บทที่ 3 คืนชีพ Ink Stone_Romance

“นายหญิงเรือนข้าจะป่วยหรือไม่ ก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับท่าน และอีกอย่างท่านไม่รู้จักคำว่า ‘หมอไม่รักษาตนเอง’

หรืออย่างไร”

สาวใช้ยืนมองชายท่าทางโหดเหี้ยมที่ยืนอยู่หน้าประตูจากด้านใน แม้ถูกถามยอกย้อน แต่เขากลับไม่มีท่าทีว่าจะถอย

“คนที่อยากจะรักษาคือพวกท่านต่างหาก ไม่ใช่พวกข้า พวกข้ามีอะไรติดค้างพวกท่านอย่างนั้นหรือ ไม่อยากรักษาก็ไม่ต้องรักษา” สาวใช้กล่าวด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง นางยื่นมือชี้ออกไปทางประตู “ถอยไป อย่ามาขวางประตูบ้านพวกข้า”

พี่ชายสะใภ้โตมาจนป่านนี้ นอกจากพ่อตัวเองแล้วยังไม่เคยมีใครมาสั่งสอนเขาแบบนี้เลย เขาโกรธจนหน้าบูดบึ้ง จ้องตาเขม็ง

“หลานชาย หยุดโวยวายได้แล้ว หากช่วยชีวิตอวิ๋นเหนียงไม่ทันการณ์ ละ…แล้วจะโทษใคร” เหล่าฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น

พี่ชายสะใภ้อดกลั้นความโกรธไว้ยิ่งกว่าเดิม

จะโทษใครอย่างนั้นหรือ ที่น้องสาวเขาเป็นเช่นนี้ เป็นความผิดของเขาอย่างนั้นหรือ

“ข้าจะตามไปด้วย” เขากัดฟันพูด

“คงไม่ดีกระมัง ให้เฉินหลังไปเถอะ” เหล่าฮูหยินกล่าว

ลูกชายที่อยู่ข้างหลังรีบลุกขึ้น เร่งเร้าให้ชายสี่คนที่แบกโลงศพคลุมผ้าดำเดินเข้าไป

“ไม่ได้ พวกท่านสองแม่ลูกเป็นคนนอกตระกูล นางเป็นน้องสาวข้า ต้องให้ข้าไปถึงจะถูก” พี่ชายสะใภ้พูดจาเย้ยหยัน

ส่วนสาวใช้ของแม่นางเฉิงได้เดินนำเข้าไปก่อนแล้ว

“เข้าไปด้วยได้แค่คนเดียว แบกคนเข้าไปที่ห้องโถงแล้วออกไปเสีย” นางกล่าว

ถึงแม้จะเป็นช่วงฤดูร้อน แต่พอเดินเข้ามาในเรือนนี้กลับรู้สึกถึงความเย็นเยือกและชื้นแฉะแผ่ซ่านไปทั่ว พี่ชายสะใภ้เดินบนรองเท้าเกี๊ยะอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวตะไคร่บนหินกรวดที่ปูทางเดินจะทำเขาลื่นล้ม

โลงศพถูกยกเข้าไปในห้องโถง สาวใช้รีบไล่คนออกไปทันที ทั้งยังขวางพี่ชายสะใภ้ที่จะเข้าไปในห้องอีก

“ท่านรออยู่ข้างนอก นายหญิงข้าไม่พบคนนอกขณะรักษาคนป่วย” สาวใช้กล่าว

นี่มันกฎอะไรกัน! พี่ชายของสะใภ้ตาเบิกโพลง

เขาจ้องนางตาเขม็ง ส่วนสาวใช้เองก็เงยหน้าเท้าสะเอวถลึงตาใส่เขา ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปแล้วปิดประตูปัง

อย่างไรเสียพี่ชายสะใภ้ก็เป็นผู้รากมากดี เขาคงไม่เข้าไปหากโดยไม่ได้รับอนุญาต ยิ่งเป็นเรือนของหญิงสาวด้วยแล้ว

เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังออกมาจากในห้อง แต่กลับไม่มีเสียงพูดจาของคนเลยแม้แต่น้อย

มีเพียงแต่เสียงบ่นพึมพำ นี่หมอผีหรือหมอคนกันแน่

พี่ชายสะใภ้ประสานมือไว้ด้านหลัง เดินไปมาในเรือน

นี่มันเรื่องอะไรกัน!

เหล่าฮูหยินและคนอื่นๆ นอกเรือนก็ยังไม่ไปไหน

“ท่านแม่ ท่านพูดจริงหรือ” ลูกชายเอ่ยถามเบาๆ

เหล่าฮูหยินถอนหายใจ ไม่สนใจเขาแต่อย่างใด

“เหล่าฮูหยิน” แม่นมเบี่ยงตัวเข้ามาใกล้อย่างร้อนรน ก่อนจะกางพัดออกแล้วพูดเสียงเบาว่า “จะสำเร็จไหมเจ้าคะ หากไม่สำเร็จ…”

“ไม่สำเร็จอย่างนั้นหรือ” เหล่าฮูหยินมองดูประตูไม้บานเล็ก ฉากกั้นบังสายตาทำให้มองไม่เห็นเหตุการณ์ข้างใน นางกำไม้เท้าแน่น แล้วเอ่ยเสียงรอดไรฟันออกมา “หากไม่สำเร็จ ก็ไปฟ้องว่านางหมอปลอมนั่นฆ่าคนตาย!”

คนต่างถิ่นแถมยังมีแค่นายบ่าวสองคน ทั้งยังไม่คุ้นชินเส้นทางแถวนี้ เหตุใดนางจะจัดการไม่ได้ และอีกอย่างเรื่องนี้จะโทษนางคงไม่ถูก เพราะพวกนางทั้งสองอยากกระโดดเข้ามารับกรรมเอง

พี่ชายสะใภ้เดินในเรือนเพียงไม่นาน ประตูก็เปิดออก

“เรียกคนมาแบกไปสิ” สาวใช้ที่เดินออกมาเอ่ยขึ้น

“เป็นอย่างไรบ้าง” พี่ชายสะใภ้ถามอย่างร้อนรน ทั้งมองเข้าไปในห้อง

โลงศพยังคงตั้งไว้ในห้องโถงเหมือนเดิม แต่ไม่เห็นใครอื่น

ในห้องนี้มีแม่นางเฉิงผู้นั้นจริงหรือ คงไม่ได้มีแค่สาวใช้ผู้นี้เพียงคนเดียวแต่แรกหรอกนะ

เขาใช้ความคิดอยู่เพียงครู่ ทันใดนั้นเสียงเดินของรองเท้าเกี๊ยะก็ดังออกมาจากในห้อง ราวกลับตั้งใจจะคลายความสงสัยให้แก่เขา จากนั้นเงาของร่างคนก็ปรากฏขึ้นหลังฉากกั้นลม เงาของหญิงนางหนึ่ง เหตุเพราะนางสวมใส่ชุดตัวโคร่ง จึงมองไม่ออกว่าอ้วนผอมหรือเด็กแก่ หญิงสาวยืนได้เพียงครู่แล้วก็นั่งลง จากนั้นร่างของสาวใช้ก็บังสายตาของเขา

“นี่ เรียกคนมาสิ” สาวใช้พูดอย่างไม่พอใจ ราวกับไม่ชอบใจนักที่แอบมองนายหญิงของตน

พี่ชายสะใภ้เบนสายตากลับมา

“รักษาหายหรือยัง” เขาถาม

“โดยรวมแล้วดีขึ้น ขาดแต่ก็ตัวนำยาแล้ว” สาวใช้กล่าว

หญิงแก่ท่าทางมอซอสี่คนพยุงร่างคนขึ้นไว้บนเตียงแล้วออกจากห้องไป

เหล่าฮูหยินและบ้านฝั่งสะใภ้พากันล้อมเข้ามามุงดูหญิงที่อยู่บนเตียง

หญิงผู้นั้นยังสวมชุดคนตายอยู่ มือเท้าถูกมัดด้วยเชือกฟาง หลับตาอย่างสงบ เหมือนตอนที่อยู่ในโลงไม่มีผิด

คนในห้องรู้สึกหนาวยะเยือกอย่างอดไม่ได้

“ชุด…เปลี่ยนชุดไหม” มีคนถามขึ้นมา

จะเปลี่ยนได้อย่างไรเล่า หากไม่ฟื้น ไม่ต้องใส่ให้อีกรอบหรือ!

เหล่าฮูหยินไม่ตอบ แต่หันไปมองพี่ชายสะใภ้

“นางบอกว่าต้องใช้ตัวนำยาอะไร” นางถาม

“หวีและกระจกที่อวิ๋นเหนียงใช้เป็นประจำ” พี่ชายสะใภ้เอ่ยพลางขมวดคิ้ว เขาเองก็ไม่รู้ควรจะทำสีหน้าอย่างไร

เหล่าฮูหยินไม่ได้สนใจว่าตัวนำยาจะแปลกประหลาดเพียงใด ขนาดคนตายแล้ว นางยังกล้าบอกว่ารักษาได้ เรื่องแปลกเช่นนี้ยังพูดออกมาได้ ยังมีอะไรจะทำนางประหลาดใจได้อีก

สาวใช้หยิบกระจกที่ฮูหยินใช้เป็นประจำออกมาทันที เป็นกระจกทองเหลืองทรงพระจันทร์เต็มดวง สลักลายดอกบัว ประดับด้วยอัญมณีและเข้ากรอบรอบด้าน

“บอกว่าให้เอาทับไว้บนอก” พี่ชายสะใภ้กล่าว น้ำเสียงดูหงุดหงิดและจนปัญญา

สาวใช้สองคนค่อยๆ นำกระจกทองเหลืองวางไว้บนหน้าอกของฮูหยิน

“คว่ำหน้ากระจกลง” พี่ชายสะใภ้นึกรายละเอียดขึ้นได้

สาวใช้สองคนรีบกลับหัว นำกระจกทองเหลืองคว่ำลงบนหน้าอกฮูหยิน แล้วรีบถอยออก

การเฝ้าคนตายนี้ ทำให้รู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัวจริงๆ

ในห้องเงียบสงัด

“แล้วอย่างไรต่อ” มีคนอดถามขึ้นมาไม่ได้

“รอ” พี่ชายสะใภ้ตอบอย่างไม่สบอารมณ์

ในห้องนั้นเงียบสงัดลงอีกครั้ง ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจ สายตาของทุกคนจ้องมองไปที่ร่างของหญิงที่นอนอยู่บนเตียง

ผ่านไปสิบห้านาที เหล่าคนที่กลั้นหายใจรอลุ้นเริ่มทนไม่ไหวจนต้องถอนหายใจออกมา

หญิงบนเตียงยังคงนอนแน่นิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน

“ไปดูหน่อยว่ามีลมหายใจหรือยัง” พี่ชายสะใภ้กล่าว

สาวใช้ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ยืนขึ้นข้างเตียงด้วยความหวาดกลัว มืออันสั่นเทายื่นไปรองที่ใต้จมูกของหญิงผู้สาวอย่างระวัง

“ยังเจ้าค่ะ…” สาวใช้ชักมือกลับ ใบหน้าซีดเผือก เสียงพูดสั่นเครือ

ผู้คนในห้องสีหน้าเปลี่ยนไป

“ท่านแม่ย่า! เรื่องนี้วุ่นวายสมใจท่านหรือยัง!” พี่ชายสะใภ้ตะโกน ความโมโหที่สะสมได้ระเบิดออกมาอีกครั้ง เขาเขวี้ยงถ้วยน้ำชาลงกับพื้น

ทันใดนั้นเอง เสียงหายใจเฮือกของหญิงสาวก็ดังขึ้นทั่วห้อง

เสียงหอบหายใจนี้ทั้งแรงทั้งยาว เหมือนกับคนที่กลั้นหายใจมานานอย่างไรอย่างนั้น

“โอย ทับจนข้าจะตายอยู่แล้ว! อะไรนี่ รีบยกออกเร็ว! ทับจนข้าแทบหายใจไม่ออก!” เสียงแหบพร่าของหญิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่หลังพ่นล่มหายใจออกมา

สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างเตียงตัวแข็งทื่อตั้งแต่ได้ยินเสียงหายใจแล้ว จู่ๆ ก็ขนลุกกันทั่วทั้งตัว พอได้ยินเสียงพูด นางก็ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง แต่กลับกรีดร้องและรีบล้มลุกคลุกคลานวิ่งออกไป

“ผีหลอก!”

สาวใช้บ้านตระกูลเฉิงรีบเข้าไปในห้องด้วยฝีเท้าฉับไว รองเท้าผ้าเมื่อเดินบนไม้กระดานไม่ได้มีเสียงดังมากนัก

“นายหญิงเจ้าคะ นางฟื้นแล้วจริงๆ” นางตะโกน น้ำเสียงนั้นยากจะซ่อนความประหลาดใจ

เสียงของนางดังรอดออกมาจากฉากกั้นลม สาวใช้มองหญิงสาวที่พิงร่างกับโต๊ะเตี้ยกำลังเหม่อมองไปที่ฉากกั้นลม แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าของนาง ความดีใจบนหน้าสาวใช้ก็หายไปทันที

หญิงสาวผู้นั้นเป็นเพียงเด็กสาวอายุราวสิบสี่สิบห้า สวมใส่ชุดสีพื้นและคลุมด้วยชุดคลุมสีดำตัวใหญ่ที่แทบจะห่มนางเข้าไปได้ทั้งตัว ยิ่งทำให้นางดูตัวเล็กลงยิ่งกว่าเดิม ผิวขาวใสดุจหยก เส้นผมดกดำดั่งหมึกวาด มองแล้วสวยสุดบรรยาย

แต่ทว่านัยน์ตาดำของนางนั้นเล็กมาก ตาขาวนั้นใหญ่จนเกินไป บวกกับขณะนี้ที่เหม่อมองฉากกั้น ดูแล้วเหมือนตุ๊กตาผ้าที่ไร้วิญญาณ

“นายหญิง!” สาวใช้คุกเข่าบนพื้น พร้อมคว้าเสื้อผ้าที่ของหญิงสาวที่กองอยู่บนพื้น นางก้มหน้าร้องไห้ฟูมฟายกับพื้น “นายหญิงเจ้าคะ ตื่นสิเจ้าคะ นายหญิง อย่าทำปั้นฉินตกใจสิเจ้าคะ!”

ในขณะที่นางกำลังนางร้องฟูมฟาย ลูกตาของเด็กสาวก็ค่อยๆ กลิ้งกลอก ดวงตาที่เหม่อลอยเริ่มเผยความมีชีวิตชีวา

“ข้า…คือใครกัน” นางเอ่ยพึมพำ

 ………………………………………………………………….