ลมเย็นยะเยือกดุจคมมีด หิมะโปรยปราย
ลู่เซิ่งลืมตาขึ้น เห็นตัวเองนั่งอยู่บนรถม้าสีเทาเหลืองคันหนึ่ง รถสั่นไหวอยู่เล็กน้อย มีเสียงพูดเบาๆ ของเด็กสาวอยู่ด้านข้างของเขา
แต่ด้านนอกตัวรถกลับเป็นเสียงคนดังจอแจ
มีเสียงเร่ขายของ เสียงตะโกน เสียงโวยวาย กระทั่งยังมีเสียงหัวเราะของเด็กๆ
ลู่เซิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ
เขารู้ว่าเขากลับไปไม่ได้แล้ว จากมือเก๋าที่ทำงานรอวันตายในรัฐวิสาหกิจ หลังจากดื่มเหล้าจนเมาก็ตื่นขึ้นมาบนโลกใบนี้ จนถึงตอนนี้ผ่านไปห้าวันแล้ว
เขาสูดจมูก ในอากาศมีกลิ่นของสุรา ขนมเปี๊ยะ และขนมทอดน้ำมันอยู่
“อา สุราดอกกุ้ยขาวของหอดอกกุ้ยยิ่งหอมขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
เสี่ยวเฉี่ยวหญิงรับใช้ประจำตัวในรถเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย
ปีนี้เสี่ยวเฉี่ยวเพิ่งจะอายุสิบสองขวบ หน้าตาดูเด็กตามธรรมชาติ ขนาดตัวก็เล็กจุ๋มจิ๋ม ดูไม่ต่างอะไรกับเด็กอายุสิบขวบ ใบหน้าดวงเล็กจ้ำม่ำ ผิวที่ขาวจัดยังทำให้มีสีแดงข้างใน นางใส่ชุดกระโปรงตัวเล็กสีเขียว มือน้อยๆ ยังเตรียมเชือกมัดผมสำหรับมัดผมให้แก่ลู่เซิ่งตอนลงจากรถ
เชือกมัดผมนี้ทำมาจากเปลือกไม้ชนิดหนึ่งซึ่งราคาแพงมาก กำจายกลิ่นหอมจางๆ โดยธรรมชาติ แต่ว่าสิ่งที่ไม่ดีเพียงอย่างเดียวคือจะแข็งตัวในตอนอากาศหนาวเย็น จำเป็นต้องใช้มือที่ร้อนๆ ถูให้คลายตัว
ลู่เซิ่งได้แต่เพียงยิ้มๆ ไม่ได้พูดอันใดออกมา
รถม้าหยุดลงอย่างรวดเร็ว
เขาเปิดม่านแล้วก้าวลงจากรถ พื้นถนนสีขาวอมเทาปูด้วยอิฐที่ทำจากหินปูนหลายก้อน ทุกก้อนต่างมีขนาดเท่าอ่างล้างหน้า
บนถนนยังมีรถม้าวิ่งขวักไขว่ แถมยังมีคนจูงม้าไปมาอีกด้วย
เหล่าพ่อค้า แม่ค้า และหญิงสาวที่ออกมาเที่ยวพร้อมกับหญิงรับใช้ที่ติดตามมา ต่างหัวเราะเสียงเจี้ยวแจ้วอยู่เป็นระยะ
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองหอสุราที่อยู่ตรงหน้า
ป้ายสีขาวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เขียนอักษรไว้สามคำว่า หอดอกกุ้ย ดูแล้วเหมือนมังกรทะยานหงส์เริงระบำ
“คุณชายใหญ่ลู่มาถึงแล้ว! เชิญด้านใน! เก็บห้องพิเศษ ไว้ให้ท่านแล้ว!” เด็กรับใช้ผู้หนึ่งต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งพยักหน้า วางท่าดุจคุณชายผู้ร่ำรวย รับพัดกระดาษสีขาวขอบเงินมาจากมือของเสี่ยวเฉี่ยว สะบัดเบาๆ พัดกางออก ใบพัดวาดรูปขุนเขา ลำน้ำ ควันคลื่น ภูเขา สายน้ำ ตั้งสลับ มีเฉดสีสว่างและมืดทับซ้อนกัน ยังมีคำกลอนอยู่บนนั้นด้วย เห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่
เขาตามเด็กรับใช้เข้าไปในหอสุรา
หอสุราแบ่งออกเป็นสองชั้น ในโถงใหญ่ชั้นหนึ่งมีคนไม่น้อยกำลังนั่งฟังคนร้องเพลง
ดรุณีอาภรณ์เขียวนางหนึ่งยืนอยู่ตรงที่ว่าง กำลังร้องเพลงด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ด้านข้างยังมีสตรีอีกนางหนึ่งดีดผีผาอยู่
เพลงที่ขับขานอยู่เป็นบทเพลงสามประสบ บทเพลงสามประสบบอกเล่าถึงความรัก สุข ทุกข์ระหว่างขุนศึกผู้กรีธาทัพไปห่างไกลและสตรีโดดเดี่ยวที่อยู่ในป่าเขา
น่าเสียดายแขกเหรื่อที่อยู่รอบๆ ต่างเป็นคนหยาบกร้านอยู่บ้าง มีแค่คุณชายไม่กี่คนยังนับว่าฟังออก คนที่เหลือเหมือนไม่เห็นหญิงสาวสองคนนั้นอยู่ การตบรางวัลจึงมีไม่มาก
ลู่เซิ่งหยุดฝีเท้าลง เมื่อเห็นโถงชั้นหนึ่งครึกครื้นขนาดนี้ เขาจึงหาที่ว่างแล้วนั่งลง
“ผู้ใดเป็นผู้ขอบทเพลงสามประสบ” เขาถามเด็กรับใช้
ฐานะของเขาในหอดอกกุ้ยแห่งนี้แตกต่างออกไป ถ้าบอกว่าหอดอกกุ้ยนี้เทียบได้กับสถานบันเทิงระดับสูงของโลกปัจจุบัน เช่นนั้นเขาก็เป็นแขกวีไอพีผู้ทรงเกียรติ เป็นนายท่านที่ปีหนึ่งใช้จ่ายเงินอย่างน้อยหลายแสน
การใช้จ่ายเช่นนี้ นับว่าเป็นแขกชั้นเลิศในเมืองเล็กๆ ทางแดนเหนือแบบนี้อยู่แล้ว
“เป็นคุณชายโจว คุณชายโจวเซวี่ยขอรับ” เด็กรับใช้ตอบเสียงเบา
ลู่เซิ่งไม่คิดสร้างความลำบากใจแก่เด็กรับใช้ จึงโบกมือปล่อยให้เขาไป
หลังจากเขาดึงเสี่ยวเฉี่ยวนั่งลง สายตาก็กวาดผ่านคนในโถงชั้นหนึ่งไปรอบหนึ่ง ไม่ทันไรก็เห็นคุณชายสวมชุดขาวอมโรคหน้าซีดขาวผู้หนึ่ง ในมือถือพัดพับขอบใบบัวสีทองที่ดูโอ้อวดคันหนึ่ง กำลังโบกเบาๆ
“คงจะมาเฝ้าดูดรุณีที่ร้องเพลงนางนั้นอีกแล้ว” ลู่เซิ่งส่ายหน้าเอ่ย
“คุณชายใหญ่เตือนเขาครั้งแล้วครั้งเล่า คนผู้นี้เป็นคนเลวจริงๆ!” เสี่ยวเฉี่ยวห่อปากกล่าวอย่างไม่พอใจ
ลู่เซิ่งยิ้มๆ ไม่พูดอะไรอีก เริ่มนั่งฟังเพลงอยู่เงียบๆ
ในไม่ช้า โต๊ะไม้สีแดงเข้มก็มีสุรากับข้าวเต็มโต๊ะ ลู่เซิ่งคีบเส้นเนื้อผัดผักกาดหอมใส่ปาก ดื่มสุราดอกกุ้ยขาวคำหนึ่ง สุรามีกลิ่นดอกไม้หอมหวานจางๆ ผสมอยู่ด้วย ไม่ต่างจากดื่มน้ำผลไม้มากนัก
‘มีเสื้อผ้าแพรสวมใส่ มีอาหารเลิศรสกิน ไร้กังวลไร้อันตราย ยังมีหญิงรับใช้คนสวยอุ่นเตียง ชีวิตเช่นนี้ช่างแหลกเหลวจริงๆ’ บางครั้งลู่เซิ่งก็คิดว่าตนเองควรใช้ชีวิตแบบนี้ดีหรือไม่ อย่างไรชีวิตอย่างตัวมอดชนิดนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาถวิลหามาตลอด
กินข้าวคำหนึ่ง ดื่มสุราคำหนึ่ง
จากนั้นก็อ้าปากให้เสี่ยวเฉี่ยวป้อนกุ้งน้ำแข็งแช่น้ำเกลือที่แกะเปลือกแล้วตัวหนึ่ง
เมืองหิมะแดนเหนือแห่งนี้ มีกุ้งน้ำแข็งเป็นผลผลิตพิเศษของที่นี่ งมมาจากโพรงน้ำแข็งหนา สามารถงมกุ้งที่ตัวกึ่งโปร่งแสงจำนวนมากออกมาได้
นี่คือกุ้งน้ำแข็ง
กุ้งน้ำแข็งมีขนาดเท่ากุ้งทั่วไป แต่รสชาติโอชะสุดเปรียบปาน เนื้อกุ้งเข้าปากก็ละลายทันที รสชาติอร่อยอย่างแท้จริง
แน่นอนว่าราคาก็แพงสุดขีดเช่นกัน คนธรรมดาเดือนหนึ่งกินครั้งหนึ่งก็นับว่าหรูแล้ว ไหนเลยจะมีกินได้ทุกมื้อเหมือนอย่างเขา
ลู่เซิ่งกินอาหารโอชารส ดื่มสุราชั้นเลิศ รับฟังบทเพลงไพเราะ แต่ในใจกลับคิดถึงเรื่องอื่น
เขามาถึงโลกที่เหมือนกับจีนยุคโบราณแห่งนี้ได้หลายวันแล้ว แต่จากการสังเกต โลกใบนี้มีจุดพิลึกอยู่มากมาย
ตอนแรกเขานึกว่าตัวเองกลับมายังยุคโบราณ แต่ภายหลังเขากลับพบว่าไม่ใช่ ขนบธรรมเนียมประเพณี เทศกาลสภาพอากาศของที่นี่แตกต่างจากพื้นที่ในยุคสมัยใดๆ ที่เขารู้จัก
ขณะลู่เซิ่งกำลังคิดในใจ ประตูหอสุรากลับเปิดออกอีกครั้ง
มีกลุ่มชายฉกรรจ์สวมชุดรัดรูปทยอยเดินเข้ามา หาโต๊ะใกล้มุมตัวหนึ่งแล้วนั่งลง
ชายฉกรรจ์เหล่านี้เพียงมองดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนในพื้นที่ การแต่งกายของพวกเขาเหมือนกับมาจากจงหยวน ลักษณะไม่ได้เปิดเผยเหมือนคนในแดนเหนือ
“เฮ้อ”
ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าเป็นคนหัวล้าน สวมตุ้มหูสำริด ใบหน้าดุร้าย แต่ตอนนี้กลับถอนใจ “วันนี้ไม่รอดแล้ว”
“พี่ใหญ่กังวลอันใด ในเมื่อหมู่บ้านตระกูลหลี่ไปไม่ได้ พวกเราไปเส้นทางที่สอง อ้อมจากทางหมู่บ้านตระกูลจางก็ได้เช่นกัน” ชายฉกรรจ์อีกคนขมวดคิ้วกล่าว
“เจ้าเข้าใจอันใด ตอนพวกเรารวมตัวกันมาจากทางหมู่บ้านตระกูลจาง สถานการณ์ไม่แตกต่างกับหมู่บ้านตระกูลหลี่นัก คนไม่น้อยตายไปแล้ว” เนื้อปูดโปนบนใบหน้าคนหัวล้านสั่นไหว สีหน้าเป็นทุกข์กว่าเดิม
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พี่ใหญ่ท่านบอกเล่าให้พวกเราพี่น้องฟังเถอะ ให้พวกเราเปิดหูเปิดตาด้วย” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเร่งเร้า
ชายฉกรรจ์หัวล้านถอนใจอีกครั้ง “รายละเอียดเป็นอย่างไรข้าเองก็ไม่แน่ใจ เพียงทราบว่าหมู่บ้านชาวประมงหลายแห่งริมทะเลสาบอาทิตย์นิ่งล้วนเกิดเรื่องแล้ว เหมือนจะมีผีน้ำอาละวาด”
“ผีน้ำรึ! มิใช่กระมัง”
โต๊ะของลู่เซิ่งอยู่ห่างจากพวกเขาไม่ไกล ได้ยินการสนทนาที่ไม่ปิดบังของพวกเขา เดิมเขาเพียงฟังเอาสนุก คิดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้ถึงกับพูดถึงสิ่งเร้นลับ
ตระกูลลู่ของเขาในโลกนี้นับเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ในเขตหิมะแห่งแดนเหนือ กล่าวว่าสมบัติตระกูลมีถึงร้อยหมื่นก้วนก็ยังน้อยไป ถ้าเทียบกับโลกปัจจุบัน เช่นนั้นอย่างน้อยก็เป็นคนรวยที่มีทรัพย์สินเป็นพันล้าน
สองสามวันมานี้ตอนออกมาดื่มสุรา เขาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับภูตผีปีศาจไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ต่างเป็นเรื่องเล่า ประสบการณ์ที่ได้เจอด้วยตัวเองอย่างคนเหล่านี้ในครั้งนี้กลับเป็นครั้งแรก
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงหูตั้งแอบฟังอย่างละเอียด ดีที่คนเหล่านั้นไม่ได้ปิดบัง คุยเรื่องพิลึกของหมู่บ้านชาวประมงต่อ
“ผีน้ำตัวนั้น ข้าเห็นด้วยตาตัวเอง สูงหนึ่งจั้งกว่าๆ หน้าเขียว เขี้ยวงอ ทั่วตัวคลุมด้วยตะไคร่น้ำ ฟังให้ดี ถ้ามิใช่ข้าที่เป็นพี่ใหญ่ของพวกเจ้าวิ่งเร็ว ตอนนี้พวกเจ้าอย่าได้คิดจะได้เจอข้าแล้ว” คนหัวล้านตอนนี้ก็ยังมีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่
“พี่ใหญ่ มีผีน้ำอยู่จริงๆ หรือ” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งไม่เชื่อ
“คงมิใช่เรื่องที่พี่ใหญ่ท่านแต่งขึ้นมากระมัง” อีกคนหนึ่งหัวเราะเหอะๆ
ลู่เซิ่งได้ยินถึงตรงนี้ก็รู้สึกขบขันเช่นกัน คาดว่าเป็นคนไม่ดูตาม้าตาเรือที่มาจากที่ไหนสักที่คุยโวเท่านั้น
คนแบบนี้ที่เขาเจอในช่วงนี้มีมากมายนัก
กินอาหาร ดื่มสุราเสร็จ เขาก็ให้เด็กรับใช้นำเนื้อเพลงของนักร้องหญิงมาอ่านดู
บทเพลงสามประสบแม้จะไม่เลว แต่ไม่เหมาะกับบรรยากาศ เขาคิดเปลี่ยนเป็นเพลงที่ร่าเริงกว่า
เปรี้ยง!
แต่ว่ายามนี้ ชายฉกรรจ์หัวล้านที่มีใบหน้าแดงคนนั้นพลันตบโต๊ะ
“คิดว่าข้า ลูกพี่หูคุยโวหรือ!? ดูซะ ดูว่านี่คืออะไร! กระดูกของไอ้ผีน้ำตัวนั้นที่ตกอยู่บนพื้น! นี่เป็นข้าแอบเก็บกลับมาหลังจากจบเรื่อง!” เขาหยิบศิลาสีเขียวที่เหมือนกับหยกศิลาชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้ออย่างระมัดระวัง แล้วตบใส่โต๊ะ
“นี่มิใช่หยกผสมหรือ!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งหัวเราะขึ้น
“หยกผสมรึ นี่เป็นหยกผสมหรือ?! ผายลมสุนัขมารดาเจ้า!”
ชายฉกรรจ์หัวล้านหน้าแดงก่ำ
“สหายท่านนี้ ขอข้าดูของเล่นชิ้นนี้ได้หรือไม่”
ทันใดนั้นมีเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งแว่วมาจากด้านข้าง
ลู่เซิ่งมายืนอยู่ข้างโต๊ะของพวกเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สายตากวาดผ่านหยกศิลาสีเขียวบนโต๊ะ
“ของสิ่งนี้ ท่านกล้าขอดูหรือ นี่เป็นสิ่งที่ผีน้ำเหลือทิ้งไว้” คนหัวล้านผู้นั้นกล่าวอย่างตกใจ เอานำออกมาแสดงในตอนนี้ คิดว่าอีกเดี๋ยวก็จะเอาทิ้งแล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ของเล่นที่คนทิ้งไว้ หากล่อผีน้ำมาหาเรื่องจริงๆ นั่นก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว
“ไม่เป็นไร ขอข้าดูหน่อย” ลู่เซิ่งไม่เชื่อเรื่องผีน้ำอะไร เพียงเห็นว่าลักษณะของหยกศิลาไม่เลว ไม่เหมือนกับหยกศิลาทั่วไป
ควรรู้ว่าหยกผสมทั่วไป สามารถซื้อได้จากแผงเล็กๆ ในร้านค้าทุกแห่ง ฝนจากเศษหยกศิลา ราคาถูกที่สุด แต่ไม่ทราบว่าเพราะอะไร พอเขาเห็นหยกก้อนนี้ถึงรู้สึกไม่ถูกต้องอยู่บ้าง
ชายฉกรรจ์หัวล้านมองมาที่ลู่เซิ่ง เห็นเขามีบุคลิกไม่ธรรมดา สวมใส่เสื้อผ้าหรูหรา
อาภรณ์เขียวเสื้อหนังจิ้งจอกขาว สวมหมวกคหบดีสีเขียวหยก ที่สวมใส่อยู่เป็นรองเท้าพื้นดำปักลายเมฆดิ้นเงิน ราคาเครื่องแต่งกายเอาไว้ใช้จ่ายในหอดอกกุ้ยแห่งนี้ได้หลายเดือน ถึงขั้นมากให้คนทั่วไปใช้ได้ถึงหนึ่งปียังมีเหลือเก็บ
“ที่คุณชายต้องการ ก็ไม่ใช่ไม่ได้ เอ่อ…เงินหนึ่งตำลึง!” ชายฉกรรจ์ลังเลเล็กน้อย ลองเอ่ยถามดู
“ได้” ลู่เซิ่งให้เสี่ยวเฉี่ยวควักเศษแท่งเงินหนึ่งตำลึงออกมาวางบนโต๊ะ
“นี่เป็นของท่านแล้ว” คนหัวล้านหยิบหยกศิลาขึ้นมายัดใส่มือของลู่เซิ่ง พวกเขาส่งสายตาให้กัน ลุกขึ้นจากไป
ลู่เซิ่งเองก็ไม่พูดจา ใช้สายตาส่งพวกเขาจากไป แล้วหยิบหยกศิลาก้อนนั้นพร้อมกับยกขึ้นมาพินิจดู
‘เงินหนึ่งตำลึง หากเปลี่ยนเป็นโลกปัจจุบันเท่ากับหนึ่งพันหยวน ชีวิตนี้ร่ำรวยน่าเกรงขามขนาดนี้แล้ว’
เขาส่ายหน้า เงินหนึ่งตำลึงไม่นับเป็นอันใดสำหรับเขา จากในความทรงจำของร่างนี้ ปกติการใช้จ่ายในหนึ่งเดือนของเขา อย่างต่ำสุดก็อยู่ที่ร้อยตำลึง บางครั้งบางคราวที่ใช้มาก อาจถึงพันตำลึง นั่นคือหนึ่งล้านเชียวนะ!
คิดถึงตรงนี้ เขาก็พูดในใจว่าช่างล้างผลาญเสียจริง ขณะที่ถือหยกศิลา เขาไม่สนใจสายตาแขกเหรื่อที่ชมความครึกครื้นอยู่รอบๆ หากแต่เรียกเสี่ยวเฉี่ยวออกมาจากหอสุรา เดินไปยังรถม้าที่จอดรออยู่ด้านนอก
แต่ว่าเพิ่งออกมาจากหอสุรา เดินยังไม่ถึงครึ่งทาง เขาพลันงงงวย หยิบหยกศิลาขึ้นมาวางไว้กลางฝ่ามือ
หยกศิลาก้อนนั้นที่อยู่ในกลางฝ่ามือขวาของเขา ดันหลอมละลายขึ้นมา
ศิลาที่เดิมทีแข็ง ในไม่กี่วินาทีสั้นๆ ก็กลับกลายเป็นของเหลวเหนียวเหนอะสีเขียวเข้มกลุ่มหนึ่ง แว่วเสียงหวีดร้องโหยหวนเลือนราง
ฟู่ว!
ของเหลวเหนียวเหนอะนั้นพลันแตกกระจายในทันใด กลายเป็นควันเขียว ลอยคลุ้งอยู่ตรงหน้าลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งยืนงงอยู่กับที่ เมื่อเหลือบตามองอีกที หยกศิลานั้นยังอยู่ในมือตน เพียงแต่สีเขียวด้านในไม่ทราบว่าหายไปเงียบๆ ตอนไหน
‘เมื่อกี้นั่นคือ…’ เขายืนงุนงง นึกทบทวนภาพก่อนหน้านั้นไม่หยุด
“คุณชาย? คุณชาย??” เสี่ยวเฉี่ยวที่อยู่ด้านข้างเรียกเขาไม่หยุด
ลู่เซิ่งได้สติ มองดูหยกศิลาในมืออีกครั้ง ตอนนี้มันกลายเป็นหินไข่ห่านทั่วไปก้อนหนึ่ง แม้แต่หยกศิลาก็ยังไม่ใช่
เขาขนลุกอยู่บ้าง แต่คล้ายเข้าใจอันใดแล้ว
“ไปเถอะ กลับจวน!”
เสี่ยวเฉี่ยวกะพริบตา ตั้งตัวไม่ทันเล็กน้อย “อ้อ…”
ทั้งสองคนขึ้นไปบนรถม้า สารถีหยิบแส้ขึ้นมาฟาดใส่อากาศสองสามครั้ง ม้าดำขนยาวสองตัวค่อยๆ เดินออกไป
ภายในตัวรถ ลู่เซิ่งไม่พูดสักคำเดียว มองดูหินไข่ห่านในมือไม่หยุด
ยามนี้ เสี่ยวเฉี่ยวก็พบกับความประหลาดของศิลาเช่นกัน
‘ติดกับอีกแล้ว!’ นางบ่นในใจ แต่ไม่พูดมาก ครั้งนี้คุณชายใหญ่ยังนับว่าโชคดีอยู่ การถูกหลอกครั้งหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดก่อนหน้า คือจ่ายเงินพันตำลึงเพื่อกาสุราโบราณ นายผู้เฒ่าโมโหแทบตาย
ครั้งนี้เพียงแค่หนึ่งตำลึง บางครั้งนายน้อยกินข้าวมื้อหนึ่งไม่ได้ใช้เงินแค่นี้
รถม้ามุงหน้ากลับคฤหาสถ์ ตอนผ่านประตูเมือง ลู่เซิ่งก็ได้ยินเสียงคนโวยวายอยู่ด้านนอก
“…ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าผีน้ำถูกกำจัดแล้ว! นักพรตพเนจรคนหนึ่งลงมือแก้ไขวิกฤติหมู่บ้านชาวประมงแล้ว!”
“ทางราชสำนักส่งคนมาหรือ”
“มานานแล้ว ได้ยินว่าแม้แต่หัวหน้ามือปราบโอวหยางแห่งที่ทำการข้าหลวงยังเกือบติดกับ ยังดีที่พบนักพรตพเนจรผู้หนึ่ง ได้ยินว่านักพรตผู้นั้นพอลงมือ มีแสงสีทองสาดขึ้น ผีน้ำตัวนั้นร้องโหยหวน กลายเป็นของเหลวเหนียวๆ สีเขียว จากนั้นจึงระเบิดกลายเป็นควันหนากระจายไป”
“มิใช่ยอดฝีมือของราชสำนักลงมือหรอกหรือ”
“ย่อมมิใช่!”
ลู่เซิ่งฟังออกว่านี่เป็นเสียงของนายทหารที่เฝ้าประตูเมืองกำลังสนทนากัน
เขามักจะจงใจผ่านประตูเมืองด้านนี้บ่อยๆ ข่าวสารของทหารรักษาการณ์ที่นี่รวดเร็ว ล้วนชอบนำเรื่องแปลกมาคุยโวพูดส่งเดช
‘นี่กลับบังเอิญไปแล้ว…’ ลู่เซิ่งไม่แสดงสีหน้า เขาหวนนึกถึงหยกศิลาก่อนหน้าก้อนนั้น จิตใจพลันหนักอึ้ง
รถม้าค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังถนนร้างรุ่งที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของเมือง
……………………………………….
← ตอนก่อน