ตอนที่ 3 หวาเหมิง

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ฉิงหร่านก้มหน้าก้มตาเคี้ยวกระดูกหมับๆ เธอใจลอยจึงไม่ได้เงยหน้าขึ้น 

 

 

หนิงฉิงใกล้จะระเบิดลง แต่หลินฉีชำเลืองดูเธอพอดี 

 

 

เธอจึงพยายามระงับโทสะ แล้วถามซ้ำด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบ 

 

 

ท่านั่งของฉินหร่านไม่เรียบร้อยแม้แต่น้อย ยกขาชันเข่าขึ้นมา ถือตะเกียบมือเดียว ซ้ำยังเท้าแขนบนโต๊ะด้วย  

 

 

เด็กสาวดูเหมือนพวกอันธพาลที่โอหังและบ้าดีเดือดไม่มีผิด 

 

 

ราวกับเธอเพิ่งจะได้ยินคำถามนั้น ฉินหร่านจึงเงยหน้าขึ้น 

 

 

ตอนที่แม่เลี้ยงเขาพูดขึ้นมาว่าเด็กยียวนคนนี้เคยเรียนไวโอลินมาก่อน หลินจิ่นเซวียนก็จับจ้องไปที่เธอเช่นกัน 

 

 

เขาได้ยินเธอย้อนถามกลับไปว่า “ไวโอลินเหรอคะ” 

 

 

เธอเท้าคางยิ้มร่าออกมา ทว่าน้ำเสียงกลับเยือกเย็นเฉยเมย “อ๋อ หนูเล่นไม่เป็นหรอก” 

 

 

“เล่นไม่เป็นเหรอ จะเป็นไปได้ยังไง ลูกเริ่มเรียนตั้งแต่เด็กเลย” หนิงฉิงกำตะเกียบในมือเธอไว้แน่น พร้อมกัดฟัน “แม่ให้เงินลูกไปเรียนไวโอลินทุกปีนี่ อาจารย์สวี่ยังชมอยู่เลยว่าลูกมีพรสวรรค์…” 

 

 

“อ้อ” ฉินหร่านค่อยๆ แทะซี่โครงช้าๆ “ตั้งแต่หนูตีหัวลูกชายอาจารย์สวี่เขา เราก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลยค่ะ” 

 

 

แล้วบรรยากาศที่โต๊ะอาหารก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบพิกลๆ 

 

 

ฉินหร่านแค่นหัวเราะออกมา มันเป็นเสียงหัวเราะที่เย็นชาและร้ายกาจ 

 

 

คิ้วงามที่โก่งเล็กน้อยของเธอแสดงถึงความยโสของวัยรุ่น หากมองลึกลงไปแล้ว มันยังส่อแววไร้ความปรานีอยู่ในทีด้วย 

 

 

 

 

 

เหมือนดั่งคำพูดของหนิงฉิงที่ว่าไว้ว่าเธอดูเป็น “อันธพาล” ทั้งดุร้ายป่าเถื่อน ทว่าอันธพาลสาวคนนี้ก็กลับดูสวยบาดตาบาดใจ มีเสน่ห์ในเวลาเดียวกัน แต่เป็นความงามที่ไม่มีใครอาจเอื้อมแตะต้องได้ 

 

 

สวรรค์หนอ ดูทำหน้าเข้าสิ 

 

 

แล้วไหนจะน้ำเสียงของเจ้าหล่อนอีก 

 

 

หนิงฉิงจ้องมองไปที่ลูกสาวคนโต ดวงตาส่อแววโกรธขึ้นมาเล็กน้อย “ฉิงหร่าน!” 

 

 

โรงเรียนอีจงมีโปรแกรมสายศิลป์ ผู้เป็นมารดาจำได้ว่าลูกสาวคนนี้เคยเรียนไวโอลินตอนที่ยังเด็ก เพราะผลการเรียนไม่ดี จึงเคยหวังว่าเด็กน้อยจะได้หันไปเอาดีทางศิลปะแทน 

 

 

เธอคาดไม่ถึงว่าลูกผู้ดื้อรั้นจะใช้มันเป็นช่องจัด “เซอร์ไพรส์” ชุดใหญ่ให้เธอแทน 

 

 

หลินฉีได้เห็นประวัติของฉินหร่านตั้งแต่บ่ายแล้ว เขาตระหนักดีว่าเธอคือตัวปัญหา แต่ไม่คิดว่าจะพิษสงรอบตัวขนาดนี้ 

 

 

ป้าจางนำชาให้หนิงฉิง ผู้เป็นนายหญิงของบ้านถอนหายใจ จิบชา และจบบทสนทนาไว้แค่นั้น แต่แผ่นหลังที่เกร็งตึงบ่งบอกว่าเธอกำลังอารมณ์ไม่ดี 

 

 

เจ้าของบ้านมัวแต่ยุ่งเรื่องธุรกิจของเขา เพราะฉะนั้นโดยธรรมชาติแล้ว เขาไม่มีเวลาให้กับเฉินซูหลานและฉินหร่านอยู่แล้ว 

 

 

หรือบางที เขาอาจคิดว่าเป็นเรื่องไม่จำเป็น 

 

 

หลังจากมื้อเย็น ทุกคนก็ต่างแยกย้าย 

 

 

พอฉินอวี่เห็นว่าพี่ชายเดินออกไปรับสายข้างนอก เธอจึงพูดกับมารดาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่าจะไปซ้อมไวโอลินข้างบน 

 

 

ผู้เป็นแม่มองไปยังลูกสาวคนเล็กและคนโต ทั้งสองคนต่างก็เป็นลูกในไส้แท้ๆ ของเธอ แต่ทำไมพวกเขาถึงต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้ 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“พักกับคุณยายชั่วคราวที่ชั้นสามไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวแม่จะให้ป้าจางทำความสะอาดอีกห้องให้ทีหลัง” หนิงฉิงหน้ามุ่ย เอียงคอเล็กน้อย เธอสะกดกลั้นความโกรธไว้ในใจแล้วกดเสียงพูดให้ทุ้มต่ำ “นอกจากห้องน้ำแล้ว ที่ชั้นสองเป็นห้องซ้อมเปียโนของน้อง อย่ามาจุ้นจ้านกับน้องถ้าไม่จำเป็น” 

 

 

ทันทีที่ฉินอวี่ลับตาไป ความอ่อนโยนที่อยู่บนไปหน้าเธอก็หายไป 

 

 

ฉินหร่านยืนพิงราวบันได และพยักหน้ารับ ท่าทางของเธอดูเรียบเฉย 

 

 

เพราะลูกคนโตดูเหมือนจะเชื่อฟังขึ้นมาบ้าง ใบหน้าบูดบึ้งของผู้เป็นแม่จึงค่อยคลายลงบ้าง ท้ายที่สุด เด็กคนนี้ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอ และเธอเองก็ยังรู้สึกรักเด็กน้อยอยู่บ้าง 

 

 

หนิงฉิงพูดคุยกับผู้เป็นแม่อีกสองสามเรื่อง ก่อนจะหันไปเห็นว่าลูกเจ้าปัญหาหยิบมือถือออกมาอีกแล้ว เธอทำหน้านิ่ว และทำท่าจะเทศนาลูกอีกรอบ 

 

 

แต่บังเอิญว่าห้องเปียโนที่อยู่ชั้นสองนั้นปิดไม่สนิทดีทำให้เสียงไวโอลินอันไพเราะ นุ่มหูลอดออกมาตามอากาศ 

 

 

หนิงฉิงจึงผ่อนคลายอารมณ์ลง เธอหันไปพูดกับป้าจาง “อีกไม่นาน อวี่เอ๋อร์ก็คงจะเข้าเรียน ม.สี่ แล้วสินะ หร่านหร่านเรียนรู้จากน้องให้มากกว่านี้นะ ย่อมมีจุดเริ่มต้นและจุดจบสำหรับทุกอย่าง” 

 

 

คำพูดของเธอตั้งใจสั่งสอนฉินหร่านอีกครั้ง 

 

 

เด็กสาวมองไปยังชั้นสอง พร้อมยกเปลือกตา นัยน์ตาเรียวยาวคู่นั้นอาจจดูร้ายกาจอยู่สักนิด แต่ทว่ามันช่างงดงาม และในขณะเดียวกันก็มีแววของอันธพาลอยู่ในตัว 

 

 

ฉินหร่านหันหลังเดินขึ้นบันไดไป เผยให้เห็นเรียวขาที่ยาวตรงของเธอ 

 

 

เธอไม่สนใจผู้เป็นแม่ 

 

 

ใช่แล้ว เด็กคนนี้น่าประทับใจสุดๆ 

 

 

หนิงฉิงชี้นิ้วไปที่หลังของลูกคนโต หน้าแดงก่ำ เธอกำลังคิดว่าเหมือนถูกลูกคนนี้นำอิฐมาตีหัวเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า… 

 

 

เฉินซูหลานหน้ามุ่ย แต่ก็ลังเลที่จะดุหลาน เธอจึงเพียงแค่พูดปลอบให้ลูกสาวเย็นลงแทน 

 

 

** 

 

 

ที่ชั้นบน แม่บ้านได้ย้ายข้าวของของเฉินซูหลานไปห้องติดกันเรียบร้อยแล้ว 

 

 

ฉินหร่านอาบน้ำ และก่อนที่ผมเธอจะแห้งสนิท เธอรีบสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ แล้วเอื้อมมือไปหยิบคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่เอี่ยมออกจากเป้ 

 

 

ถัดจากคอมพิวเตอร์เป็นมือถือหนักๆ เครื่องหนึ่ง ซึ่งต่างจากมือถือที่เธอมักใช้เล่นเกม 

 

 

เด็กสาวไม่ได้มองมือถือ แค่ซับผ้าขนหนูบนเรือนผม และวางคอมพิวเตอร์ไว้บนโต๊ะ ทันทีที่กดเปิดเครื่อง หน้าจอเดสก์ท็อปก็ปรากฏขึ้นในพริบตา 

 

 

หน้าจอคอมฯโล่งมาก นอกจากพื้นหลังรูปทะเลทรายแล้ว มีเพียงลูกศรเมาส์สีขาว และไม่มีไอคอนอื่นๆ ปรากฏบนให้เห็นอีก 

 

 

ภาพทะเลทรายนั้นอบอุ่น แต่ก็แฝงไว้ด้วยความอึมครึม 

 

 

ฉินหร่านยื่นมือไปกดปุ่มสองสามปุ่ม แล้วก็ลุกขึ้นเทน้ำ เธอนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมแก้วน้ำ จากนั้นก็มีใบหน้าหนึ่งปรากฏบนหน้าจอ 

 

 

อีกฝ่ายสวมเสื้อเชิ้ตขาว มือหนึ่งถือโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่วนอีกมือเป็นกล่องเครื่องมือแพทย์ 

 

 

เสื้อสีขาวที่สวมใส่อยู่ขับขนตายาวและผิวขาวผ่องให้เด่นขึ้น พูดได้ว่าเขานับเป็นชายหน้าสวยคนหนึ่ง 

 

 

“มีบางคนกำลังสืบเรื่องเธออยู่” ฉินหร่านเอนหลังพิงเก้าอี้ แล้วจิบน้ำ “เป็นคนจากปักกิ่ง ฉันส่งข้อมูลของฝ่ายนั้นให้เธอแล้ว” 

 

 

ตอนอายุได้หกขวบ เด็กสาวรู้ตัวแล้วว่าเธอแตกต่างจากคนอื่นๆ หลังเรียนจบชั้นประถม 

 

 

เธอเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ไม่ได้ แถมบางโอกาสยังรู้สึกคลั่งขึ้นมาด้วย 

 

 

เพื่อนบ้านต่างคิดว่าเธอเป็นบ้า และพากันหลบหน้าเด็กน้อย 

 

 

หนิงฉิงและฉินฮั่นชิวก็มัวแต่ทะเลาะกันทุกวันจนไม่ได้สนใจกับสถานการณ์ของลูกคนโต พวกเขารู้เพียงเธอชอบทะเลาะวิวาท มีปัญหาทางจิต และไม่อยากไปโรงเรียน 

 

 

ตอนที่สองสามีภรรยาหย่าร้างกัน ทั้งคู่ไม่มีใครอยากรับเธอไปเลี้ยง 

 

 

ฉินหร่านเรียนเนื้อหาม.ปลายด้วยตัวเองตั้งแต่อายุแปดขวบ 

 

 

ตอนอายุเก้าขวบ เธอประกอบคอมพิวเตอร์ได้เป็นเครื่องแรกในชีวิต และใช้รหัสเพื่อเจาะเข้าไปที่เว็บของพวกแฮกเกอร์ได้สำเร็จ 

 

 

ในวิดีโอ ชายหนุ่มผู้คนหรี่ตาที่ดูร้ายกาจของเขาลง จมูกเขาโด่งเป็นสัน หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แม้ในต่างประเทศ ผู้คนก็อดไม่ไหวที่จะต้องเหลียวหลังมามองใบหน้าเทพบุตรของหนุ่มผู้นี้ 

 

 

กู้ซีฉือ หมอฝีมือระดับพระกาฬท่าทางแปลกๆ คนนี้ ผู้เดินทางไปทุกเขตแดนในประเทศ เขายังเดินทางไปทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ด้วย 

 

 

ครั้งนี้ เกิดเหตุก่อการร้ายขึ้นในตะวันออกกลาง หมอหนุ่มจึงรีบแบกกล่องเครื่องมือการแพทย์คู่ใจไปที่นั่นเพื่อพิทักษ์โลก 

 

 

ฉินหร่านรู้แค่ว่าเขาเป็นหมอในนาม กู้ซีฉือ 

 

 

ส่วนเขาเองก็รู้แค่ว่าเธอเป็นแฮกเกอร์สาวชื่อฉินหร่าน 

 

 

ชะตาลิขิตให้ทั้งสองคนต้องมาเจอะเจอกัน แต่พวกเขากลับไม่เคยถามถึงเรื่องส่วนตัวของกันและกัน 

 

 

“ฉันสบายดี” กู้ซีฉืองับบุหรี่ไว้ในปาก และหยิบมือถืออีกเครื่องขึ้นมาเพื่อดูอีเมลที่ฉินหร่านส่งให้เขา แล้วพูดอย่างคลุมเครือขึ้นว่า “สาวน้อย ไม่ต้องไปสนเรื่องนี้หรอก เดี๋ยวฉันจะหาคนมาจัดการแก้เอง” 

 

 

หลังจากที่หมอหนุ่มอ่านข้อมูลเสร็จ เขาก็เก็บมือถือใส่ในกระเป๋าเหมือนเดิม 

 

 

“อีกฝ่ายมีเหตุผลงั้นเหรอ” ฉินหร่านวางแก้วลงบนโต๊ะ 

 

 

เขาพยักหน้าตอบรับช้าๆ  

 

 

เด็กสาวจับผ้าเช็ดตัวแล้วโยนไปกองที่ด้านหนึ่งของโต๊ะ จากนั้นเธอก็พาพาดขาไปอีกด้าน การเคลื่อนไหวของเธอเบากริบ เนิบนาบ แต่แฝงไว้ด้วยความปราดเปรียว 

 

 

เธอหวีผมต่อไปแล้วพูดอย่างเนิบนาบ “ช่างเหอะ” 

 

 

“อย่าเพิ่งหัวเสียน่า พอเธอโต แล้วเก่งเท่าแฮกเกอร์คิวที่กำลังดังในโลกอินเทอร์เน็ตตอนนี้เมื่อไหร่ ฉันจะพาเธอไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกเอง” กู้ฉีซือพูดให้กำลังใจเธอ