บทที่ 5 หลู่ซิ่น

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

คนสกุลอวี้ล้วนมีรูปโฉมน่ามอง 

 

 

สันจมูกโด่ง ตาโต ผมสีดำขลับ ผิวพรรณขาวผ่อง หากพูดถึงจุดด้อย ก็คือรูปร่างไม่สูงใหญ่นัก 

 

 

ตรงตามมาตรฐานของคนทางใต้ทั่วไป 

 

 

ด้วยเหตุนี้ แม้อวี้ป๋อจะเลยวัยสามสิบมานานแล้ว และเพราะเป็นคนทำมาค้าขายอยู่ตลอด ใบหน้ามักมีรอยยิ้มประดับอยู่สามส่วน มองดูแล้วให้กลิ่นอายของบัณฑิตมากกว่าพ่อค้าเสียอีก 

 

 

ลูกพี่ลูกน้องของอวี้ถังที่ชื่อว่าอวี้หย่วนยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากดวงหน้าจะที่งดงามเรียบร้อยแล้ว กิริยาวาจาล้วนมีความเหนียมอายแฝงอยู่หลายส่วน เห็นแล้วนึกถึงคุณชายน้อยผู้สุภาพเรียบร้อยข้างๆ บ้าน มองแล้วให้ความรู้สึกน่าเข้าใกล้ 

 

 

แต่อวี้ถังรู้ดีว่า ลูกพี่ลูกน้องของนางคนนี้มีความคิดเป็นของตนเอง ชาติก่อน หากมิใช่มีเขาคอยค้ำจุน ต่อให้มีเงินห้าพันตำลึงมาอยู่ในมือ ท่านลุงใหญ่ของนางก็อาจจะซื้อสมบัติตกทอดที่ถูกขายออกไปกลับมาทีละชิ้นๆ ไม่ได้ 

 

 

อวี้ถังรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของลูกพี่ลูกน้องผู้นี้นัก 

 

 

ตอนที่บิดากับท่านลุงใหญ่กำลังสนทนากัน นางก็ใช้น้ำชาแทนสุรา ยกขึ้นคารวะอวี้หย่วนอย่างเงียบๆ 

 

 

อวี้หย่วนมึนงงในทันที 

 

 

น้องสาวของเขาคนนี้ถูกท่านอาและน้าสะใภ้ตามใจจนเคยตัว แม้จะถึงวัยปักปิ่นแล้ว แต่ยังนิสัยเหมือนเด็กๆ อยู่ นอกจากหาของกินดื่มอร่อยๆ แล้ว เรื่องในสกุลไม่เคยสนใจ เรื่องคบค้าสมาคมด้านนอกก็ไม่เคยข้องเกี่ยว 

 

 

อวี้หย่วนลดเสียงถามอวี้ถังว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรจะให้ข้าไปทำใช่หรือไม่?” 

 

 

หรือไม่นางก็คงไปก่อเรื่องอะไรมา จำเป็นต้องให้เขาพูดชมนางสักหลายคำต่อหน้าท่านอาและน้าสะใภ้ 

 

 

อวี้ถังถูกทำให้โง่งมไปครู่หนึ่ง 

 

 

ที่แท้เมื่อชาติก่อน ในสายตาของญาติผู้พี่นางเป็นคนเช่นนี้เองหรือ? 

 

 

นางอดจะพิจารณาตัวเองใหม่อีกครั้งไม่ได้ 

 

 

อวี้หย่วนเห็นท่าทางเช่นนั้นของนางก็เข้าใจผิดคิดว่าตนเองเดาถูก จึงอดจะปลอบใจนางเสียงเบาไม่ได้ “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ มีเรื่องอะไรค่อยๆ เล่าให้ข้าฟังก็ได้ ถ้าเร่งด่วนนัก ข้าจะช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าไม่ด่วน เจ้าก็รอข้าสักสองวันเถอะ…สองวันนี้ข้าต้องช่วยท่านพ่อสะสางเรื่องร้านค้า ถ้าจัดการเรียบร้อยแล้วสองวันต่อจากนี้จะไปช่วยเจ้านะ” 

 

 

อวี้ถังหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก 

 

 

พอไตร่ตรองดูอย่างละเอียด ชาติก่อนนางก็มีเรื่องไม่น้อยที่ต้องรบกวนญาติผู้พี่คนนี้อยู่จริงๆ 

 

 

นางหันไปส่งยิ้มหวานให้อวี้หย่วน แล้วยกถ้วยชาคารวะเขาจากที่ไกลๆ “ข้าเห็นว่าท่านพี่เหนื่อยมาหลายวันแล้ว ถึงได้คารวะสุราเจ้า” 

 

 

“จริงรึ?!” อวี้หย่วนยังแคลงใจอยู่ 

 

 

อวี้ถังทำปากยื่น คล้ายอยากจะพูดบางอย่าง ทว่าท่านลุงใหญ่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะพลันพูดเสียงดังขึ้นมาก่อนว่า “เรื่องนี้ข้าไม่เห็นด้วย! หากท่านพ่อท่านแม่ที่อยู่ในปรโลกรับรู้ ก็ไม่มีวันเห็นด้วยเด็ดขาด” 

 

 

ภายในห้องพลันเงียบกริบเพราะประโยคนั้นของเขา 

 

 

อวี้หย่วนกับอวี้ถังก็กระเด้งตัวนั่งหลังตรงทันที 

 

 

คนสกุลเฉินดึงชายแขนเสื้อของอวี้เหวิน เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพี่ ข้าเองก็ไม่เห็นด้วย” 

 

 

อวี้เหวินมองหน้าภรรยาแล้วถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง พอจะเปิดปากพูด กลับถูกป้าสะใภ้ใหญ่ตัดบทว่า “น้องสามี พวกเราต่างรู้ว่าเจ้าร้อนใจ แต่ว่าการรีบร้อนก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาได้ เจ้าก็พูดเองนี่ว่าหมอหลวงหวังเชี่ยวชาญตรวจรักษาเด็กเล็ก อาจจะสั่งยาได้ไม่ตรงโรค รักษาน้องสะใภ้ไม่หายสักทีเดียว เมืองหลวงทางนั้นพวกเราก็ไม่รู้จักลู่ทาง ประตูสำนักหมอหลวงเปิดไปทางใดก็ไม่อาจรู้ เจ้าก็จะบุ่มบ่ามพาน้องสาวไปแล้วหรือ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะหาหมอที่เหมาะสมเจอหรือไม่ แค่ร่างกายของน้องสะใภ้เอง เกรงว่าจะรับความทรมานขนาดนั้นไม่ไหวหรอก!” 

 

 

ตอนที่ท่านปู่ของอวี้ถังยังมีชีวิตอยู่ก็ยกย่องสะใภ้ใหญ่ของตนผู้นี้มาก คำพูดคำจาของคนสกุลหวังจึงค่อนข้างมีน้ำหนักอยู่พอตัว 

 

 

อวี้เหวินหันไปมองคนสกุลหวังอย่างทำอะไรไม่ถูก “เช่นนั้น เช่นนั้นจะทำอย่างไร? ข้าไม่อาจทนมองให้มารดาของลูกผ่ายผอมลงไปทุกวันๆ เช่นนี้ได้หรอก!” พูดไป ดวงตาของเขาก็แดงเรื่อ 

 

 

คนสกุลเฉินรีบร้อนอธิบายว่า “ท่านพี่ ข้าเป็นเช่นนี้เพราะอากาศร้อน ไม่ใช่เพราะอาการเจ็บป่วยทรุดหนัก ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า แต่ที่ท่านลุงกับพี่สะใภ้พูดก็มีเหตุผล ต่อให้จะไปหาหมอที่เมืองหลวง ก็ต้องหาคนไปช่วยสืบข่าวเสียก่อน รอให้ร่างกายของข้าดีขึ้นหน่อยค่อยว่ากันใหม่เถอะเจ้าค่ะ” 

 

 

อวี้เหวินชั่วขณะหนึ่งพลันรู้สึกสลดใจนัก 

 

 

คนสกุลหวังหันไปส่งสายตาให้สามี จนใจที่อวี้ป๋อยังรู้สึกโมโหน้องชายอยู่จึงกล่าวว่า “เจ้าโตจนเป็นพ่อคนแล้ว ยังจะให้ข้าพูดอะไรอีก…” 

 

 

นี่เป็นประโยคเปิดทุกครั้งที่เขาจะใช้เวลาอบรมสั่งสอนอวี้เหวิน คนในสกุลล้วนรู้กันดี อวี้หย่วนกลัวว่าบิดากับท่านอาจะทะเลาะกัน จึงเปิดปากตัดบทอวี้ป๋อโดยไม่สนใจสิ่งใดว่า “ท่านพ่อ มีเรื่องหนึ่งที่ท่านต้องหารือกับท่านอาขอรับ” 

 

 

อวี้ป๋อชะงักบทสนทนาไว้เท่านั้น ส่วนสายตาของอวี้เหวินก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของอวี้หย่วน 

 

 

อวี้หย่วนเล่าว่า “ข้าได้ยินมาว่า ศพของนายท่านใหญ่สกุลเผยจะมีพิธีแห่ในวันพรุ่งนี้ พวกเราต้องไปดักเคารพศพกลางทางหรือไม่ขอรับ ไม่ว่าอย่างไร แต่ก่อนตอนที่ค้าขายอยู่บนถนนฉางซิ่ง สกุลเผยก็ให้การดูแลสกุลเราอยู่ไม่น้อย” 

 

 

กิจการบนถนนฉางซิ่งแปดถึงเก้าในสิบส่วนล้วนเป็นของสกุลเผย พวกมือปราบของศาลาว่าการไม่เพียงไม่กล้ามาอวดเบ่งบนถนนฉางซิ่ง ซ้ำยังต้องคอยเดินลาดตระเวนบ่อยๆ พวกเขาที่มีกิจการค้าขายบนถนนฉางซิ่งก็ได้อาศัยบารมีนี้ไปด้วย ไม่เพียงอยู่กันอย่างสงบ ทั้งยังไม่เคยมีเหตุการณ์ข่มขู่หรือขูดรีดใดๆ 

 

 

“สมควรต้องไปดักคารวะศพกลางทาง” อวี้ป๋อพยักหน้าหลายครั้ง เอ่ยกับอวี้เหวินว่า “เจ้าเขียนบทสรรเสริญมาสักบทสิ เจ้าเป็นซิ่วไฉ เรื่องแค่นี้สำหรับเจ้าคงลงมือเขียนเสร็จได้ทันทีกระมัง? 

 

 

อวี้เหวินรับคำ ตอบว่า “ข้าจะเขียนให้เสร็จคืนนี้ พรุ่งนี้จะให้คนนำไปส่งที่จวนสกุลเผย” 

 

 

อวี้ป๋อหยุดคิดเล็กน้อย “ให้อาหย่วนนำไปส่งเถอะ ถนนฉางซิ่งถูกไฟไหม้ สกุลเผยไม่มีทางนั่งมองทิ้งพื้นที่ให้ว่างเปล่าต่อไปเช่นนี้แน่ ให้อาหย่วนไปมาหาสู่กับสกุลเผยสักหลายครั้ง พวกพ่อบ้านกับผู้ดูแลของสกุลเผยจะได้คุ้นหน้าคุ้นตาเขาบ้าง ต่อไปหากมีเรื่องอะไรก็จะได้มีลู่ทางให้พูดคุยได้” 

 

 

อวี้เหวินพยักหน้ารับ ซวงเถาพลันวิ่งเข้ามารายงานว่า “ท่านหลู่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ!” 

 

 

ชื่อท่านหลู่ที่ถูกเรียกในสกุลอวี้ ทั้งมาถึงในเวลารับประทานอาหารเช่นนี้ มีเพียงหลู่ซิ่นคนเดียวเท่านั้น 

 

 

อวี้ถังขมวดคิ้วมุ่น 

 

 

อวี้เหวินออกไปรับคนเข้ามาด้วยตนเอง 

 

 

“พี่ใหญ่! พี่สะใภ้! น้องสะใภ้!” หลู่ซิ่นอาศัยความสัมพันธ์อันสนิทชิดเชื้อราวครอบครัวเดียวกันถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของทุกคนที่นั่งอยู่ เขาเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มว่า “อาหย่วนกับอาถังก็อยู่ด้วยรึ! ดูท่าวันนี้จะพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครอบครัวสุขสันต์สินะ!” 

 

 

ทุกคนต่างลุกขึ้นเพื่อต้อนรับหลู่ซิ่นอย่างมีมารยาท 

 

 

คนสกุลเฉินสั่งให้ซวงเถาไปจัดเตรียมถ้วยชามมาให้หลู่ซิ่นเพิ่มอีกชุดหนึ่งอย่างกระตือรือร้น “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าท่านจะมา จึงไม่ได้เตรียมอาหารสุราดีๆ ไว้ให้ ท่านก็ทานพอกล้อมแกล้มไปก่อน เดี๋ยวข้าให้คนไปผัดกับข้าวเพิ่มสักหลายจาน ท่านดื่มสุรากับลุงใหญ่และอวี้หย่วนไปพลางๆ ก่อนนะเจ้าคะ” 

 

 

หลู่ซิ่นเช็ดปากที่มันแผลบไปด้วยน้ำมัน หัวเราะพลางเอ่ยว่า “น้องสะใภ้เกรงใจไปแล้ว ข้าทานข้าวเสร็จแล้วถึงได้มาที่นี่” 

 

 

อวี้ถังเลิกคิ้วมอง 

 

 

หลู่ซิ่นเป็นซิ่วไฉเช่นเดียวกันกับบิดาของนาง แต่เพราะบิดาของนางไม่ต้องการจึงได้เลิกเรียน ทว่าหลู่ซิ่นด้วยฐานะทางบ้านยากจน ไม่มีเงินจะส่งเรียนต่อได้ เช่นนี้บิดาของนางจึงเชื่อว่าหลู่ซิ่นเป็นแค่ปลาที่ถูกซัดมาเกยตื้น จำต้องตกยากเพียงชั่วครู่ชั่วคราว อย่างไรก็ต้องมีชื่อติดบนป้ายประกาศทองจนได้ เขาไม่เพียงชวนหลู่ซิ่นมาเกาะข้าวบ้านผู้อื่นกินบ่อยๆ ซ้ำยังช่วยเหลือหลู่ซิ่นด้านเงินทองอยู่หลายครั้ง 

 

 

ชาติก่อน อวี้ถังไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร 

 

 

ต่อให้หลู่ซิ่นกับบิดาจะเป็นเพื่อนสนิทกินดื่มกัน แต่นั่นก็นับเป็นสหาย ทำให้บิดาเบิกบานใจได้เช่นกัน 

 

 

แต่นับจากที่รู้ว่าข่าวเรื่องหวังไป๋ออกมาจากปากหลู่ซิ่น นางก็ไม่ค่อยจะปลาบปลื้มเขาเสียเท่าไร 

 

 

นางสังเกตเห็นว่าชุดคลุมตัวยาวตัดจากผ้าไหมหังโจวสีเขียวนกแก้วของเขามีคราบน้ำมันเลอะอยู่หลายจุด จึงแสร้งถามอย่างไร้เดียงสาทว่าคมกริบไปว่า “ท่านลุงหลู่ไปกินข้าวที่ไหนมาหรือเจ้าคะ? วันนี้บ้านเราทำขาหมูพะโล้ด้วย ป้าเฉินบอกว่า ท่านชอบกินจานนี้ที่สุด ครั้งก่อนที่ท่านมาบ้าน ก็กินขาหมูพะโล้ทั้งจานจนหมดเกลี้ยงเลย” 

 

 

ดวงหน้าของหลู่ซิ่นขึ้นสีแดง รีบร้อนกล่าวว่า “ข้าไปทานที่จวนสกุลเผยมาน่ะ นายท่านใหญ่เผยมิใช่ป่วยตายหรอกรึ? นายท่านรองกับนายท่านสามล้วนกลับมาหมด ในจวนมีแขกเหรื่อมากมาย คนมีหน้ามีตามีชื่อเสียงทั้งนั้น สกุลเผยกลัวว่าพ่อบ้านจะดูแลไม่ทั่วถึง จึงเชิญให้ข้ากับสหายสองสามคนไปช่วยต้อนรับเป็นพิเศษ” 

 

 

อวี้ถังลอบเบะปากใส่ 

 

 

ต้อนรับแขกอะไรกัน ไปหลอกกินหลอกดื่มของจวนสกุลเผยสิไม่ว่า! 

 

 

อวี้เหวินกลับไม่เคลือบแคลงเลยสักนิด สั่งให้ซวงเถาไปชงชาให้หลู่ซิ่น แล้วเชิญเขาให้นั่งร่วมวง “เช่นนั้นก็เชิญทานอีกสักหน่อยเถอะ” 

 

 

หลู่ซิ่นแต่ไหนแต่ไรก็เห็นสกุลอวี้เป็นเหมือนครอบครัวตนเอง หาได้บอกปัดตามมารยาท แล้วเข้าร่วมโต๊ะทันที 

 

 

อวี้เหวินพูดขึ้นว่า “นายท่านสามกลับมาไม่นับว่าแปลกอันใด นายท่านสองก็กลับมาด้วยหรือ?” 

 

 

นายท่านทั้งสามคนของสกุลเผย นายท่านใหญ่กับนายท่านรองอายุเท่ากัน ครานั้นสอบได้ตำแหน่งซู่จี๋ซื่อ[1]พร้อมกันด้วยมิต้องการตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน สองพี่น้องจึงมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้อยู่เมืองหลวง นายท่านรองเสนอตัวออกมา ไปรับหน้าที่นายอำเภอฮั่นหยางแห่งจังหวัดอู่ชัง บัดนี้มีตำแหน่งเป็นท่านข้าหลวงแห่งจังหวัดอู่ชังแล้ว ส่วนนายท่านสาม ปีที่แล้วที่มีการจัดสอบก็สามารถสอบผ่านเป็นซู่จี๋ซื่อได้ ปัจจุบันเป็นเจิ้งกวน[2]อยู่ที่กรมอาญา 

 

 

นายท่านใหญ่เสียชีวิต นายท่านสามที่อยู่เมืองหลวงจะติดตามกลับมาด้วยย่อมเป็นเรื่องปกติ นายท่านรองถึงขั้นเดินทางกลับมาจากจังหวัดอู่ชัง จะทำเรื่องลาสักครั้งมิใช่เรื่องง่าย 

 

 

“ก็ใช่น่ะสิ!” หลู่ซิ่นเล่าต่อว่า “ไม่อย่างนั้นนายท่านรองจะได้ชื่อว่าเป็นคนซื่อสัตย์ มือสะอาด และกตัญญูได้อย่างไร! ข้าคิดว่าการมาร่วมงานศพของนายท่านใหญ่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง สาเหตุหลักน่าจะเพราะได้ข่าวว่าท่านผู้เฒ่าล้มป่วยถึงได้กลับมาดูแล” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นเกินจริงแล้วเรียกชื่ออวี้เหวินเสียงต่ำว่า “ฮุ่ยหลี่ ข้าได้ยินมาว่า นายท่านรองเห็นอาการของท่านผู้เฒ่า ก็ใช้ชื่อของตนส่งคนไปเมืองซูโจวทันที…” 

 

 

ดวงตาของอวี้เหวินสว่างวาบ ถามว่า “เจ้าจะบอกว่า?” 

 

 

หลู่ซิ่นหัวเราะหึๆ อย่างมีเลศนัย “ข้าไปสืบข่าวมาให้เจ้าชัดเจนแล้ว หยางโต่วซิงจะมาถึงหลินอันพรุ่งนี้ค่ำ เจ้าต้องรักษาโอกาสนี้ไว้ให้ดี” 

 

 

“ประเสริฐยิ่ง!” อวี้เหวินแทบอยากจะลุกออกไปทันที ภายหลังสีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง “ครั้งก่อนพวกเราไปตามหาหมอหลวงหยาง ลูกศิษย์ของเขามิใช่บอกว่าเส้นเอ็นที่มือทั้งสองข้างของเขาบาดเจ็บ จนรักษาอาการป่วยไม่ได้แล้วหรือ?” 

 

 

หลู่ซิ่นกลับไม่คิดเช่นนั้น “เช่นนั้นก็รอดูว่าพรุ่งนี้เขาจะมาที่หลินอันจริงหรือไม่!” 

 

 

ความหมายก็คือ หากว่าคนมาจริง เรื่องที่สองมือเส้นเอ็นบาดเจ็บก็เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อบ่ายเบี่ยงเท่านั้น 

 

 

อวี้เหวินกล่าวอย่างทุกข์ใจว่า “ในเมื่อเป็นข้ออ้างเพื่อบ่ายเบี่ยง ต่อให้เขามาถึงหลินอัน ก็ไม่แน่ว่าจะรับปากรักษาอาการของนางให้” 

 

 

“เหตุใดเจ้าถึงซื่อบื้อเช่นนี้!” หลู่ซิ่นเริ่มหมดความอดทน “ตอนที่อยู่เมืองซูโจวเป็นเพราะเราอับจนหนทาง แต่ที่นี่คือหลินอัน พวกเราก็ไปขอร้องสกุลเผยสิ คนบ้านเดียวกันแท้ๆ สกุลเผยจะไม่ช่วยพูดสักสองประโยคเลยหรือ?” 

 

 

อวี้เหวินพยักหน้าหงึกหงัก เริ่มมองเห็นถึงความหวัง 

 

 

อวี้ถังถือเสียว่าฟังเรื่องไร้สาระเรื่องหนึ่ง 

 

 

ชาติก่อน นางไม่รู้ว่าหยางโต่วซิงมาที่หลินอันหรือไม่ และไม่รู้ว่าหลู่ซิ่นได้บอกข่าวนี้กับบิดาของนางหรือเปล่า ผลลัพธ์ก็คือ ไม่กี่วันหลังจากที่นายท่านใหญ่สกุลเผยเสียชีวิต ท่านผู้เฒ่าก็ล้มป่วยและจากไปเช่นกัน นายท่านรองกับนายท่านสามกลับมาเพื่อไว้ทุกข์ จากนั้นบิดาของนางก็พามารดาเดินทางไปรักษาตัวที่เขาผู่ถัว 

 

 

เห็นชัดเจนว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หยางโต่วซิงไม่มีประโยชน์อันใดต่ออาการป่วยของมารดานางเลย 

 

 

อวี้ป๋อกลัวว่าอวดฉลาดเกินไปจะกลายเป็นก่อเรื่อง จึงกล่าวด้วยนิสัย “ข้ารู้จักพ่อบ้านใหญ่ของสกุลเผย มิสู้ให้อาหย่วนไปลองถามไถ่ดูก่อน!” 

 

 

“อย่าเลยดีกว่า!” หลู่ซิ่นคัดค้าน “ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ พวกเจ้าจะไปถามถึงหน้าประตูก็ไม่มีปัญหา แต่ว่าตอนนี้” เขาพูดทิ้งไว้แค่นั้น หันมองซ้ายทีขวาที ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาทำทีมีลับลมคมในว่า “ข้าได้ยินมาว่า ท่านผู้เฒ่าต้องการให้นายท่านสามรั้งตัวอยู่เพื่อดูแลกิจการของสกุล ครอบครัวของนายท่านใหญ่ไม่เห็นด้วย ทุกคนกำลังทะเลาะกันอยู่!” 

 

 

“ฮะ!” ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเยือกเข้าลึกพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย 

 

 

บรรพบุรุษสกุลเผยกลัวว่าลูกหลานจะไม่ได้ความ ผลาญสมบัติที่ตกทอดจนสกุลล่มจม พาลสร้างความลำบากให้เหล่าลูกหลานไม่มีเงินทองร่ำเรียน มีเมล็ดพันธุ์ผู้รู้หนังสือแต่กลับไม่อาจก่อร่างสร้างตัว จึงได้ออกกฎว่าหากใครเป็นผู้นำสกุล ผู้นั้นจะได้ครอบครองสี่ในห้าส่วนของมรดกทั้งหมด 

 

 

นั่นหาใช่จำนวนที่น้อยๆ เลย 

 

 

แน่นอนว่า กิจการทั้งหลายหาใช่มอบให้ผู้นำสกุลนำไปเสวยสุขเพียงอย่างเดียว ในฐานะผู้นำของสกุลเผย มีภาระและหน้าที่ใช้ทรัพย์ของสกุลช่วยเหลือคนในสกุลที่ฐานะยากจนข้นแค้นและต้องการจะเล่าเรียนเขียนอ่าน ดำรงไว้ซึ่งความรุ่งเรืองก้าวหน้าของบัณฑิตในสกุล เพื่อให้มั่นใจว่ากิจการของสกุลเผยจะถูกส่งมอบต่อๆ ไปจากรุ่นสู่รุ่น 

 

 

สิ่งนี้ทำให้อวี้ถังคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ 

 

 

ชาติก่อน ผู้นำของสกุลเผยก็คือนายท่านสาม ‘เผยเยี่ยน’ นั่นเอง 

 

 

————————————————————- 

 

 

 

 

 

[1]ซู่จี๋ซื่อ เป็นตำแหน่งระยะสั้น เลือกจากผู้ที่สอบได้เป็นจิ้นซื่อ ให้ฝึกปฏิบัติงานก่อนมอบตำแหน่งอย่างเป็นทางการให้ 

 

 

[2]เจิ้งกวน หมายถึง ผู้ที่สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อแล้วจะไม่ได้รับราชการในทันที แต่จะถูกส่งไปเรียนรู้งานราชการทั้งหกกรมที่ศาลาว่าการเสียก่อน