ตอนที่ 4ทำไมถึงไปรับเจ้าคนปัญญาอ่อนนี่กลับมา
อย่าว่าแต่เฉจื่อเจิ้งเลย แม้แต่พวกชาวบ้านที่กำลังมุงดูอยู่ก็ยังตะลึงกับคำว่า ‘สังหารทันที’ เช่นกัน
ในขณะนั้น รอยยิ้มไร้เดียงสาของเจียงป่าวชิงก็ไปหยุดอยู่ในนัยน์ตาของเฉจื่อเจิ้ง ราวกับเป็นนิมิตหมายที่เร่งเอาชีวิตของพญายมอย่างไรอย่างนั้น
สีหน้าของเฉจื่อเจิ้งแปรเปลี่ยนจากเขียวเป็นซีด จากนั้นเขาพูดขึ้นอย่างกระวนกระวายว่า “เจ้าเท้าเล็ก เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ? สังหารทันทีอะไรกัน ? ถุย! ข้าจ่ายเงินให้นายหน้าและซื้อนางมาด้วยความซื่อตรง ไม่ได้ไปขโมยรึแย่งมา เจ้ามีสิทธิ์อะไรจะมาตัดหัวข้า ?!”
“โอ้!” เจียงป่าวชิงยิ้มตาหยี ถึงแม้ว่าใบหน้าเล็กจะซีดและอ่อนวัยไปสักหน่อย อีกทั้งร่างเล็กยังผอมซูบจนเกินไป แต่ดวงตาที่สุกใสราวกับหยดน้ำเกาะใบไม้ของนางจ้องตรงไปที่เฉจื่อเจิ้ง ราวกับต้องการมองทะลุเฉจื่อเจิ้งอย่างไรอย่างนั้น
“ซื่อตรงอย่างนั้นหรือ ? ได้ งั้นข้าขอถามท่านสักหน่อย ตอนที่พวกท่านทำการค้ากัน ได้มีสัญญาหรือหลักฐานอะไรไหมเล่า ?”
ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่หนาวเหน็บ กลับมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ไหลลงมาจากหน้าผากของเฉจื่อเจิ้ง เขานั้นพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
เขาเป็นคนที่ไม่รู้หนังสือ จะไปเคยสนใจสิ่งของจำพวกสัญญาหรือหลักฐานได้อย่างไรกัน ?
เฉจื่อเจิ้งทำใจดีสู้เสือ จากนั้นเขาก็ตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง “แล้วเจ้าจะทำไม ?! ที่นี่เราให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือต่างหากล่ะโว้ย! ไม่อย่างนั้นให้ข้าเรียกนายหน้าคนนั้นมาเป็นพยานให้ก็ได้”
อยู่ ๆ เฉจื่อเจิ้งที่ตกอยู่ในสภาพจนตรอกก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นเขาก็เผยความดีใจออกมาทางใบหน้าและพูดขึ้นเสียงดังว่า “ข้านึกออกแล้ว! นายหน้าคนนั้นนำกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ข้าดู และบอกว่านี่เป็นโฉนดขายร่างของเจ้า และด้านบนยังมีรอยนิ้วมือของเจ้าด้วย อีกอย่าง คนอื่น ๆ ก็สามารถเป็นพยานให้ข้าได้ หม่าเหล่าซาน หลีเหล่าอู่ พวกเจ้าว่าใช่ไหมล่ะ ?! ตอนที่ข้ากำลังซื้อเจ้าเด็กนี่ ข้าจำได้ว่าพวกเจ้ากำลังมองดูเหมือนอยากได้อยู่ที่นั่นด้วยไม่ใช่รึ ?”
เฉจื่อเจิ้งเรียกชื่อสองคนนั้น ทั้งสองคนสบตากันเล็กน้อยและพากันพยักหน้าด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่นัก
ขณะนี้ชาวบ้านคนอื่น ๆ ในตระกูลหลีไม่ได้เอ่ยคำพูดคำจาที่เย็นชาอะไรแล้ว ต่างคนต่างพูดว่า “เงินอยู่ในมือครอบครัวของพวกเจ้าแล้ว ยอมรับไปเถอะ” และยังบอกอีกว่า “ไม่เคยได้ยินมาก่อน ไอ้การที่ขายลูกสาวแล้วคิดเปลี่ยนใจ จะมาพาตัวลูกสาวกลับไปจากบ้านของผู้ชายอะไรเช่นนั้น”
หลายคนพากันเกลี้ยกล่อมให้สองพี่น้องยกเลิก
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น แต่การตัดหัวก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย ถ้าหากว่าเฉจื่อเจิ้งทำผิดกฎหมายจริง ๆ ก็ไม่อาจบอกได้ว่าเฉจื่อเจิ้งจะต้องเจอกับโทษอะไรบ้าง ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน เมื่อเผชิญหน้ากับคนนอกหมู่บ้าน เมื่อเห็นว่าเป็นเด็กสองคนที่อ่อนแอ มันจึงถูกต้องเสมอที่เด็กทั้งสองคนจะคอยดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ผู้คนในภูเขาเหล่านี้ไม่มีสงครามในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล ทำให้ช่วงเวลานี้ดีขึ้นมาสักหน่อย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกิดความโกลาหลอย่างรุนแรง มีคนจำนวนมากทำการขายบุตรชายและบุตรสาวของตัวเอง เมื่อได้เงินก็จับตัวเด็กไปทันที จะไปมีเอกสารหนังสือขายร่างกายอะไรนั่นได้อย่างไรกัน
นายหน้าที่พาตัวเจียงป่าวชิงมานั้นก็ไม่ได้เป็นนายหน้าจริง ๆ สักหน่อย เป็นแค่สาวใช้ในหมู่บ้านที่ทำเรื่องไม่ดีเท่านั้นเอง นางออกเอกสารที่มีรอยนิ้วมือของเจียงป่าวชิงขึ้นมาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า และทำการหลอกล่อเฉจื่อเจิ้ง เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นเช่นนี้แล
และในความทรงจำของเจียงป่าวชิง เจ้าของร่างเดิมก็มีเรื่องประทับรอยนิ้วมือจริง ๆ
ในตอนนั้นปู่คนที่สองที่ได้ชื่อว่ารับพวกเขาสองพี่น้องมาเลี้ยง ทำการบีบบังคับและดึงมือนางไปสัมผัสกับขี้เถ้าบนเตา จากนั้นเขาก็กดมือนางลงไปประทับบนกระดาษแผ่นหนึ่งจนเกิดเป็นรอยนิ้วมือขึ้นในที่สุด
และ ‘เธอ’ ก็จำได้อย่างชัดเจนอีกว่าหลังจากที่ประทับรอยนิ้วมือเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นปู่คนที่สอง รวมถึงคนอื่น ๆ ที่อยู่ในบ้าน ล้วนแต่มีรอยยิ้มแห่งความโลภทาบทาอยู่ทั่วทั้งใบหน้า
เจียงป่าวชิงก้มหน้าลง จากนั้นรอยยิ้มดูถูกก็เผยขึ้นตรงมุมปากของ ‘เธอ’
ในตอนที่เจียงป่าวชิงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าของ ‘เธอ’ ก็กลับมาเป็นปกติแล้ว
เจียงหยุนชานไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องประทับรอยนิ้วมืออะไรนี้ด้วย เมื่อลองคิดดูแล้ว ตอนนั้นสติปัญญาของน้องสาวเขายังไม่กลับมาเป็นปกติ เป็นไปได้เพียงว่าครอบครัวของปู่คนที่สองบีบบังคับให้นางทำเช่นนี้
ในแววตาของเจียงหยุนชานมีความเจ็บปวดอยู่ในนั้น เขากำหมัดแน่นจนเห็นความปูดของเส้นเลือด
เจียงป่าวชิงมองเฉจื่อเจิ้งด้วยใบหน้าขรึมเข้มก่อนจะแค่นเสียงพูดขึ้นว่า “รอยนิ้วมือยืนยันอะไรไม่ได้หรอก! ท่านบอกว่าสามารถหานายหน้ามาเป็นพยานให้ตัวเองได้ ข้าก็สามารถหาคนกลุ่มหนึ่งมาเป็นพยานให้ข้าได้เหมือนกัน! คนในบ้านของพวกเรารู้ดีว่าก่อนหน้านี้ข้าเป็นคนไร้สติปัญญาเพราะป่วยเป็นโรคปัญญาอ่อน ตอนนี้ข้าตกลงไปในแม่น้ำโดยไม่ได้ระมัดระวังจนฟื้นคืนสติหลังจากได้รับความโปรดปรานจากเทพเจ้าแห่งสายน้ำนี้”
บนนิ้วมือที่ผอมซูบของเจียงป่าวชิงแทบจะไม่มีเนื้อส่วนเกินเลย นางชี้ไปที่แม่น้ำคราดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง “การกระทำของคนไร้สติปัญญานั้นไม่มีผลใด ๆ ทางกฎหมายหรอก”
เมื่อเจียงป่าวชิงพูดถึงเรื่องที่เธอสามารถฟื้นคืนสติได้จากแม่น้ำคราด ก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยมีสีหน้าหวาดกลัว ขณะที่ชาวบ้านที่ยังคงพูดคุยกันอยู่ก็พากันปิดปากอย่างเร็ว
เฉจื่อเจิ้งเติบโตขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำคราด แน่นอนว่าเขาจึงเชื่อเรื่องตำนานแม่น้ำคราดโดยไม่มีข้อสงสัย เขาเห็นว่าเจียงป่าวชิงพูดถึง ‘ความโปรดปรานจากเทพเจ้าแห่งสายน้ำ’ ใจเขาพลันกระตุกเล็กน้อย
เมื่อก่อนเคยเกิดน้ำท่วมที่แม่น้ำคราดแห่งนี้ และตอนนั้นก็ได้มีการส่งเด็กผู้หญิงจำนวนมากลงไปในแม่น้ำเพื่อเซ่นไหว้ให้กับเทพเจ้าแห่งสายน้ำ
ในตอนนั้นมีเด็กหญิงเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิตมาได้ ต่างคนต่างพากันว่ายขึ้นฝั่ง หมอดูเฒ่าตาบอดบอกว่าเทพเจ้าแห่งสายน้ำคุ้มครองพวกนาง จึงไม่เอาชีวิตพวกนางไป ต่อมาเด็กผู้หญิงเหล่านั้นก็ได้ดิบได้ดี แต่ละคนใช้ชีวิตอย่างราบรื่นไร้อุปสรรคใด ๆ ราวกับว่ามีเทพเจ้าคุ้มครองพวกนางอยู่ตลอดเวลา
เจียงป่าวชิงพูดถึงเทพเจ้าแห่งสายน้ำอีกครั้งในตอนนี้ เฉจื่อเจิ้งจึงรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ประกอบกับก่อนหน้านี้ที่เจียงป่าวชิงพูดถึงเรื่องทำผิดกฎหมายต้องถูกสังหารทันทีอะไรเทือกนั้น เฉจื่อเจิ้งยิ่งรู้สึกจิตใจสั่นคลอนมากกว่าเดิม
เจียงหยุนชานจับมือผู้เป็นน้องสาวและพูดขึ้นอย่างโกรธเคือง “เราไปกันเถอะ ในเมื่อเจ้ากับข้าพูดกับพวกเขาไม่รู้เรื่อง เราก็ไปฟ้องศาลกันดีกว่า แล้วมาดูกันว่าข้าราชการจะจับพวกเขาหรือจับเรา”
เจียงป่าวชิงแอบยกนิ้วโป้งให้พี่ชายในใจ ขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกอบอุ่นในใจด้วย …ความรู้สึกที่มีพี่ชายปกป้องนี่มันดีจริง ๆ
คำพูดของเจียงหยุนชานกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่กดทับอูฐไว้ได้ เฉจื่อเจิ้งเปลี่ยนสีหน้า ถ่มน้ำลายลงบนพื้นอย่างโหดเหี้ยมก่อนจะตะคอกเสียง “เออ ๆ ๆ ถือว่าข้าโชคร้ายเอง ซวย! ซวยจริง ๆ!”
……
เจียงเอ้อยาแอบย่องเข้าไปในห้องครัวที่บ้าน และแอบตักไข่ต้มออกมาจากในหม้อหนึ่งฟอง
ไข่ต้มที่เพิ่งออกจากเตานั้นร้อนมือมาก เจียงเอ้อยารู้สึกร้อนจนต้องเปลี่ยนมือไปมา นางทำแก้มป่องและเป่าลมใส่ไข่ต้มเพื่อให้มันเย็นเร็วยิ่งขึ้น
เมื่อโจซื่อ แม่ของเจียงเอ้อยาเข้ามาเห็นท่าทางของเจียงเอ้อยา นางก็เดินเข้าไป มือก็ตีไปที่บริเวณหลังของเจียงเอ้อยาทันที “เจ้าเด็กบ้า! ไข่ต้มนี้ใช้สำหรับเสริมสุขภาพให้กับพี่สาวของเจ้า เจ้าเอาแต่กินอยู่นั่นแหละ ทั้งวันสักแต่จะขโมยกินอย่างเดียว ในบ้านเคยมีอะไรบ้างที่เจ้าไม่เคยกิน! เจ้าเป็นผีตายอดตายอยากหรืออย่างไร ?”
เจียงเอ้อยาถูกตีจนเกือบทำไข่ตกพื้น
โจซื่อแย่งไข่ต้มฟองนั้นมาจากมือของเจียงเอ้อยา จากนั้นก็นำกลับไปวางในเตาอย่างระมัดระวัง ตอนที่นางกำลังจะสั่งสอนเจียงเอ้อยาอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงดังมาจากนอกประตูไม้เสียก่อน
เจียงเอ้อยารีบพูดขึ้นทันที “ข้าจะไปดูให้เองว่าใช่คนของตระกูลหม่าส่งคนมาสู่ขอพี่ใหญ่ไหม ?” พูดจบนางก็วิ่งออกไปทันที
เจียงเอ้อยารู้ว่าตอนนี้มีเพียงเรื่องที่คนของตระกูลหม่าจะมาสู่ขอพี่ใหญ่เท่านั้นที่จะสามารถทำให้แม่ของนางลืมเรื่องที่จะสั่งสอนนางไปได้
บ้านของตระกูลเจียงเล็กมาก มีเพียงห้องกระเบื้องดินเผาสามห้องและห้องดินเหนียวสองห้อง ท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อพักอยู่ที่ห้องกระเบื้องดินเผาห้องที่หนึ่ง เจียงอีหนิว บุตรชายของท่านปู่เจียงกับโจซื่อผู้เป็นภรรยา ได้พาเจียงโหย่วฉาย บุตรคนเล็กของพวกเขาไปพักอยู่ที่ห้องกระเบื้องดินเผาห้องที่สอง และเจียงเหมยฮัว บุตรสาวคนเล็กของท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อก็พักอยู่ที่ห้องกระเบื้องดินเผาห้องที่สามกับเจียงต้ายาหลานสาวคนโตและเจียงเอ้อยาหลานสาวคนรอง
ห้องดินเหนียวสองห้องที่เหลืออยู่ เดิมทีนั้นห้องหนึ่งถูกใช้เป็นห้องครัว อีกห้องใช้เป็นห้องเก็บของ ต่อมาท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อรับเจียงหยุนชานและเจียงป่าวชิงมาเลี้ยง ก็คร้านที่จะสร้างห้องอีกห้องให้กับสองพี่น้อง จึงจัดเก็บห้องดินเหนียวที่ใช้วางของจิปาถะ และให้เจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงพักอาศัยอยู่ที่นี่แทน
ประตูไม้อยู่ไม่ไกลจากห้องครัวมากนัก เจียงเอ้อยาวิ่งออกไป และเมื่อเห็นผู้มาเยือน นางก็ตกตะลึงไปในทันที
เจียงหยุนชานผลักประตูไม้เข้ามาด้วยมือข้างเดียว มืออีกข้างของเขาพยุงเจียงป่าวชิงให้เดินเข้ามาด้านใน
น้ำเสียงของเจียงเอ้อยาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว “หยุนชาน เจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทำไมถึงไปรับคนปัญญาอ่อนกลับมาอีก ?! เจ้าคนปัญญาอ่อนมันถูกขาย…”
เมื่อสักครู่เจียงเอ้อยากำลังจะพูดว่าคนปัญญาอ่อนนี้มันถูกขายให้เป็นเมียของไอ้ง่อยแล้ว แต่นางกลับนึกขึ้นได้ว่าเจียงหยุนชานยังอยู่ที่นี่ จึงทำได้เพียงยั้งปากอย่างแค้นใจ
ถึงแม้ว่าเจียงเอ้อยาจะพูดไม่จบ แต่เจียงหยุนชานและเจียงป่าวชิงก็เดาได้ว่าเจียงเอ้อยาคิดจะพูดอะไร
เจียงป่าวชิงก้มหน้าลงพลางหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ในใจ