ตอนที่ 3 ตระกูลข้ามีทุ่งนา... นับไม่ถ้วน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 3 ตระกูลข้ามีทุ่งนา… นับไม่ถ้วน

จวนฟู่ตั้งอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตรอกซีชุ่ยในเมืองหลินเจียง

 จวนที่นี่ใหญ่โตแทบจะทุกหลัง ผู้ที่อยู่ที่นี่ต่างได้ชื่อว่าเป็นคหบดีแห่งเมืองหลินเจียง

มิได้เจริญรุ่งเรื่อง แต่ร่ำรวยและยังมีพื้นที่เกษตรกรรมอุดมสมบูรณ์มากนัก

             ฟู่ต้ากวนนำฟู่เสี่ยวกวนขึ้นรถม้า โดยมีชุนซิ่วเป็นผู้ติดตามไปด้วย พ่อบ้านอี้หยู่ได้เตรียมทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเดินทางในครานี้ไว้เพียบพร้อมแล้ว รถม้าทั้งหมด 10 คันอีกทั้งองครักษ์ 50 คน กำลังเดินเท้าเข้าสู่ปากทางตรอกซีชุ่ย มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจเสียยิ่งนัก

ฟู่ต้ากวนและฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงตรงข้ามกัน ใบหน้าท้วมของเขาเผยสีหน้าเศร้าใจเล็กน้อย

 “เป็นมารดาของเจ้าที่ให้ข้าแต่งงานอีกคราหลังจากที่นางจากไป นางกล่าวว่ายามที่ข้าแก่ไปจะได้มีเพื่อน… เพียงแต่นางกล่าวไว้ว่าจะดีที่สุดหากไม่มีบุตรอีก นางกังวลว่าหากข้าแต่งงานใหม่ ให้กำเนิดบุตรชาย แล้วจะไม่รักเจ้าอีก หรือหากเจ้าสาวคนใหม่มีบุตรแล้วจะรังแกเจ้าได้”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มรับบาง ๆ ฟู่ต้ากวนจึงรีบเอ่ยขึ้นมา “แม่รองของเจ้านั้นตั้งครรภ์แล้ว นั่นเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายไปบ้าง แต่ในภายภาคหน้าตระกูลฟู่ย่อมส่งมอบให้เจ้าอย่างแน่นอน เจ้าอย่าได้กังวลเลย”

 “…ท่านพ่อ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว”

“อันใดรึ”

 “ข้าต้องการจะกล่าวว่า จวนใหญ่ถึงเพียงนั้น อีกทั้งความสามารถของท่านยังดีเยี่ยม รูปลักษณ์รูปร่างของท่านเองก็มิได้ด้อยเลยแม้แต่น้อย ความจริงข้าคิดว่าท่านยังมีน้องชายและน้องสาวให้ข้าได้อีกสองสามคนเสียด้วยซ้ำ”

 ตามที่กล่าวไว้ในนิยาย ที่บ้านใหญ่ บ้านรองและบ้านที่สามจะต่อสู้กันเพื่อทรัพย์สินจนถึงแก่ชีวิต ฟู่เสี่ยวกวนเชื่อว่ายังคงมีอยู่ตามนิยาย  แต่เขาก็ปรารถนาที่จะทำให้ตระกูลเจริญรุ่งเรือง ในส่วนของการต่อสู้นั้น… การต่อสู้จะทำให้ผู้คนก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพียงแค่ควบคุมไว้ได้ก็ดี มิใช่เรื่องมิดีอันใด

สิ่งที่เขาต้องทำก็คือศึกษาให้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ตระกูลฟู่มีบุคคลที่มีพรสวรรค์มากพอจะใช้งานได้ แต่ไม่เหมือนกับในเวลานี้ การไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในวันหยุดเป็นเรื่องที่ผู้เป็นนายยังต้องไปด้วยตนเองอีกหรือ

ฟู่ต้ากวนหันร่างมาและจ้องบุตรชายเขม็ง “เจ้าคิดเยี่ยงนั้นจริงรึ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ฟู่ต้ากวนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเอ่ยว่า “แต่ว่า… ในอดีตยามที่เจ้ารับรู้ว่าแม่รองของเจ้าตั้งครรภ์ เจ้าแทบจะรื้อจวนได้ เจ้ากลับโวยวายขับไล่ฉีชื่อออกจากบ้าน”

อ่า ฟู่เสี่ยวกวนตบหน้าผาก “เรื่องในอดีต บางเรื่องข้าเองก็จำไม่ได้แล้ว แต่ในตอนนี้ข้าคิดเยี่ยงนั้นจริง ๆ ”

ฟู่ต้ากวนนั่งตัวตรง ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะหันออกไปมองนอกหน้าต่างรถ และเอ่ยเสียงแผ่วเบา “หยุนชิงที่อยู่บนฟ้า บุตรชายของข้า… เขารู้ความแล้ว”

หยุนชิงย่อมเป็นมารดาของฟู่เสี่ยวกวน เป็นความทรงจำอันเลือนรางที่ยังคงอยู่ของฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้าและกล่าวว่า “หากการเดินทางครั้งนี้จบลง ข้าอยากไปกราบท่านแม่”

“ย่อมได้ ย่อมได้ มารดาของเจ้าจักต้องยินดีเป็นแน่”

บิดาและบุตรชายยังคงพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง ฟู่ต้ากวนมั่นอกมั่นใจแล้วว่าบุตรชายนั้นไม่ได้กลายเป็นคนโง่ แต่เปลี่ยนแปรเป็นคนที่รู้ความ เปลี่ยนแปรเป็นมีสติและฉลาด และเปลี่ยนแปรเป็นน่าเชื่อถือ

การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเยี่ยงนี้ ทำให้ฟู่ต้ากวนคิดว่ากำลังอยู่ในความฝัน และไม่สามารถปรับตัวได้ในทันที

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิได้มีท่าทีที่เป็นธรรมชาติเกินไป

เป็นคราแรกที่เขาได้คุยกับผู้อื่นมากมายขนาดนี้ นั่นย่อมทำให้เขารู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย

ความอ่อนล้านั้นเกิดจากตัวตนของเขาที่เปลี่ยนแปลงไป ในอดีตเขามักจะครุ่นคิดกับการคำนวณและการกระทำบางอย่าง สิ่งที่เขาทำในตอนนี้คือการสื่อสารรวมไปถึงการเจรจาทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ แต่เมื่อมาเกิดในตระกูลเศรษฐีที่ดิน ต่อจากนี้จะต้องควบคุมกิจการที่ใหญ่โต แน่นอนว่าเขานั้นต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง

ด้วยความคุ้นชินของชีวิตนับสิบปีของชีวิตก่อน มันค่อนข้างยากสำหรับเขาที่จะเปลี่ยนแปลงในทันที

ในตอนนี้เหมือนว่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวนัก การสนทนากับบิดาที่ยังไม่คุ้นชินนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น เพียงแต่ว่าวิธีการพูดคุยนั้นยังคงไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่นัก รวมไปถึงบางคำที่เขาเผลอโพล่งออกมา ฟู่ต้ากวนมักจะถามเสมอ ว่านี่หมายความว่าเยี่ยงไร

“ตระกูลของเราดำเนินกิจการด้านใดบ้าง”

“ส่วนสำคัญคือที่ดิน ทุ่งนาที่มีอยู่มากมาย นอกจากนั้น… มีกิจการเล็ก ๆ ที่หลินเจียง แต่ไม่ใช่การค้าธัญพืช เป็นโรงเตี๊ยมยวี่ฝูจี้ที่มารดาของเจ้าเคยทำ ตอนนี้ก็ยังคงดำเนินกิจการอยู่ เพียงแค่ไม่ได้ขยายขอบเขตออกไป”

“ยวี่ฝูจี้หรือ มิใช่สวี่ฝูจี้รึ”

“ถึงแม้มารดาของเจ้าจะแซ่สวี่ แต่นามที่มอบให้นั้นคือยวี่ฝูจี้ มารดาของเจ้ากล่าวว่า มีร่มเงาอยู่ในบ้าน มอบความสุขให้แก่คนรุ่นหลัง แน่นอนว่าเป็นมารดาของเจ้าที่คิดมาก ความจริงแล้วมันถูกส่งต่อให้แก่เจ้า นางกลัวว่าหลังจากที่นางจากไปแล้วเจ้าจะถูกแม่รองรังแก นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่นางก็ยังคงจะทำเยี่ยงนั้น”

ใบหน้ามารดาของฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นมา มารดาทุกคนบนโลก ต่างใช้แรงใจในการผ่านความยากลำบาก เขาซาบซึ้งเป็นอย่างมาก แต่หมดหนทางจะตอบแทน เช่นนั้นมาดูแลยวี่ฝูจี้แห่งนี้เสียดีกว่า เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของมารดา

“ท่านพ่อไปพบยวี่ฝูจี้ที่ใด ทำอาชีพอะไรกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วส่ายศีรษะ “ในร้านค้าเล็ก ๆ ขาย… น้ำตาล”

“โอ้ ยวี่ฝูจี้ของเราขายสุรา ในหมู่บ้านนั้นมีร้านขายสุรา นายช่างในนั้นต่างเป็นบุคคลที่มารดาเจ้าสรรหามา การเดินทางครั้งนี้ก็ต้องไปที่หมู่บ้านเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้นจะพาเจ้าไปดู”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า เงียบไปอึดใจก่อนจะเอ่ยถามว่า “เรื่องนั้น ยังมีเรื่องยุ่งยากอันใดหรือไม่”

“มิได้มีเรื่องยุ่งยากอันใด ท่านผู้นั้นยังอยู่ในหลินเจียง การเดินทางครั้งนี้จะเป็นการพูดคุยเรื่องธุรกิจตระกูลการค้ารายใหญ่ในหลินเจียงหลายเจ้า เช่น จางจี้ ชวูจี้ เป็นต้น… ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อค้าผ้าและพ่อค้าธัญพืช ผ้าไหมของหลินเจียงนั้นยอดเยี่ยม ผลผลิตทางธัญพืชของหลินเจียงก็ค่อนข้างสูง เพียงแค่พ่อยังไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เหตุอันใดจึงให้สตรีมาทำแต่เพียงผู้เดียว”

“นางเป็นใคร มีภูมิหลังเช่นใดหรือ?”

“บุตรีคนรองของเสนาบดีกรมคลัง ต่งชูหลาน หลายวันมานี้พ่อได้ฟังความจากตระกูลเหล่านั้นมาว่า ขุนนางผู้นั้นค่อนข้างเจ้าอุบาย  แต่กลับไม่ได้ใช้ตัวตนมาข่มขู่ผู้ใด เพียงแค่ในการกระทำและคำพูดนั้นกลับเปิดเผยตัวตนของเสนาบดีกรมคลังอย่างตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ นับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์หยูมาได้ 200 ปี เสนาบดีกรมคลังส่วนใหญ่จะเลือกเจียงหนานเป็นที่ตั้ง แต่ครานี้กลับเลือกเจียงเป่ย… เรื่องจริงเรื่องหลอกนั้นก็ยังคลุมเครือ แต่ทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่าเป็นเรื่องจริง ดังนั้นหลายวันมานี้ท่านจึงยุ่งเป็นอย่างมาก จึงคิดว่านางคงลืมเรื่องของเจ้าไปแล้ว”

แต่ฟู่ต้ากวนไม่ได้บอกว่าเขานั้นได้ทำเรื่องอันใดเพื่อบุตรชายของเขาบ้าง

ภายในเรือหงซิ่งจาวที่ประดับหรูหราบนน่านแม่น้ำฉินหวายของเมืองหลวงจินหลิง อาจารย์หูฉินหูได้อ่านจดหมายของฟู่ต้ากวนแล้ว เงียบไปอึดใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมา หลังจากนั้นจึงส่งจดหมายฉบับนั้นไปยังจวนกรมคลังเสนาบดี และได้ส่งสุราเปียวเซียงที่บ่มมานานนับสิบปีอันล้ำค่าไปด้วย

หลังจากนั้นเสนาบดีต่งก็ได้อ่านจดหมายฉบับนั้น ดื่มสุราไปหนึ่งจอก และส่งจดหมายนั้นให้บุตรีต่งชูหลาน

เนื้อความบนจดหมายนั้นได้เขียนเอาไว้หนึ่งบรรทัด หากมิได้รับบาดเจ็บอันใด จึงได้ถูกเปิดออกเยี่ยงนี้

หลินเจียงอยู่ห่างไกลจากจินหลิง หากใช้เส้นทางทางน้ำจะมาถึงในห้าวัน แต่จดหมายฉบับนี้ใช้เส้นทางทางบก จึงมาถึงอย่างล่าช้า คนของต่งชูหลานได้ลงมือไปแล้ว ยามที่ต่งชูหลานได้อ่านจดหมายฉบับนั้นก็คิ้วขมวดอยู่ชั่วครู่ และได้ส่งคนไปสืบข่าวที่จวนฟู่ จึงได้รู้ว่าคุณชายบุ่มบ่ามนามฟู่เสี่ยวกวนคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่หาได้ใส่ใจอีกต่อไป

และเมื่อนำมารวมกับฟู่ต้ากวนที่เป็นการค้าอย่างเป็นทางการของหลินเจียง ดังนั้นเรื่องจึงจบลงเยี่ยงนี้

 “คนผู้นั้นไม่ได้ง่ายดายเลย ด้วยวัยที่ผ่านการปักปิ่นแล้ว แต่กลับสามารถควบคุมเหตุการณ์สำคัญเหล่านี้ได้ ทั้งยังเดินท่ามกลางพ่อค้าเก่าแก่ได้อย่างสบายใจ… สิ่งนี้คือความมั่งคั่งของตระกูลที่ร่ำรวย เราตระกูลฟู่ มีภารกิจอันหนักหน่วงอยู่”

“นางมีจวนเสนาบดีคอยหนุนหลัง ทั้งยังมีเสนาบดีผู้นั้น…”

 “ไม่” ฟู่ต้ากวนโบกมือ “ถึงแม้พ่อค้าเก่าแก่เหล่านั้นจะกลัวคนของทางการ แต่เมื่อมีผลประโยชน์อยู่เบื้องหน้า บางสิ่งหากไม่ผิดต่อข้อบังคับ ทางการเองก็ลงมือกับพวกเขาไม่ได้ ส่วนเสนาบดีกรมคลัง… นั่นเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสนใจอย่างแท้จริง เดิมทีพ่อค้าผ้าและธัญพืชรายใหญ่หลาย ๆ เจ้า เคยได้ต่อรองเรื่องของราคาแล้ว ต่างเดินหน้าและล่าถอยไปด้วยกันเพื่อการเอื้ออำนวยซึ่งกันและกัน แต่จากที่มองในตอนนี้ กลับค่อยถูกขุนนางผู้นั้นแย่งส่วนแบ่งในตลาดไปแล้ว เพราะข้าได้ยินมาว่าราคาของผ้าถูกลดลงจากเดิมครึ่งหนึ่ง และราคาธัญพืชเองก็ถูกลดลงไป 1 ส่วน”

ในโลกก่อนหน้านี้ฟู่เสี่ยวกวนไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน ได้ฟังเรื่องเหล่านี้ก็ค่อนข้างสนใจ เขาจึงเอ่ยถาม “นี่คือการรวมกลุ่มเพื่อคานอำนาจอีกกลุ่มหนึ่งอย่างนั้นหรือ”

 “ความหมายก็ประมาณนั้น ส่วนสำคัญยังคงลอบใคร่ครวญอยู่ในใจ เพียงได้ผลประโยชน์มามาก ก็ไม่มีพันธสัญญาที่แข็งแกร่งอันใดทั้งนั้น นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ โจ๊กหม้อเดียวกัน มีบางคนอยากตักใส่ชาม มีบางคนอยากตักใส่อ่าง และมีบางคนที่อยากยกไปทั้งหม้อ เจ้าลองดูสิ นี่คือการเอาเปรียบคนขายโจ๊กอย่างไรเล่า”

ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปอึดใจ เหตุผลง่าย ๆ เยี่ยงนี้เขาเข้าใจได้ เพียงแค่ยังไม่เคยใช้ความคิดเยี่ยงนี้ในการครุ่นคิดถึงปัญหาทางการค้า เยี่ยงนั้นก็เป็นปัญหาของตนเอง และได้กลับมายังที่ใจความสำคัญของการเปลี่ยนใจ

 “สองเดือนผ่านมาแล้ว แต่นางยังไม่ได้จากไป กล่าวกันว่ายังไม่เป็นไปตามที่นางปรารถนา แต่หลายวันที่ผ่านมานี้นางไม่ได้พูดคุยกับพ่อค้า แต่กลับไปพบบัณฑิตในหลินเจียง ทั้งยังจัดชุมนุมบทกวี จัดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนที่สำนักศึกษาหลินเจียง บัณฑิตที่มีพรสวรรค์ของหลินเจียงต่างไปกันเกินครึ่ง กลายเป็นที่รู้จักในนามการชุมนุมครั้งใหญ่ของหลินเจียง เพียงแต่ถือเป็นการหักหน้าสำนักศึกษาป้านชานไปเสีย”

มองใบหน้าที่ยังสับสนของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่ต้ากวนก็หัวเราะขึ้นมา “ล้ำลึกสิ… การลงมือนี้ล้ำลึกมากอย่างแท้จริง”

 “หมายความว่าเยี่ยงไร”

 “สี่พ่อค้าผ้ารายใหญ่แห่งหลินเจียง มีจางจี้ ชวูจี้ หลิวจี้ทั้งยังมีตระกูลหวง จางจี้นั้นใหญ่ที่สุด เป็นอันดับหนึ่งในการค้าผ้าของหลินเจียง ทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มการเจรจาในครั้งนี้ด้วย แต่เบื้องหลังของสำนักศึกษาหลินเจียงก็คือหลิวจี้ และผู้ที่อยู่เบื้องหลังสำนักศึกษาป้านชานก็คือจางจี้”

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็นึกขึ้นมาได้ “นี่คือการดันหลิวจี้เพื่อเหยียบจางจี้ การปล่อยรถม้าอย่างนั้นหรือ”

 “ใช่ ดั่งบทเพลงที่ไร้เสียง ดั่งฟ้าร้องที่ไร้ฝน นี่คือการรุกฆาตกองทัพของจางจี้ ต้องรอดูว่าจางจือเซ่อจะตอบโต้เยี่ยงไร… ตามที่พ่อลอบสังเกต พันธสัญญาการค้าผ้าทั้งหมดของจางจือเซ่อถึงคราวพังทลายแล้ว ถึงเวลาลงสนามตามลำดับ หากเป็นเยี่ยงนั้น ราคาผ้าจะลดลงมาถึง 3 ส่วน”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด และเอ่ยถามขึ้นมาอีกครา “แล้วการค้าธัญพืชเล่า”

 “สามพ่อค้าใหญ่แห่งหลินเจียง หยางจี้ ฟ้านจี้ และเหยาจี้ จากการมองในยามนี้ ขุนนางท่านนั้นไม่ได้ติดต่อกับพ่อค้าธัญพืชมากนัก ส่วนใหญ่ยังคงวางอยู่ที่พ่อค้าผ้าเป็นส่วนมาก หากการค้าผ้าสะดุด  การค้าธัญพืชก็จะสะดุดตาม นี่ค่อนข้างจะเกินจริงไปบ้าง ท้ายที่สุดกำลังทรัพย์ของเสนาบดีกรมคลังก็ใหญ่ ทั้งทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งยังต้องส่งเข้าท้องพระคลัง กำไรย่อมมีเป็นแน่ แต่อำนาจในการกำหนดราคาอยู่ในการควบคุมของขุนนาง”

 “เชือดไก่ให้ลิงดู”

 “ความหมายก็ประมาณนั้น”

“เหตุใดพวกเราจึงไม่ขายธัญพืชด้วยตนเอง”

ฟู่ต้ากวนยกยิ้ม ใบหน้านั้นดูภาคภูมิใจอย่างถึงที่สุด

“หลินเจียงที่ใหญ่โต ธัญพืช 10 ส่วน ตระกูลฟู่ของเราผูกขาดไปแล้ว 2 ส่วน อีก 8 ส่วนก็แจกจ่ายให้อีกพันครัวเรือนในหลินเจียง… ตระกูลเราไม่ใช่พ่อค้าธัญพืช เมื่อมีธัญพืชย่อมมีพ่อค้าเป็นธรรมดา  และด้วยราคาของธัญพืชในหลินเจียง ถึงแม้ข้าจะไม่ใช่ผู้กำหนดราคา แต่มันก็จะมีอิทธิพลในตัวมันเอง”

แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับขมวดคิ้วนิ่ว แล้วเอ่ยถาม “ตระกูลของเรามีทุ่งนาเท่าใดกัน”

ฟู่ต้ากวนหันหลังกลับเปิดปากกล่อง และหยิบหนังสือเล่มเล็กออกมาจากข้างใน ส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวว่า “จากการเดินทางในสิบกว่าวันนี้ ทุ่งนาที่ผ่านและเห็นทั้งหมด ล้วนเป็นของตระกูลเรา”

ฟู่เสี่ยวกวนตกใจอย่างมาก หยิบหนังสือเล่มเล็กนั้นมาแต่ยังไม่ทันได้เปิด ก็เอ่ยถามว่า “ถ้าหากคุณหนู… แม่นางผู้นั้นมาหาท่าน จะจัดการเยี่ยงไรกัน”