านมาแล้ว! เพิ่งลุกจากเตียงสินะ แต่งแบบนี้ให้ใครดูกัน! ”
“นั่นสิ ทำเหมือนกลัวคนอื่นไม่รู้ว่าเส้นผมของนางงดงามแค่ไหน!”
วาจากระแนะกระแหน แต่ดวงตาทั้งคู่กลับคอยจับจ้องเส้นผมสีดำขลับเงางามนั่น ราวกับว่าแค่จ้องมองก็สามารถดูออกว่าเซี่ยยวี่หลัวใช้อะไรในการสระผมอย่างไรอย่างนั้น
เซี่ยยวี่หลัวไม่แม้แต่จะชายมองพวกนาง สองขาบอบบางเพียงพาเจ้าของร่างเดินตรงไปด้านหน้า
แม้ว่าการกระทำของนางร้ายในหนังสือจะน่ากลัว แต่มีจุดหนึ่งที่ดีมากทีเดียว นั่นคือนางหน้าตาดีมาก รวมถึงสภาวะจิตใจก็แข็งแกร่งเป็นพิเศษ
บางทีอาจเพราะนางงดงามตั้งแต่เล็กจนโต ถูกคนจ้องมองและกล่าววาจาเสียดสีมามาก เมื่อเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน ตัวนางก็เหมือนดวงดาราที่สูงส่งและเจิดจรัสที่สุดดวงนั้น ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เปล่งประกายที่สุด นางจึงไม่มีความประหม่าแม้แต่น้อย
ถ้าจะพูดให้น่าฟังก็เรียกว่าใจกล้า พูดไม่น่าฟังก็เรียกว่าหนังหน้าหนา หากพูดให้ไม่น่าฟังยิ่งกว่านี้ ก็เรียกว่าไม่เห็นใครอยู่ในสายตา หยิ่งยโส คิดว่าไม่มีใครคู่ควรกับตนเอง
ที่ว่าไม่มีใครคู่ควรกับตนเอง หมายรวมถึงพระเอกเซียวยวี่ เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่ง รวมทั้งชายหนุ่มหญิงสาวคนชราและเด็กเล็กทั้งหมดในหมู่บ้านสกุลเซียวด้วย
แต่งมาอยู่ที่หมู่บ้านสกุลเซียวจวนจะสี่ถึงห้าเดือนแล้ว แต่นางกลับไม่มีสหายที่นี่สักคน แม้แต่เซียวยวี่สามีของนางก็โกรธแค้นนางแทบตาย เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งกลัวนางเสียยิ่งกว่าอะไร แม้แต่คนในครอบครัวยังเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคนรอบตัวคนอื่นๆ
ตอนที่เซี่ยยวี่หลัวอ่านหนังสือก็รู้สึกประหลาดใจ นางเป็นคนเช่นไรกัน ทั้งที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย เป็นหญิงบ้านนาที่เติบโตในชนบท เหตุใดถึงหยิ่งยโส คิดว่าตัวเองเป็นผู้สูงส่ง?
จริงๆเลย ทั้งที่ไม่มีชะตาจะได้เป็นองค์หญิง แต่กลับมีโรคองค์หญิงเสียได้!
คิดมาตลอดทาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเซี่ยยวี่หลัวเปลี่ยนไป นางจึงยังคงทำสีหน้าเหมือนเคย ดวงหน้าเย็นชาท่าทางสูงส่ง เชิดหน้าขึ้นสูง เดินผ่านผู้คนด้วยท่าทีหยิ่งทะนง
เสียงหายใจเฮือกด้วยความตกใจยังคงดังขึ้นเป็นระลอกจากด้านหลัง จากนั้นจึงเป็นเสียงก่นด่าของผู้หญิง “ตาแก่นี่ ยังจะมองอยู่ได้ ถ้ามองอีก มารดาจะควักลูกตาเจ้าออกมาซะ…”
จากนั้นจึงมีเสียงตกใจของผู้ชายดังขึ้น
ในที่สุดก็ถึงบ้าน
เซี่ยยวี่หลัวผ่อนลมหายใจทีหนึ่ง ผลักเปิดประตูใหญ่เข้าไปในบ้าน
นางเป็นคนในยุคปัจจุบัน เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนั้น ก็รู้สึกประหม่าเหมือนกัน! นางร้ายผู้นี้ มีหัวใจที่แข็งแกร่งเพียงใดกัน
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
ภายในลานบ้านเงียบกริบ เซี่ยยวี่หลัวตักน้ำขันหนึ่งกลับไปในห้องตัวเอง
หลังจากล้างหน้าบ้วนปาก เซี่ยยวี่หลัวก็มานั่งอยู่หน้ากระจก
กระจกทองแดงเล็กมาก ส่องเห็นใบหน้าเพียงครึ่งซีก แต่ยังสามารถเห็นใบหน้างดงามดุจหยกจากกระจกได้
ดวงหน้ารูปไข่ ผิวพรรณเนียนนุ่มขาวผ่องดุจหิมะ เกลี้ยงเกลาราวกับไข่ไก่ที่กระเทาะเปลือกออกแล้ว คิ้วทรงใบหลิวเรียวเล็ก ดวงตาคู่โตหยาดเยิ้ม ทุกการไหวคิ้วกระพริบตาเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน ทั้งยังแฝงเร้นด้วยความสูงสง่าและหยิ่งทะนงที่ไม่อาจพรรณนาได้
สันจมูกโด่ง ริมฝีปากทรงเชอร์รี่งามอ่อนนุ่ม เมื่อก้มหน้า ก็เห็นช่วงเอวเล็กบอบบางจนสามารถโอบได้ด้วยมือเดียว ใต้ช่วงอกเห็นเพียงท่อนขา รูปร่างหน้าตานี่มันช่าง…
กำไรแล้ว!
เซี่ยยวี่หลัวเผยรอยยิ้ม ในหนังสือบรรยายไว้ถูกต้อง นางร้ายมีรูปโฉมและรูปร่างที่ทำให้คนอยากก่ออาชญากรรม
ทว่า ตามแบบฉบับของนิยาย นางเอกมักจะงดงามบริสุทธิ์ สูงส่งและสง่างาม นางร้ายมักมีเสน่ห์เย้ายวนไร้ยางอายอย่างไม่มีขีดจำกัด ตอนนี้ตัวเองมีรูปลักษณ์ทรงเสน่ห์ชวนหลงใหล นับตั้งแต่นี้ ต้องเก็บใบหน้านี้ไว้ให้ดี ห้ามทำหล่นหายเป็นอันขาด
หลังจากเซี่ยยวี่หลัวล้างหน้าแล้ว ก็รู้สึกหิว เปิดตู้เสื้อผ้า นำขนมที่นางร้ายแอบเก็บไว้ออกมา
สิ่งของที่นางร้ายแอบเก็บไว้มีหลายอย่างทีเดียว ขนมเค้กสองกล่อง ยังมีน้ำผึ้งโถใหญ่ เซี่ยยวี่หลัวชงน้ำผึ้งหนึ่งถ้วย กินขนมเค้กอีกไม่กี่ชิ้นก็อิ่มแล้ว
รูปร่างดีเกินไป กินแค่นี้ก็พอ
เซี่ยยวี่หลัวที่กินอิ่มแล้วย่อมต้องไปดูภายในตัวบ้าน บ้านหลังนี้ที่มีเขียนบรรยายไว้ในหนังสือ
เซียวยวี่เป็นบุตรชายคนโตของครอบครัวสกุลเซียว ปีนี้อายุสิบเจ็ด อายุมากกว่าเซี่ยยวี่หลัวสองปี
เขามีน้องชายกับน้องสาว คนโตคือเซียวจื่อเซวียน ปีนี้อายุแปดขวบ คนเล็กคือเซียวจื่อเมิ่ง ปีนี้อายุหกขวบ เมื่อหลายปีก่อน บิดามารดาของพวกเขาป่วยหนัก ใช้ทรัพย์สินแทบทั้งหมดที่มีเพื่อรักษา แต่สุดท้ายก็ยังจากโลกนี้ไป ตอนพวกเขาจากไป เซียวจื่อเมิ่งเพิ่งอายุสามขวบ สถานการณ์ของครอบครัวย่ำแย่ลงมาก เรือนหลังใหญ่กว้างขวางแต่เดิมก็กลายเป็นเรือนดินหลังเล็กในตอนนี้
ภายในตัวบ้านมีเพียงสามห้อง เซี่ยยวี่หลัวหนึ่งห้อง เซียวยวี่หนึ่งห้อง เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งใช้ห้องร่วมกัน
เซี่ยยวี่หลัวเพิ่งเดินไปถึงหน้าประตูห้องของสองพี่น้อง บานประตูแง้มไว้เล็กน้อย มีเสียงกรอบแกรบดังมาจากภายใน มือของเซี่ยยวี่หลัวเพิ่งแตะโดนประตู ก็ได้ยินเสียงของเซียวจื่อเซวียนดังขึ้นจากด้านใน “เจ้าอย่าใจร้อน กินช้าๆ เดี๋ยวจะสำลัก!”
เพิ่งสิ้นเสียง เซียวจื่อเมิ่งก็ส่งเสียงไอสองสามที สำลักแล้วจริงๆ นางกดเสียงไอให้ต่ำ ไม่กล้าไอเสียงดังจนเกินไป ด้วยเกรงว่าคนอื่นจะได้ยิน
“มา ดื่มน้ำก่อน!”
เซี่ยยวี่หลัวแย้มรอยยิ้ม ที่แท้เด็กสองคนแอบกินอาหารอยู่ภายในห้องนี่เอง!
นางเคาะประตู จงใจกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อยู่ข้างในหรือไม่?”
“อ๊า…”
เสียงร้องของเซียวจื่อเมิ่งดังมาจากด้านใน เซี่ยยวี่หลัวเป็นห่วงเด็กคนนั้น เพียงบอกว่า “ข้าจะเข้าไปแล้ว” ก็ผลักเปิดประตูเข้าไป เซี่ยยวี่หลัวไม่ทันสังเกตว่าภายในห้องเป็นอย่างไร เพียงเห็นเด็กสองคนยืนตัวเกร็งอยู่ตรงนั้น ซ่อนมือทั้งคู่ไว้ด้านหลัง มองเซี่ยยวี่หลัวด้วยแววตาหวาดกลัว ราวกับว่าผู้ที่เดินเข้ามาเป็นภูตผีปีศาจร้าย
“เป็นอะไรไป?” เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว “ทำไมถึงมองข้าแบบนี้!”
เซียวจื่อเซวียนกัดริมฝีปาก ไม่กล้ากล่าวอะไร เซียวจื่อเมิ่งขอบตาขึ้นสีแดง คล้ายกับว่าจะหลั่งน้ำตาได้ทุกเมื่อ
เมื่อเซี่ยยวี่หลัวเห็นท่าทางหวาดกลัวของเด็กสองคน ก็คิดว่าตัวเองคงทำให้พวกเขาตกใจ จึงจงใจกระแอมสองที หมายจะทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง “ซ่อนอะไรไว้ในมืองั้นหรือ? ให้พี่สะใภ้ดูหน่อย!”
ใครจะรู้ว่าหลังจากนางกล่าวจบ สีหน้าของเด็กสองคนก็เปลี่ยนไปทันที
เซียวจื่อเซวียนคอตก เซียวจื่อเมิ่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ทั้งสองคนนำของออกมาจากด้านหลังด้วยอาการสั่นเทิ้ม เซียวจื่อเมิ่งส่งเสียงร่ำไห้ “สะใภ้ใหญ่ ต่อไปข้าจะไม่แอบกินของอีกแล้ว ขอร้องล่ะ อย่าตีข้าเลย ฮือๆ…”
เซียวจื่อเซวียนขวางอยู่ตรงหน้าเซียวจื่อเมิ่ง ยื่นมือออกมาพร้อมกล่าว “หากจะตีก็ตีข้า อย่าตีน้องสาวข้า!”
เซี่ยยวี่หลัว “…”
นางในอดีต น่ากลัวถึงเพียงนั้นเลยหรือ?