บทที่ 7 เหล่าชาวบ้านผู้สมถะและจริงใจ + บทที่ 8 ความช่วยเหลือจากช่างไม้ Ink Stone_Romance
บทที่ 7 เหล่าชาวบ้านผู้สมถะและจริงใจ
“วันนี้ข้าได้ยินเด็กๆ ลือกันว่าเจ้าสอนพวกเขาให้อ่านหนังสือออกและยังเขียนคำบางคำได้อีกด้วย ข้าเลยอยากขอให้เจ้าช่วยสอนเด็กน้อยตาดำๆ ในหมู่บ้านของเราให้อ่านออกเขียนได้สักหน่อยน่ะ” หยางจู้กล่าวและมองหญิงสาวอย่างคาดหวัง
หนิงเมิ่งเหยาอึ้ง ‘เพราะเหตุนี้สินะ…’ จริงๆ แล้วหญิงสาวเพียงแค่สนุกและชอบสอนวิธีอ่านหนังสือให้กับเด็กๆ ก็เท่านั้น แต่ตอนนี้หัวหน้าหมู่บ้านกลับต้องการให้นางสอนบรรดาเด็กน้อยในหมู่บ้านให้รู้หนังสือ ซึ่งมัน…
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านเจ้าคะ คือข้า…”
“แม่หนู มีปัญหาอะไรเช่นนั้นหรือ”
หนิ่งเมิ่งเหยาวางตัวไม่ถูก “ข้าเกรงว่าจะเป็นตัวถ่วงอนาคตของพวกเขา”
“เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก เราแค่อยากให้พวกเขาอ่านออกเขียนได้กันมากขึ้น ไม่ได้คาดหวังจะให้พวกเขาเข้าสอบจริงจังอะไร อย่างน้อยจะได้มีทักษะความรู้เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มโอกาสทำมาหากินในวันหน้าก็เท่านั้น” หยางจู้ตอบหลังจากได้ยินข้อกังวลของหญิงสาว
หนิงเมิ่งเหยาครุ่นคิด จนสุดท้ายก็พยักหน้ารับคำ “หากชาวบ้านยินยอมจะให้ข้าสอน ข้าก็ยินดีจะสอนให้พวกเขาอ่านเขียนและนับเลขเป็น แต่ก็ไม่อาจช่วยให้พวกเขาผ่านการสอบวัดระดับของเมืองหลวงได้หรอกนะ”
ตั้งแต่หญิงสาวมาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ก็อยากจะเข้าร่วมสังคมกับกลุ่มชาวบ้านมาโดยตลอด แต่ยังไม่เคยมีโอกาสเสียที นี่จึงเป็นเหตุผลให้นางตอบตกลงกับข้อเสนอนี้
หยางจู้เผยรอยยิ้มบนใบหน้าเหี่ยวย่นและผงกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ดีเลย ข้าขอขอบคุณแทนเด็กๆ ในหมู่บ้านด้วย” เขากำลังจะก้มคำนับแต่หนิงเมิ่งเหยารีบคว้าตัวเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านอย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจเช่นนี้เลย ท่านเป็นผู้อาวุโสจะมาโค้งคำนับให้ข้าได้อย่างไรกัน” หญิงสาวขมวดคิ้วมอง
“ฮ่าๆ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ลดพิธีรีตรองต่างๆ ลงเสีย แล้วเรียกข้าว่าลุงก็พอ” หยางจู้เอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ตกลง ท่านลุง”
“ไอ้หยา ข้าต้องไปบอกข่าวดีกับคนอื่นๆ ต่อแล้วล่ะ” หลังจากพูดจบ เขาก็เขย่าประตูอย่างมีความสุขและปล่อยให้บุครสาวของตนอยู่ที่บ้านของนางต่อ
“เหยาเหยา พ่อข้าก็เป็นเช่นนี้แหละ เจ้าอย่าถือสาเลยนะ” หยางเล่อเล่อถูจมูกของตนพลางพูดอย่างขัดเขิน
หนิงเมิ่งเหยาส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เป็นไรเลย ดีเสียอีกที่หมู่บ้านไป๋ซานแห่งนี้มีท่านลุงเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน”
สีหน้าของเด็กสาวมีความสุข และมักจะรู้สึกยินดียิ่งขึ้นเมื่อมีคนพูดจาให้เกียรติผู้เป็นพ่อของตนเช่นนี้ แต่แล้วนางก็หน้านิ่วคิ้วขมวด หลังจากฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“เหยาเหยา เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดทุกคนถึงรู้ว่าเจ้าสอนหนังสือให้เด็กๆ” หยางเล่อเล่อเอ่ยปากถามในทันที
หนิงเมิ่งเหยาสับสนและถามกลับ “ทำไมรึ”
“เพราะหยางซิ่วเอ๋อร์” เด็กสาวพูดอย่างไม่สบอารมณ์
‘เหตุใดนางจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยนะ’“นางทำอะไรหรือ”
เมื่อหญิงสาวเอ่ยถาม หยางเล่อเล่อจึงเล่าให้ฟังว่าอีกฝ่ายทำอะไรลงไปบ้าง
หนิงเมิ่งเหยาแสยะยิ้มอย่างเหยียดหยาม เท่าที่ได้รู้จักกับหยางซิ่วเอ๋อร์ในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้รู้ว่านางเป็นคนแบบไหน แต่ก็มิได้หงุดหงิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพราะหยางซิ่วเอ๋อร์ นางจึงสามารถปรับตัวเข้ากับคนในหมู่บ้านได้เร็วขึ้น
“จริงสิ เหยาเหยา แล้วเจ้าจะคิดค่าจ้างเท่าไหร่ล่ะ” หยางเล่อเล่อไม่คาดคิดว่าพ่อของตนจะลืมถามเรื่องนี้ก่อนจากไปเสียได้ ‘ช่างไม่ได้เรื่องเสียจริงเชียว’
“ข้าไม่คิดค่าใช้จ่ายอะไรหรอก เพียงแค่อยากจะสอนหนังสือพวกเขาแบบสบายๆ เท่านั้นแหละ และข้าก็ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทองแต่อย่างใดอีกด้วย” หนิงเมิ่งเหยาส่ายศีรษะเบาๆ เพราะนางไม่จำเป็นต้องหาเลี้ยงชีพจากการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ทั้งนี้จำนวนเงินเหล่านั้นมีค่ามากสำหรับชาวบ้านทั้งหลาย ทำให้พวกเขามีกินมีใช้ได้ถึงหนึ่งเดือนเลยทีเดียว
หยางเล่อเล่อมองหญิงสาวผู้นี้ด้วยความรู้สึกซับซ้อน นางรู้จักหนิงเมิ่งเหยาดี แต่ก็อดรู้สึกละอายใจไม่ได้เมื่อเห็นอีกฝ่ายช่างแสนดีเช่นนี้
“เหยาเหยา ข้าดีใจจริงๆ ที่ได้รู้จักกับเจ้า”
“พรุ่งนี้เช้า ข้าว่าจะเข้าเมืองสักหน่อย เจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่” หนิงเมิ่งเหยามองเด็กสาวก่อนถามเพราะจำได้ว่างานปักเย็บของนางเสร็จเรียบร้อยแล้ว
หยางเล่อเล่อพยักหน้ารับ “อยากไปสิ งานปักเย็บผ้าของข้าเสร็จพอดี เลยอยากเอาไปขายเพื่อหาเงินมาซื้อของใช้ภายในบ้านน่ะ เหยาเหยา ตอนพวกเรากลับมาแล้ว เจ้าพอจะช่วยสอนลายปักดอกไม้ให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่”
“เจ้ามาทำที่นี่ได้ตลอดเลย ข้าเกือบลืมถามไป ไม่รู้ว่าในหมู่บ้านพอมีช่างไม้สักคนบ้างหรือไม่” หนิงเมิ่งเหยาฉุกคิดได้ว่าโต๊ะและเก้าอี้ในบ้านนั้นมีไม่เพียงพอ จึงต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมก่อนจะเริ่มสอนเสียก่อน
“มีสิ! เจ้าตามข้ามาเลย!”
ทั้งคู่เดินไปยังหมู่บ้าน แต่ระหว่างทางกลับไม่เห็นใครเลยสักคน จนกระทั่งมาถึงหน้าบ้านของหยางเล่อเล่อ ทำให้พบว่ามีผู้คนเบียดเสียดกันหนาแน่นอยู่ด้านในและกำลังพูดคุยกันเรื่องที่หนิงเมิ่งเหยาจะมาสอนหนังสือให้แก่เด็กๆ กันอยู่
บทที่ 8 ความช่วยเหลือจากช่างไม้
หยางจู้เห็นหนิงเมิ่งเหยายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านมากมาย จึงได้เชิญหญิงสาวเข้ามาตอบคำถามต่างๆ ของคนเหล่านี้ด้วยตนเอง
“เมิ่งเหยา เจ้าจะสอนหนังสือให้เด็กๆ จริงหรือ” เหล่าชาวบ้านต่างตื่นเต้นกับความคิดที่ว่า หากลูกๆ ของตนอ่านเขียนได้และนับเลขเป็น ในวันหน้าพวกเขาก็จะสามารถทำอาชีพสมุห์บัญชีซึ่งเป็นงานที่มีรายได้ค่อนข้างสูง
“ใช่แล้ว ข้ารับปากท่านลุงเรื่องที่จะสอนหนังสือเด็กๆ ในหมู่บ้าน แต่สิ่งที่ข้าพอจะสอนได้นั้นไม่เพียงพอต่อการเข้าสอบของเมืองหลวงหรอกนะ หากพวกท่านคาดหวังเรื่องนั้นอยู่ล่ะก็ ข้าคิดว่าคงจะต้องเข้าเรียนกับทางสถานศึกษาน่าจะดีกว่า” หนิงเมิ่งเหยาอธิบายให้ชาวบ้านทั้งหลายฟัง
“แล้วค่าตอบแทนเล่า…”
“ข้าไม่คิดจะเก็บค่าตอบแทนใดๆ หรอก พวกท่านนำเงินไปซื้อพู่กันและน้ำหมึกให้กับลูกๆ ของพวกท่านเพื่อใช้ในการเล่าเรียน ซื้อหาอาหารที่อร่อยและมีประโยชน์ให้พวกเขาเถิด” หญิงสาวเห็นสายตาแห่งความหวังของเด็กๆ ที่ต่างก็กำลังจ้องมองนางอยู่ พวกเขาราวกับรู้ตัวว่าตนเองกำลังจะได้เรียนหนังสือแล้ว
ฝูงชนเริ่มสับสนอลหม่านขณะทุกคนจ้องมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา หญิงสาวไม่คิดค่าสอนจริงๆหรือ นี่…นี่มัน…
“แม่หนู เจ้า…”
“ไม่เป็นไรเลย ท่านลุง ข้าแค่สอนในเวลาว่างก็เท่านั้น และจะสอนตามความสามารถที่ข้าพอจะทำได้ หวังว่าทุกคนจะชอบวิธีการสอนของข้า” หนิงเมิ่งเหยาคลี่ยิ้มบางๆ ราวกับเป็นสายลมบริสุทธิ์ในฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นหัวใจของผู้คน
“พวกเราจะไม่ชอบได้เช่นไรกันเล่า”
“นั่นสิ อย่างไรพวกเราก็ขอขอบคุณล่วงหน้าเลยแล้วกันนะ”
“ไม่เป็นไรเลย แต่อย่างไรก็ตาม เด็กที่จะเข้ามาเรียนได้นั้นต้องมีอายุห้าขวบขึ้นไปเท่านั้น” หญิงสาวนึกย้อนถึงเด็กๆ ในยุคที่นางจากมา ว่ามักจะเริ่มเรียนกันในวัยนี้ นางจึงตั้งเงื่อนไขขึ้นมา
“ทำไมหรือ” ชาวบ้านต่างไม่เข้าใจเหตุผลของเงื่อนไขข้อนั้นของนาง
“ช่วงอายุห้าขวบนั้นเป็นวัยแรกเริ่มที่เด็กๆ จะหัดเรียนรู้ พวกเขาจะตั้งใจเล่าเรียนและนั่งฟังอย่างเรียบร้อยได้น่ะ” หนิงเมิ่งเหยาอธิบายอย่างใจเย็น
ผู้คนต่างเห็นด้วยในทันที เพราะเด็กอายุน้อยเกินไปก็ไม่อาจนั่งนิ่งอยู่กับที่ได้ และมักจะอยากออกไปวิ่งเล่นข้างนอกกันเสียมากกว่า ชาวบ้านทั้งหลายจึงยอมรับข้อตกลง
หญิงสาวยิ้มให้กับทุกคน พอดีกับที่หยางเล่อเล่อเรียกให้นางดูช่างไม้ประจำหมู่บ้าน
“เหยาเหยา นั่นคือท่านปู่หลี่ เป็นช่างไม้ของที่นี่ เขาเป็นคนมีฝีมือมากเลยนะ” เด็กสาวชี้ไปทางชายชราผู้อยู่ไม่ไกลจากหญิงสาวทั้งสองพร้อมรอยยิ้ม
ผู้เฒ่าหลี่เงยหน้าขึ้นมองหนิงเมิ่งเหยา “แม่หนู เจ้าอยากให้ข้าทำสิ่งใดรึ”
“ข้าต้องการโต๊ะและเก้าอี้เพิ่มน่ะ พอดีที่บ้านของข้ามีไม่พอ” หญิงสาวพูดอย่างจนปัญญา
“โถ่ ข้าก็คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร ไม่ต้องกังวลไป เดี๋ยวข้าและบุตรชายอีกสองคนจะทำโต๊ะและเก้าอี้ตามที่เจ้าต้องการให้เสร็จภายในสองวันนี้นี่แหละ” ผู้เฒ่าหลี่ตอบกลับในทันที
ชายชราผู้นี้มีหลานชายสองคน คนหนึ่งอายุเจ็ดขวบ ส่วนอีกคนนั้นห้าขวบ ซึ่งอยู่ในช่วงวัยที่นางจะช่วยสอนหนังสือให้ได้พอดี ดังนั้นเขาจึงเต็มใจช่วยเหลืออย่างเต็มที่
“ท่านปู่หลี่ พวกเราไปคุยเรื่องแบบโต๊ะและเก้าอี้กันที่บ้านของท่านก่อนดีหรือไม่”
“ดีเลย ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวไปกับแม่หนูก่อนนะ อาจู” ผู้เฒ่าหลี่หันหน้าบอกกับหยางจู้
“เชิญตามสบาย”
ชายชราหมุนตัวจากไปพร้อมกับหญิงสาว ส่วนคนอื่นๆ ก็เริ่มพูดคุยกันต่ออย่างมีความสุข บางคนถึงกับตักเตือนลูกๆ ของตนให้ตั้งใจเรียนกับหญิงสาวอีกด้วย
หนิงเมิ่งเหยามาถึงบ้านของผู้เฒ่าหลี่ ภายในนั้นมีชายวัยกลางคนสองคนกำลังประดิษฐ์เครื่องเรือนอยู่
“ท่านพ่อกลับมาแล้ว ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้าหมู่บ้านว่าเช่นไรบ้างหรือ” ทั้งคู่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม เพราะต้องทำเครื่องเรือนให้เสร็จ
“หลินเอ๋อร์และเสี่ยวมู่ของเราจะได้เข้าเรียนกันทั้งคู่เลย” ผู้เฒ่าหลี่มีความสุขอย่างมากเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
พอชายทั้งสองคนได้ยินดังนั้น จึงรีบวางมือจากงานที่ทำอยู่และถามรายละเอียดจากบิดา หลังจากรับฟังข้อมูลแล้ว ทั้งคู่ก็มองหนิงเมิ่งเหยาด้วยดวงตาทอเป็นประกาย
“คือ…ท่านปู่หลี่ เรามาคุยกันเรื่องแบบโต๊ะและเก้าอี้กันก่อนดีหรือไม่” หญิงสาวรู้สึกขัดเขินเมื่อถูกจับจ้องด้วยแววตาอันแรงกล้าเช่นนั้น
หนิงเมิ่งเหยาเรียกสติคืนให้กับผู้เฒ่าหลี่ เขาจึงรีบกวักมือเรียกนางเข้ามาด้านใน พวกเขาพูดคุยกันเรื่องแบบโต๊ะเก้าอี้ ในที่สุดผู้เฒ่าหลี่ก็ทำโต๊ะและเก้าอี้แบบพับเก็บได้ตามคำแนะนำของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว
“ใช่แล้ว แบบนี้เลย ท่านปู่หลี่ แต่ข้าต้องการโต๊ะสักสิบห้าตัว รวมถึงเก้าอี้อีกสามสิบตัว ไม่ทราบว่าท่านคิดราคาเท่าไหร่หรือ” หนิงเมิ่งเหยาพึงพอใจกับชิ้นงานที่เสร็จเรียบร้อย และเอ่ยถามผู้เฒ่าหลี่
ทว่าเขากลับโบกมือไปมา “จะให้ข้าคิดเงินเจ้า ทั้งๆ ที่เจ้ากำลังจะสอนหนังสือให้เหล่าเด็กน้อยโดยไม่คิดค่าตอบแทนเลยเช่นนั้นหรือ เจ้าไม่ต้องจ่ายเงินให้พวกเราหรอก”
“ใช่แล้ว แม่หนู หากเจ้ายังดื้อดึง เราจะถือว่าเป็นการดูถูกกันเกินไปแล้วนะ” ชายวัยกลางคนทั้งสองผู้ยืนอยู่ข้างๆ แสดงความขึงขังขึ้นมา
ทั้งคู่อยากส่งลูกๆ ของตนเข้าศึกษาในสถานศึกษา แต่มันแพงเกินไป ตอนนี้ลูกๆ ของพวกเขากำลังจะมีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือแล้ว ชายวัยกลางคนทั้งสองจึงมีความสุขอย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว