ตอนที่ 2 กัดบุรุษรูปงาม

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

คิ้วสีเข้มดุจน้ำหมึก ผิวพรรณขาวละเอียดดั่งหิมะ โครงหน้าที่งดงามเปรียบประดุจภาพวาดของเหล่าทวยเทพ ผมยาวสีเขียวเทาของเขาที่สยายอยู่บนผืนน้ำดูหนานุ่มราวผ้าไหมเนื้อดี แพขนตาดกหนาและเข้มชัดดุจปีกผีเสื้อขยับไหวเล็กน้อยก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นและเผยให้เห็นดวงตาสุกใสสีเขียวอ่อนที่สะกดหัวใจยิ่งนัก

ดูบริสุทธิ์ไร้มลทินราวภูตน้อยที่มิเคยเฉียดกายเข้าใกล้ความมัวหมองใด ๆ

เขามองมาที่มู่เฉียนซี ริมฝีปากแดงระเรื่อขยับพูดว่า…

“ที่แท้ก็เป็นหญิงอัปลักษณ์เช่นเจ้านี่เองที่บุกรุกเข้ามาในพื้นที่ของข้า และยังมาปลุกให้ข้าต้องตื่นขึ้นมาอีก”

สิ้นเสียงนั้นสีหน้าของมู่เฉียนซีที่กำลังชื่นชมความงามของบุรุษตรงหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นทันที

“หนุ่มน้อย เจ้ามีปัญญาแน่จริงก็ขึ้นมาบนบกสิ ข้ารับรองว่าจะไม่ตีเจ้าตาย แต่กล้าดีอย่างไรถึงว่าข้าเป็นหญิงอัปลักษณ์”

“ก็เจ้าหน้าตาอัปลักษณ์จริง ๆ นี่ ยังไม่ยอมฟังผู้อื่นอีก”

เสียงของเด็กหนุ่มไพเราะน่าฟังราวกับเสียงขับร้องของภูตพราย ทว่าฝีปากนั่นกลับร้ายกาจใช่ย่อย มู่เฉียนซีเดินตรงไปยังริมศาลากระทั่งเงาของนางสะท้อนบนผืนน้ำ แม้แต่นางเองก็ยังตกตะลึงเมื่อเห็นภาพสะท้อนของตนเอง กระโปรงยาวสีทองขาดวิ่นเหมือนกับเสื้อผ้าของขอทานก็ไม่ปาน ผมเผ้าของนางกระเซอะกระเซิงดูดีกว่ารังนกไม่เท่าไหร่ และยังใบหน้าของนางอีก ตบแป้งเสียหนาเตอะ ทำราวกับขุดเอาเครื่องสำอางทั่วทั้งใต้หล้ามาพอกทาบนใบหน้านี้จนหมดสิ้น

‘เลวร้ายมาก… รับสภาพนี้ไม่ได้ รับไม่ได้เลย ต้องล้างออกเดี๋ยวนี้’

— ตูม! —

คิดแล้วมู่เฉียนซีก็กระโดดลงทะเลสาบไปทันควัน ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงร้องดังขึ้น

“อ๊าก! หญิงอัปลักษณ์ ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้นะ กล้าดีอย่างไรมาทำให้ทะเลสาบภูตวารีของข้าต้องแปดเปื้อน”

ในตอนนั้นเอง ระลอกคลื่นขนาดใหญ่ก็ก่อกำเนิดขึ้นบนผืนน้ำแล้วตรงเข้าจู่โจมมู่เฉียนซีหมายจะซัดให้กระเด็นออกไป

— หมับ! —

มู่เฉียนซีพุ่งร่างเข้าหาเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นมือไปบีบคอเขาพร้อมกับเอ่ยขึ้น….

“หนุ่มน้อย ถ้าเจ้ายังกล้าลงมืออีก ข้าก็จะหักคอเจ้าเสีย”

ผิวเย็นเยียบของเขาละเอียดเรียบเนียนประดุจดังเครื่องเคลือบดินเผาชั้นดี

“โอ๊ย…”

ชั่วพริบตานั้น หญิงสาวก็รู้สึกเจ็บปวดทั่วร่างกาย มู่เฉียนซีถลึงตาจ้องมองเด็กหนุ่มผู้งดงามดั่งภูตวารีเบื้องหน้า

“น่าฆ่าให้ตายนัก เจ้าทำอะไรข้า”

สีหน้าของเด็กหนุ่มก็ขาวซีดไม่แพ้กัน เขากล่าวขึ้นอย่างโมโห

“เจ้าไปให้พ้นนะ รีบไปให้พ้น”

มู่เฉียนซีเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายราวกับถูกฉีกทึ้งอย่างทารุณ เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นบนหน้าผากมากมาย และเมื่อได้ยินคำพูดที่แสนจะน่ารังเกียจของอีกฝ่าย ไฟโทสะของนางก็พลันลุกโชนขึ้น

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่มีทางเลือกอื่น… หญิงสาวก้มหัวลงต่ำแล้วกัดหมับเข้าที่แขนของเด็กหนุ่มทันที ขากรรไกรเล็ก ๆ ขบเข้าหากันแน่นจนสุดแรงที่มีอยู่

“โอ๊ย!”

เสียงร้องครางของเด็กหนุ่มดังลั่น

“หญิงอัปลักษณ์ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ข้าเจ็บนะ ปล่อย~”

มีหรือที่นางจะสนใจว่าเด็กหนุ่มจะเจ็บปวดเพียงใด เพราะร่างกายของนางเองก็ทรมานจนสติแทบจะกระเจิงไปแล้วเช่นกัน

มู่เฉียนซีรู้สึกราวกับมีสัตว์ป่ากระโจนไปมาและวิ่งชนกันอย่างบ้าคลั่งทั้งในชีพจรและเส้นเลือดของนาง หากนางไม่กัดแขนเด็กหนุ่มผู้นี้ไว้ ก็คงจะได้กัดปากของตัวเองจนแตกเลือดซิบเป็นแน่

— ตูม! —

ทว่าในพริบตานั้น หญิงสาวก็รู้สึกถึงรังสีเย็นยะเยือกที่แผ่เข้ามา รังสีนี้มีอานุภาพร้ายแรงจนทำให้แม้แต่วิญญาณก็ยังปวดร้าว หัวสมองของมู่เฉียนซีพลันขาวโพลนไปพร้อมกับสติสัมปะชัญญะที่ดับวูบ

แต่ถึงแม้มู่เฉียนซีจะสลบไปแล้ว แต่ก็ยังไม่คลายปากออกจากแขนของเด็กหนุ่ม!

“เหม็นจังเลย หญิงอัปลักษณ์ เจ้า… เจ้า…”

เสียงครวญครางราวใกล้จะคลุ้มคลั่งนี้ ปลุกให้มู่เฉียนซีได้สติฟื้นขึ้นมา ต่อจากนั้นนางก็รู้สึกถึงกลิ่นเหม็นที่ยากจะทานทนได้

เมื่อลืมตาขึ้นดู นางก็พบว่าน้ำในทะเลสาบกลายเป็นสีดำ ไม่ใสจนสามารถมองเห็นไปถึงก้นบึ้งของทะเลสาบได้อีกต่อไปแล้ว

“เจ้า… อ้าปากออกเดี๋ยวนี้นะ… เร็วเข้า”

แขนของมู่เฉียนซีกระหวัดไปโอบรอบหลังคอของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่ก็เพื่อจะได้สามารถควบคุมเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ก่อนที่เขาจะชิงลงมือทำบางอย่าง เสร็จแล้วจึงค่อยคลายปากออกจากแขนของเขา

ผิวหนังตรงแขนที่เคยผุดผาดไร้รอยแผลของเด็กหนุ่มบัดนี้มีรอยฟันกัดที่มีเลือดไหลริน บาดลึกนั้นลึกจนเห็นถึงกระดูก การที่เขาถูกกัดจนมีสภาพเช่นนี้ได้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเมื่อครู่นี้นางเจ็บปวดมากเพียงใด

มู่เฉียนซีเอ่ยถามขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น”

“น้ำในทะเลสาบภูตวารี มีฤทธิ์ฟอกกระดูกชะล้างชีพจร พอร่างกายที่แสนสกปรกโสโครกของเจ้าแช่น้ำ แน่นอนว่า…”

เด็กหนุ่มส่งเสียงพูดอู้อี้พลางบีบจมูกไว้เพราะทนกลิ่นไม่ได้

“สิ่งเจือปนในร่างกายเจ้าช่างมากมายเสียจริงๆ”

ทั่วทั้งทะเลสาบในยามนี้มีแต่สิ่งสกปรกที่ถ่ายเทออกมาจากร่างกายบอบบางของหญิงสาวอัปลักษณ์ และสิ่งที่ออกมามากที่สุดก็คือสารพิษ

…ดูท่าแล้วมู่เฉียนซีผู้นำตระกูลมู่ผู้นี้ ก็ไม่ได้ปลอดภัยเท่าไรนัก…

“รับไม่ไหว ข้ารับไม่ไหวแล้ว”

— สวบ! —

เด็กหนุ่มไม่อาจทนกลิ่นเหม็นในทะเลสาบได้อีกต่อไป จึงต้องพุ่งพรวดขึ้นสูงเหนือผิวน้ำ

กระดูกไหปลาร้าที่งามประณีต ผิวพรรณละเมียดละไม และยอดเหมยแดงสองจุดบนหน้าอกของเขาพลันปรากฏขึ้นต่อหน้ามู่เฉียนซี

ต่อให้เห็นแค่เพียงส่วนบน แต่รูปร่างของบุรุษเบื้องหน้าก็ยังติดตรึงตา…นับว่าไม่เลวเลย

“อย่าขยับนะ”

มือของมู่เฉียนซีพลันกอดรัดเขาแน่นขึ้น

“เจ้าไปให้พ้นเถอะ เร็วเข้าต่อให้เลือดของเจ้าทำให้ข้าฟื้นขึ้นมา ข้าก็ไม่มีทางยอมรับเจ้าหรอก” พละกำลังแข็งแกร่งของเขากระแทกร่างของนางจนแทบปลิวกระเด็น

ทันใดนั้น แสงสีฟ้าก็แผ่คลุมร่างของทั้งสองไว้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที เขาเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสียว่า

“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน”

ขณะเดียวกันมู่เฉียนซีเองก็ได้ยินเสียงประหลาดดังก้องขึ้นในสมอง  เสียงนั้นคล้ายกับดังมาจากอดีตกาลอันไกลโพ้น…

“ศาลานิรันดร์ ศาลาเลือนรางเก้าชั้น (จิ่วฉงหุ้นตุ้นถิง) ดินแดนแห่งโลกโบราณ เมื่อเวลาคล้อยมาบรรจบกัน สุริยันจันทราแลดารา จึงจักได้ครอบครอง”

“ข้านั้นมีนามว่าจิ่วฉงหุ้นตุ้นถิง (ศาลาเลือนรางเก้าชั้น) จักขอสร้างพันธสัญญากับเจ้า ชีวิตและวิญญาณสองเราจักประสาน ร่วมเป็นร่วมตายกันตลอดไป เจ้ายินยอมหรือไม่”

เสียงอันไพเราะของเด็กหนุ่มน่าหลงใหลจนมู่เฉียนซีงงงวยอยู่ครู่ใหญ่ และด้วยความมึนงงราวตกอยู่ในวังวนอันชวนลุ่มหลงนั้นก็ทำให้นางตอบรับไปโดยไม่รู้สึกตัว

“ข้ายินยอม”

สิ้นเสียงตอบของหญิงสาว แสงสีฟ้าก็ลอยเข้าสู่หว่างคิ้วของนางทันที

มู่เฉียนซีเบิกตาโพลงมองดูเด็กหนุ่มเบื้องหน้า ยามนี้ใบหน้าที่งดงามราวหยกสลักเป็นรูปหน้าเทพเซียนแปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเสียยิ่งกว่ายักษ์มาร

“เจ้าครอบครองร่างกายของข้าแล้ว พอใจแล้วล่ะสิ ยังไม่รีบไปให้พ้นอีก”

— พลั่ก! —

ฉับพลัน เด็กหนุ่มก็ยกเท้าขึ้นโผล่พ้นเหนือผิวน้ำและถีบมู่เฉียนซีออกไปโดยไม่รั้งรอ หญิงสาวผู้ถูกกล่าวหาว่าอัปลักษณ์ได้แต่เบ้ปาก แต่เพียงอึดใจนางก็ตะโกนโต้ตอบกลับไป

“หน้าตาก็ดีอยู่หรอก แต่ข้างล่างของเจ้ามันเล็กไปหน่อยกระมัง”

“อ๊ากกกกก~ หญิงอัปลักษณ์! ข้าจะฆ่าเจ้า!” เสียงคำรามของเด็กหนุ่มรูปงามดังก้องอยู่เหนือผิวน้ำ

เพียงพริบตาเด็กหนุ่มฝีปากกล้าก็เตะมู่เฉียนซีกระเด็น ตัวนางเองยังไม่ทันได้ตั้งตัวรับมือเลยด้วยซ้ำ เจ้าเด็กนี่สมควรตายนัก ถีบนางทีเดียวตัวก็ปลิวลอยมาถึงเพียงนี้ ด้วยแรงมหาศาลขนาดนั้น เกรงว่าหากกระแทกพื้น ร่างกายของนางคงต้องเละเป็นเนื้อบดแน่

— ตุบ! —

ทว่าครั้งนี้ มู่เฉียนซีกลับไม่ได้กระแทกพื้นจนร่างแหลกเป็นก้อนเนื้ออย่างที่คิดไว้ แต่นางกลับกระแทกลงบนพื้นที่กว้าง ๆ แสนสบายแทน ‘…อืม เป็นพื้นผิวที่ประหลาดดีแท้ ทั้งหยืดหยุ่น มั่นคง แถมยังดูจะอุ่นอยู่หน่อย ๆ เสียด้วย อุ่นรึ ?… อา…’

ในที่สุดมู่เฉียนซีก็ได้รู้ แท้จริงแล้วสิ่งที่นางทับอยู่ใต้ร่างนั้นเป็น… มนุษย์