บทที่ 3 คำพิพากษาจากนรก EnjoyBook
บทที่ 3 คำพิพากษาจากนรก
ต้นคอของฉินเย่แข็งเกร็งขึ้นมาทันทีที่เลือดหยดลงมามากกว่าเดิม แม้ว่าทั้งห้องจะถูกปกคลุมด้วยความมืด แต่ฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ค่อย ๆ ยกโทรศัพท์ในมือขึ้นส่องไปยังเพดานที่อยู่เหนือศีรษะของตัวเอง
เสี้ยววินาทีนั้นเด็กหนุ่มมองเห็นปากที่อ้ากว้างประมาณหนึ่งฟุตพร้อมกับร่างขาวซีดห้อยอยู่บนเพดาน!
พร้อมกับเสียงขู่ฟ่อที่ดังขึ้น ฟันอันแหลมคมของมันก็กัดลงมาอย่างรุนแรง!
เมื่อมองจากทางด้านหลัง ภาพที่เห็นคือร่างเปลือยเปล่าของเด็กที่มีลำตัวผอมแห้งเกาะอยู่บนศีรษะของฉินเย่โดยที่กัดชายหนุ่มไปด้วย
“อ๊ากกกก!!!” อี้หลงและเฉิงห่าวร้องเสียงหลง ทั้งคู่ยืนตาเหลือกและหมดสติไปในวินาทีต่อมา
แต่กลับไม่มีเสียงน่าสยดสยอง อย่างเสียงของกระดูกถูกบดขยี้จากคมเขี้ยว ที่กัดลงไปอย่างแรงดังเล็ดลอดออกมาเลยสักนิด
เมื่อเอี้ยวหลังกลับมา ในมือของฉินเย่ก็ถือไม้เท้าสีเงินที่สลักลายดอกบัวเอาไว้ที่ปลายทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะ และแทงมันเข้าไปในปากของผีเด็กตัวนั้นอย่างแรงทันที
“อึก….อ่อก!!!” ร่างของมันบิดไปมาเมื่อมันพยายามที่จะปิดปากลง แต่น่าเสียดาย…ไม้เท้าสีเงินที่สอดอยู่ในปากของมันขัดขวางมันเอาไว้
เวลานี้..สีหน้าของฉินเย่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง มันมีทั้งความขบขันและความเฉยเมย เขายิ้มและเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวออกมาเสียที….หึหึ”
“รู้อะไรไหม? ข้าตามหาเจ้ามาเป็นเวลานานถึงเพียงนี้ ทั้งต้องแสร้งทำตัวอ่อนแอและขี้ขลาดตาขาว แต่ในที่สุด…ความพยายามของข้าก็ไม่สูญเปล่า…”
ตู้ม!
ทันทีที่พูดจบประโยค กลุ่มควันสีดำที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ระเบิดออกมาจากร่างของฉินเย่ ในขณะเดียวกัน น้ำเสียงอันน่าเกรงขามก็ดังขึ้นมาในความมืด “ด้วยคำพิพากษาจากนรก…เหล่าดวงวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น!”
พรึ่บ! ลมพายุที่พัดเข้ามาอย่างกะทันหัน ได้กวาดเอาเศษฝุ่นที่กองอยู่บนพื้นทั้งหมดออกไปจากห้องด้วยคลื่นพลังที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แม้แต่ผ้าม่านเองก็ปลิวไปเช่นกัน
ทันทีที่พายุเริ่มพัด ดวงตากลวงโบ๋บนใบหน้าของเด็กน้อยก็เบิกกว้างกว่าเดิม
วิญญาณมีร่างกายทางกายภาพด้วยงั้นเหรอ?
บางที อาจเป็นเพราะว่าเด็กน้อยสัมผัสแล้วว่า คลื่นพลังสีดำที่โอบล้อมร่างของตัวเองนั้นเทียบไม่ได้เลยกับคลื่นพลังหยินที่ห่อหุ้มร่างของฉินเย่อยู่อย่างหนาแน่น หมุนวนอย่างรุนแรงก่อเป็นกระแสน้ำวนสีดำ
กลัว….ร่างของเด็กน้อยสั่นระริก ความรู้สึกนี้…ความรู้สึกที่เล็ดลอดออกมาจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณ แสดงถึงสัญชาตญาณเบื้องต้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับขุมพลังที่มากกว่า
ใช่….เขาเคยได้ยินเรื่องนี้ขุมพลังแบบนี้มาก่อน…มันคือ…
ทันใดนั้นร่างของเด็กน้อยก็สั่นสะท้าน เขากรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน พยายามจะวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ยมทูต!!! ยมทูต!!! ประตูนรกเปิดแล้ว!! เขามาที่นี่เพื่อจับเรา!!”
ฟึ่บ! เขารีบวิ่งหนีราวกับสุนัข ลืมถึงความจริงที่ว่ามีไม้เท้าสีเงินสอดอยู่ในช่องปากของตัวเองไปเสียสนิท สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของเขาตอนนี้ก็คือความกลัว…เป็นความหวาดกลัวที่มากกว่าที่เฉิงห่าวและอี้หลงประสบรวมกันหลายพันเท่า!
เป็นยมทูตไปได้อย่างไร?
คนพวกนี้ไม่เคยปรากฏตัวที่ไหนมากว่าร้อยปีแล้ว! ไม่…นี่จะต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่ ๆ ปกติแล้วพวกยมทูตจะแต่งตัวคล้ายกับเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่แต่ละคนก็จะมีพลังมากมายมหาศาล มากพอที่จะสามารถจัดการกับเหล่าดวงวิญญาณร้ายได้อย่างง่ายดาย
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ประตูและหน้าต่างที่ถูกปิดสนิทก่อนหน้านี้ถูกเปิดออกทันทีที่ดวงวิญญาณของเด็กน้อยพุ่งตรงออกไปด้านนอก แต่ทันใดนั้นเอง โซ่เส้นยาวพร้อมตะขอก็พุ่งออกจากปลายของไม้เท้าวิเศษ ตรงไปที่ผีตัวนั้นราวกับเป็นเครื่องตามตัวที่มีประสิทธิภาพ
นี่คือโซ่สำหรับการจับดวงวิญญาณชั้นแนวหน้าที่ทำมาจากโซ่สีเงินขาว และทันทีที่มันสัมผัสโดนตัวเป้าหมาย มันก็เริ่มเปล่งแสงออกมาพร้อมกับอักขระโบราณที่ปรากฏขึ้น เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น วิญญาณเด็กน้อยที่พยายามวิ่งหนีอย่างกระเสือกกระสนล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรงจนฝุ่นคละคลุ้งไปทั่ว
“ข้าคือผู้ที่แบกรับคำพิพากษาแห่งนรก เจ้าคิดว่าตัวเองจะสามารถหนีไปได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
ด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง ฉินเย่จับโซ่ในมือแน่นขึ้น ร่างของเด็กน้อยถูกดึงกลับมาขณะที่เขายังคงสำลักอย่างหายใจไม่ออก ประตูห้องเรียนถูกปิดลงอย่างแรงอีกครั้ง
โครม! โต๊ะเรียนและเก้าอี้ที่เรียงรายอยู่ภายในห้องทั้งหมดพังทลาย โซ่ถูกดึงกลับมาที่ไม้เท้าสีเงิน ในขณะเดียวกัน ร่างของเด็กน้อยส่งเสียงร้องโอดครวญ ระเบิดเป็นกลุ่มก้อนพลังสีดำที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง ทันใดนั้นน้ำเสียงแหบพร่าที่เจือด้วยความอาฆาตพยาบาทก็ดังขึ้น “เมื่อคำพิพากษาจากนรกมาถึง ยมทูตขาวดำ [1] จะมาจับกุมดวงวิญญาณทุกดวง….ยมทูต…มันยังคงมียมทูตอยู่จริง ๆ!”
ที่กลางห้องเรียน ขุมพลังสีดำที่ก่อตัวเป็นวงน้ำวนขนาดใหญ่ก่อนหน้านี้ ระเบิดออกอย่างรุนแรง ใบหน้าของฉินเย่เปลี่ยนเป็นซีดขาว เวลานี้…เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมยาวสีดำปักด้วยลวดลายสวยงาม ในมือมีโซ่วิญญาณคล้องอยู่ และสวมหมวกลายฉลุทรงสูงสีดำ พลังจากใต้พิภพแผ่ออกมาจากทั้งแขนเสื้อและปกเสื้อของเขา ในขณะที่เสื้อคลุมพลิ้วไหวอย่างน่ากลัวทั้ง ๆ ที่ปราศจากสายลม ซึ่งทำให้ฉินเย่ดูสง่าและน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
เขาเอื้อมมือไปจับฝักกระบี่ที่อยู่ข้างเอวและเอ่ยเสียงดัง “บอกชื่อของเจ้ามา!!!”
ไม่มีเสียงตอบรับ แต่หลังจากผ่านไปหลายวินาที น้ำเสียงอาฆาตก็ดังขึ้น “ทางยมโลกได้วางมือจากโลกมนุษย์มาเป็นเวลามากว่า 100 ปีแล้ว แล้วท่านมีสิทธิ์อะไรมาขวางข้า?”
ฟึ่บ…ฉินเย่ดึงกระบี่ออกมาจากฝักและใช้นิ้วลูบบนตัวเล่มของมันอย่างแผ่วเบา “ถ้าอย่างนั้น…ก็ถือเสียว่าวันนี้เป็นวันแรกในการเปิดทำการของนรกอีกครั้งก็แล้วกัน”
“ท่าน!!!” เสียงกรีดร้องดังขึ้น หน้าต่างและประตูถูกเปิดออกพร้อมกันอีกครั้ง ลมพายุรุนแรงพัดเข้ามาภายในห้อง
“หึหึหึ…ข้าเพิ่งกลับมาทำหน้าที่ในฐานะยมทูตเป็นวันแรกแท้ ๆ…หนีไปก่อนแบบนี้มันไม่เสียมารยาทไปหน่อยหรือ?”
ฉินเย่เอ่ยเบา ๆ ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงฟันแผ่วเบาดังแหวกขึ้นมาในอากาศ ใบมีดของเด็กหนุ่มนั้นบางเบาราวกับหิมะ
ทุกสิ่งโดยรอบหยุดนิ่งลง…
เสียงกรีดร้องดังก้องในยามค่ำคืน แต่ดูเหมือนจะถูกกลบด้วยเสียงของสายฝนที่ตกกระหน่ำอยู่ทางด้านนอก ร่างของเด็กน้อยเปล่งแสงจาง ๆ เมื่อปะทะกับใบมีดของกระบี่เศียรปีศาจของฉินเย่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นควันดำและกระจายไปรอบ ๆ สุดท้ายมันก็ถูกหัวปีศาจที่ฝังอยู่บนด้ามกระบี่ระเบิดเปลวเพลิงสีเขียววาบออกมาครู่หนึ่งก่อนที่จะจางหายไป
ฉินเย่ขมวดคิ้วพร้อมกับปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ราวกับพยายามที่จะจับสัมผัสถึงบางอย่าง แต่หลายวินาทีต่อมา เขาก็ต้องถอนหายใจอย่างยอมจำนน “ไม่ใช่…”
“ขนาดมาหาใน ‘เขตไล่ล่า’ แล้วก็ยังไม่เจอ นี่ยายเฒ่านั่นหลอกเราหรือเปล่า? นี่ขนาดเดือนนี้เราจับวิญญาณร้ายได้สามดวงแล้วแต่ก็ยังเลื่อนตำแหน่งไม่ได้สักที นี่หรือว่านางจะหลอกใช้แรงงานเราเปล่า ๆ?”
ทันใดนั้น หางตาของเขาก็สังเกตเห็นบางอย่าง ฉินเย่หันไปมองออกนอกหน้าต่างห่างไกลออกไป
เขาอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ ภายในห้องเรียนแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด ดังนั้นผู้คนที่อยู่ภายนอกจึงไม่มีทางมองเห็น แต่ฉินเย่กลับสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านนอกได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำ ชายหลังค่อมสวมชุดสีดำสนิทที่ถือไม้เท้าอยู่ในมือกำลังเดินมาทางเขาอย่างช้า ๆ
“คนคนนี้อีกแล้ว” ฉินเย่พยายามรวบรวมสติทั้งหมดและขมวดคิ้วเข้าหากัน คลื่นพลังสีดำที่ห่อหุ้มร่างของเขาสลายไป เสื้อผ้าของเขาเปลี่ยนกลับไปเป็นชุดนักเรียนอีกครั้ง พยายามควบคุมจังหวะการหายใจของตัวเอง หลับตาลง และนอนลงบนพื้นอย่างเงียบเชียบ
ในขณะที่สายฝนยังคงเทลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน โรงเรียนก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปประมาณ 5-10 นาที เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นในที่สุด
เสียงเคาะนั้นไม่ได้เร็วหรือช้ามากนัก…
“ขอโทษนะครับ ผมเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติ ประจำเมืองชิงซี รหัสประจำตัว AC-285 ขออนุญาตเข้าไปข้างในได้หรือเปล่าครับ?”
แน่นอนว่าไม่มีเสียงคนตอบกลับไป
หลังจากนั้นประมาณสิบวินาที เสียงของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้น…ขออนุญาตเปิดเข้าไปเลยนะครับ”
ประตูห้องเรียนถูกเปิดอย่างเบา ๆ มีเสียงไอดังขึ้นสองสามครั้ง ตามมาด้วยเสียงเบาเป็นจังหวะของไม้เท้าที่กระทบกับพื้นไม้ นอกจากนี้มันยังมีเสียงของโซ่ที่กระทบกันดังเบา ๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
จากนั้นผู้มาใหม่ก็ย่อตัวลงมา เสื้อผ้าของเขาลากไปกับพื้นจนเกิดเป็นเสียงเบา ๆ เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและกดโทรออก “ฉันเอง”
“ใช่…ที่นี่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันแปลกมาก…เหตุการณ์เหนือธรรมชาติทั้งสามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเมืองชิงซี ล้วนเกิดจากวิญญาณร้ายที่ทรงพลัง ขนาดที่ฉันจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง กว่าที่ฉันจะมาถึง วิญญาณร้ายทั้งสามดวงก็ถูกกำจัดไปแล้ว…”
“มันต้องเป็นคนเดียวกันไม่ผิดแน่ ร่องรอยของเขามันชัดเจนมาก โดยเฉพาะพลังหยินที่หนาแน่นกว่าวิญญาณปกติที่พวกเราเคยเจอมา…ฉันเองก็ไม่เคยเห็นพลังหยินที่มากขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน…ฉันรู้ ฉันจะแจ้งให้ทางหน่วยทราบถ้าหากมันจำเป็นจริง ๆ แต่จนถึงตอนนี้สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติระดับ B นี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะทำร้ายใครเลยสักนิด มันเหมือนกับว่ามันจงใจจับเฉพาะวิญญาณร้ายอย่างเดียว ฉันไม่คิดว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องแจ้งให้ทางกรมต้องทราบ…”
“อืม…ได้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง ไม่ต้องห่วง….”
หลังจากที่อีกฝ่ายวางสาย ฉินเย่ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ตามมาด้วยเสียงจุดไฟแช็คดังขึ้นเบา ๆ หลังจากนั้น กลิ่นหอมบางอย่างก็แพร่กระจายไปในอากาศ
ฉินเย่ยังคงนิ่งเงียบ เหมือนกับเต่าที่แกล้งตาย ในความเป็นจริงเขารออยู่หนึ่งชั่วโมงเต็ม ก่อนที่จะมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง
ไม่มีใครเหลืออยู่ในห้องนี้อีกแล้ว ทั้งโต๊ะเรียนและเก้าอี้ทั้งหมดกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างน่าอัศจรรย์ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือกองขี้เถ้าที่ยังคงหลงเหลือความร้อนอยู่บนโต๊ะครู
ฉินเย่หยิบขี้เถ้าบางส่วนขึ้นมาดูก่อนจะแสยะยิ้มออกมา “ธูปลบความทรงจำ”
“ใครก็ตามที่สูดดมสิ่งนี้เข้าไป จะไม่สามารถจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้ หลังจากตื่นขึ้นมาในวันถัดไป ถ้าจำไม่ผิด…ของแบบนี้มันหายากมากเลยไม่ใช่เหรอ? แม้แต่ยายเฒ่าเองก็ยังมีเจ้าสิ่งนี้ไม่มากนัก แต่ผู้ชายคนนี้…กลับใช้มันทั้งเล่มเพื่อ ‘จัดการเรื่องทั้งหมด’ เนี่ยนะ? มันไม่สิ้นเปลืองเกินไปหน่อยเหรอ?” จากนั้นฉินเย่ก็เหลือบไปมองทางประตูอย่างพินิจ “เขาตามเรามาตั้งแต่ที่เราจัดการวิญญาณดวงแรก นี่มันเหมือนกับหมาบ้าที่ไม่รู้จักยอมแพ้เลยนะเนี่ย….แต่หมอนี่ก็โชคดีชะมัด ถ้าหากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่ามันยังไม่ถึงเวลาของเขา เราก็คงทำให้เขาได้นอนพักไปนานแล้ว”
จากนั้นเขาก็เดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ อี้หลงและเฉิงห่าว ยื่นแขนออกไปดึงศีรษะของทั้งคู่ขึ้นมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็มองทั้งสองด้วยสายตาดูถูกต่ออีกสักพัก ก่อนที่จะต่อยและเตะเข้าที่หน้าท้องของทั้งคู่
โครม! เด็กนักเรียนทั้งสองกระเด็นไปชนเข้ากับกระดานดำ ด้วยลูกเตะทรงพลังและลงไปกองกับพื้น ก่อนจะส่งเสียงโอดครวญออกมา
“ธูปลบความจำจะช่วยป้องกันไม่ให้พวกนายจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ได้…แต่ในเมื่อพ่อแม่ของพวกนายไม่ได้สั่งสอนพวกนายมาดีพอ ฉันก็จะสอนบทเรียนนั้นให้พวกนายเอง” ฉินเย่หัวเราะเสียงเย็น ขณะที่ดึงศีรษะของอี้หลงขึ้นมาและตบไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรง แต่ก่อนที่หน้าของอี้หลงจะหดตัวจากแรงกระแทก เขาก็ถูกฉินเย่ตบด้วยหลังมืออีกครั้ง
“พวกนายไม่รู้จักคำว่าความสามัคคีในหมู่นักเรียนด้วยกันหรือไง? มิตรภาพและความเป็นพี่น้องน่ะ เคยได้ยินบ้างหรือเปล่า? เด็กนักเรียนสมัยนี้…ลองโดนเองซะบ้าง!”
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
เสียงตบหน้าดังก้องไปทั่วห้องเรียนที่เงียบสงัด….
“มีเพื่อนเป็นอันธพาลมากเกินไปหรือเปล่า? พวกนายยังทำอะไรไม่เป็นด้วยซ้ำ รู้หรือเปล่าว่าของจริงมันเป็นยังไง?”
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
“คนดีมักมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่พวกเลวทรามกลับใช้ชีวิตอยู่ได้นานหลายพันปี….”
เมื่ออารมณ์ระเบิดออกมา ฉินเย่ก็ยกร่างของทั้งสองขึ้นมาพื้นและทุ่มข้ามไหล่อย่างแรง ราวกับกำลังขว้างลูกบอลทิ้งอย่างไม่แยแส หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ปัดฝุ่นที่มืออย่างพอใจ
ตอนนี้เขาสบายใจแล้ว
ร่างของเด็กทั้งสองบวมและช้ำเต็มไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นเปลือกตาของทั้งคู่ยังคงปิดสนิท ฉินเย่จัดการพวกเขาอย่างชำนาญ มันอาจจะดูแย่ อาจจะรู้สึกไม่ดี แต่อวัยวะภายในของทั้งคู่ไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลยสักนิดเดียว หรือหากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ อาการบาดเจ็บของทั้งคู่จะสามารถฟื้นตัวได้ภายในสองสามวัน เพราะอย่างไรแล้วพวกเขาก็เป็นแค่เด็กนักเรียนและเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน มันจึงไม่ใช่ความบาดหมางที่จะต้องทำกันให้ถึงตายอะไร อย่างน้อย…มันก็ไม่มีความขัดแย้งไหนที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้กำลัง
หรือต่อให้มี เขาก็แค่ต้องจัดการอีกฝ่ายไปอีกสักรอบ….
หลังจากเดินออกมาจากห้องเรียน ฉินเย่ก็เดินไปที่ด้านข้างกำแพงโรงเรียน เขากระโดดสูงประมาณสองเมตร ก่อนจะตีลังกาข้ามกำแพงออกไปยังอีกฝั่งได้อย่างง่ายดาย และช่างน่าบังเอิญ…มีรถจักรยานคันหนึ่งจอดอยู่
ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครออกมาเดินตามท้องถนน ตลาดกลางคืนที่มักจะคึกคักก็หยุดทำกิจการทันทีที่เสียงประกาศระดับชาติดังขึ้น อันที่จริง มันแทบจะไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตเลยด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่มีเพียงเสาไฟตามท้องถนนที่ยังส่องแสงอ่อน ๆ ให้เห็นเงาของฉินเย่ทอดยาวออกไป ขณะที่เจ้าตัวกำลังครุ่นคิดบางอย่างโดยที่ไม่ได้รีบร้อนอะไร
เหล่าวิญญาณมากมายแตกกระเจิงเมื่อเห็นยมทูตขาวดำ ซึ่งนั่นส่งผลให้ถนนที่ฉินเย่เลือกเดินนั้นเงียบเชียบอย่างน่าแปลกประหลาด เวลานี้ความคิดภายในหัวของเขาก็เริ่มวุ่นวายและตีกันไปหมด “เท่าที่จับใจความได้…ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นคนของรัฐบาล เขาพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติระดับ ‘B’ …ไม่ใช่ว่านี่หมายความว่าประเทศนี้ได้จับตาดูเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับชาติแล้วเหรอ?”
“ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่น่าสงสัยเลย ว่าทำไมช่วงนี้ทุกอย่างมันถึงดูแปลกไปหมด…แค่เรื่องความเชื่อและขนบธรรมเนียม ข่าวเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติพวกนี้จะมาใช้พาดหัวข่าวหรือว่ามันจะถึงขั้นนี้แล้ว? ขั้นที่ทางรัฐบาลเริ่มคิดจะวางแผนการสำหรับอนาคตแล้วสินะ หึ!…..แต่มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร? พวกเขาถึงขั้นประกาศเตือนทั่วทั้งประเทศ แถมยังก่อตั้งหน่วยงานพิเศษมาเพื่อรับมือกับเรื่องพวกนี้โดยเฉพาะด้วย! ดำเนินการเร็วชะมัด….”
“อืม…อยากรู้จริง ๆ ว่ามีใครรู้เรื่องนี้บ้าง?”
คิ้วของฉินเย่ขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม เขายังคงพึมพำกับตัวเองและมองไปในท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างไม่เข้าใจ “ยิ่งมีคนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องมากถึงขนาดนี้ การที่เราจะสามารถระบุตำแหน่งของมันได้ก็คงจะยากกว่าเดิม…”
ขณะที่ยังคงจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ฉินเย่ก็พบว่าตัวเองมาถึงเขตชานเมืองเสียแล้ว เมืองชิงซีนั้นเล็กมาก ดังนั้นเหล่าผู้ที่เสียชีวิตในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมาจึงล้วนถูกฝังไว้ที่ภูเขามังกรเขียวที่ตั้งอยู่ด้านหลังของเมือง ซึ่งมันทำให้ถนนสายนี้ได้กลายเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในนามของถนนของผู้ล่วงลับ
มีร้านของตุ๊กตากระดาษที่เป็นรูปคนและม้าวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด บางร้านก็ขายประทัดและเงินกระดาษ….ถนนแคบ ๆ แห่งนี้มีร้านค้าอยู่ประมาณ 20 แห่ง ซึ่งล้วนเป็นธุรกิจเกี่ยวกับคนตายทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าจะดูจำนวนไม่มากนัก แต่มันก็ถือว่ามากแล้วสำหรับเมืองที่มีประชากรอยู่เพียง 30,000 คน
ร้านของบ้านเขามีชื่อว่า “ชีวิตหลังความตาย” ชื่อที่กระชับและเข้าใจง่าย และมันก็ตั้งอยู่ที่ปลายสุดของถนน ซึ่งเวลานี้กำลังมีผู้คนจำนวนมากยืนล้อมอยู่ สิ่งนี้ทำให้ฉินเย่ตกใจเป็นอย่างมาก
“ฉินเย่!” เหมือนว่าหญิงชราคนหนึ่งจะเหลือบมาเห็นว่าเขากำลังลงจากรถจักรยาน อีกฝ่ายจึงรีบวิ่งมาหาอย่างลนลาน “ในที่สุดเธอก็กลับมา! เร็วเข้า! ที่บ้านเธอเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
[1] เฮย-ไป๋อู่ฉาง (黑白无常) หรือ ยมทูตขาวดำ เป็นยมทูตที่เรียกควบคู่กันสององค์ โดยที่องค์แรกชื่อเทพไป๋อู่ฉาง (白无常) จะสวมชุดและหมวกทรงกรวยสูงสีขาวถือป้ายที่อักษรเขียนว่า 你可来了 แปลว่า “ในที่สุดเจ้าก็มาจนได้” แลบลิ้นสีแดงยาวถึงหน้าอก มีหน้าที่รับดวงวิญญาณที่เป็นคนดีมีศีลธรรม ไปรับการพิจารณาจากศาลในนรก แล้วไปเสวยกรรมดีที่เคย และองค์ที่สองชื่อเทพเฮยอู่ฉาง (黑无常) สวมชุดและหมวกทรงกรวยสูงสีดำมีอักษรเขียนว่า 正在捉你 แปลว่า “มาจับเจ้านั่นแหละ” มือถือโซ่และแลบลิ้นสีแดงยาวถึงหน้าอก หน้าตาดุดัน คอยใช้โซ่มัดจับดวงวิญญาณบาป (สมัยเป็นคนมีจิตใจชั่วช้า) ที่สิ้นอายุขัยลากไปรับกรรมในนรก
อ้างอิง: (https://www.facebook.com/chn.gods/photos/เฮย-ไป๋อู่ฉาง-黑白无常-หรือ-ยมทูตขาวดำใครที่เห็นสององค์นี้ครั้งแรก-ผมว่าต้องจำหน้าท่/636546093112251/)