ตอนที่ 4 ผู้อาวุโสท่านนั้น...เป็นยอดคน

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 4 ผู้อาวุโสท่านนั้น…เป็นยอดคน

“ผู้อาวุโส ? ”

สีหน้าของเย่ฉางชิงพลันชะงักไป ก่อนจะหัวเราะพลางโบกมือไปมา “ท่านเซียนท่านนี้ เกรงว่าท่านคงเข้าใจอะไรผิดแล้ว ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาจะเป็นผู้อาวุโสได้เยี่ยงไรกัน ? ”

ลู่อู๋ซวงเหลือบมองเย่ฉางชิงอย่างหวาดระแวง ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวังถ้อยคำ “ผู้อาวุโสคงจะมิทราบว่าอู๋ซวงนั้นชอบอักษรพู่กันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อครู่ตอนที่มองภาพอักษรพู่กันของท่านทำให้ข้าได้ตระหนักรู้หลายอย่าง เช่นนั้นหากจะยกย่องว่าท่านเป็นผู้อาวุโสก็คงมิเกินไปนักหรอกเจ้าคะ”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

ดวงตาของเย่ฉางชิงหรี่ลง ก่อนจะเหลือบตามองใบหน้าของลู่อู๋ซวงที่เต็มไปด้วยความนอบน้อม

จริงอยู่ว่าหากพูดถึงวิถีการบำเพ็ญเพียรแล้ว ชายที่ไร้รากวิญญาณเช่นเขานั้น ถือว่ามิเอาไหนเสียเลยจริง ๆ

แต่หากเป็นเรื่องพิณ หมากล้อม พู่กัน และภาพวาดแล้วล่ะก็ จากความแตกฉานของเขาในตอนนี้ อย่าว่าแต่ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเลย แม้แต่เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเองก็เกรงว่าอาจจะมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน

ดังนั้นในด้านอักษรพู่กัน การที่ลู่อู๋ซวงเรียกเขาว่าผู้อาวุโสนั้น เขาจึงเข้าใจและยอมรับได้

“ศิษย์พี่ลู่ ท่านชอบอักษรพู่กันเยี่ยงนั้นรึ เหตุใดข้าถึงมิเห็นรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ? ”

เวลานี้เด็กผู้หญิงที่เลือกปิ่นไม้ไปสองชิ้นได้ลุกยืนขึ้น ใบหน้าเรียวเล็กของนางอดที่จะแสดงความสงสัยออกมามิได้

“เอ่อ… ก่อนที่ข้าจะเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ข้าหลงใหลในอักษรพู่กันมาตลอด ดังนั้นเจ้าถึงมิเคยรู้เรื่องความชอบนี้ของข้ายังไงเล่า”

พูดถึงตรงนี้ใบหน้าของลู่อู๋ซวงก็ฉายแววตระหนกขึ้นมา ก่อนจะหันไปขยิบตาให้กับเด็กหญิง จากนั้นจึงได้ประสานมือเพื่อคำนับเย่ฉางชิงพร้อมเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส อู๋ซวงชื่นชอบอักษรพู่กันภาพนี้ของท่านยิ่งนัก มิทราบว่าผู้อาวุโสจะขายภาพนี้ให้ข้าได้หรือไม่ ? ”

‘ในที่สุดก็เอ่ยปากซื้อแล้ว ! ’

ขณะมองลู่อู๋ซวงใบหน้าของเย่ฉางชิงมิได้บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ ออกมา แต่ภายในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นมิน้อย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงได้พยักหน้าเบาๆ “ในเมื่อเป็นร้านขายของ ขอเพียงเป็นสิ่งที่วางอยู่ภายในร้าน ย่อมต้องเป็นของที่ซื้อได้ทั้งสิ้น”

ลู่อู๋ซวงเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล “เช่นนั้นมิทราบว่าอักษรพู่กันภาพนี้ท่านจะขายมันในราคาเท่าใดรึ ? ”

เย่ฉางชิงแสร้งมองอักษรพู่กันที่แขวนบนกำแพงอย่างอาลัยอาวรณ์ และเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “ในเมื่อท่านเซียนทั้งสองหาที่นี่เจอก็แสดงว่าพวกเรามีวาสนาต่อกัน เช่นนั้นภาพอักษรพู่กันภาพนี้ก็ตามแต่ใจและวาสนาเถิด”

‘ตามแต่ใจและวาสนา ? ’

เมื่อได้ยินเย่ฉางชิงเอ่ยเช่นนี้ ลู่อู๋ซวงก็ยิ่งหวาดเกรงเขามากขึ้น

‘สมกับเป็นยอดคนจริง ๆ คำพูดเพียงประโยคเดียวแต่กลับแฝงหลักการไว้ได้นับอนันต์ ถือเป็นต้นแบบให้คนรุ่นหลังจริง ๆ ’

“เถ้าแก่ ปิ่นไม้สองชิ้นนี้ขายเท่าใดรึ ? ”

ตอนนั้นเอง เด็กหญิงก็ได้ชูปิ่นไม้ที่ทำอย่างประณีตสองชิ้นในมือขึ้นมา ก่อนจะหันไปถามเย่ฉางชิง

เย่ฉางชิงยังคงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ตามแต่ใจและวาสนาเถิด”

เด็กผู้หญิงพยักหน้ายิ้ม ๆ หลังจากนั้นจึงล้วงมือเข้าไปหยิบเหรียญทองแดงออกมาจากอกเสื้อสามเหรียญ “ก่อนหน้านี้ข้าเคยลงเขามาซื้อปิ่นไม้เช่นนี้ แม้จะมิได้ประณีตเท่ากับปิ่นของท่าน จึงมีราคาเพียงแค่ 1 เหรียญทองแดงเท่านั้น เช่นนั้นข้าให้ท่าน 3 เหรียญทองแดงก็แล้วกันนะ”

‘นักบำเพ็ญตนพวกนี้ขี้เหนียวถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ’

‘สามเหรียญทองแดงซื้อปิ่นไม้สองชิ้น นี่มันราคาตลาดของเมืองเสี่ยวฉือเลยนะ ! ’

เย่ฉางชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือไปรับเหรียญทองแดงทั้งสามเหรียญจากมือของเด็กหญิงมาอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะพยักหน้ายิ้ม ๆ อีกครั้ง

เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นปราณที่พวยพุ่งอยู่บนปิ่นไม้ พร้อมใบหน้าของเย่ฉางชิงที่แฝงด้วยรอยยิ้มขณะรับเหรียญทองแดงไปนั้น ลู่อู๋ซวงที่กำลังหนักใจอยู่ก็พลันเกิดความรู้สึกรู้แจ้งขึ้นมา

‘ยอดคนที่มีความลึกซึ้งจนยากจะคาดเดาเช่นผู้อาวุโสนั้น อาจจะมาบนโลกมนุษย์แห่งนี้เพื่อต้องการสัมผัสชีวิตก่อนการบำเพ็ญเพียรเท่านั้น’

‘ฉะนั้นการใช้ของมีค่าบนโลกบำเพ็ญเพียรมาแลกเปลี่ยนอักษรพู่กันภาพนี้ ก็มิต่างจากการเหยียดหยามท่านผู้อาวุโสสินะ’

เมื่อคิดถึงตรงนี้ลู่อู๋ซวงจึงหันไปมองศิษย์น้องเล็ก พร้อมถามอย่างนุ่มนวลว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้ายังมีเหรียญทองแดงเหลืออีกเท่าไหร่ ? ”

เด็กหญิงชูนิ้วเรียวยาวขึ้นมาสามนิ้ว พร้อมหัวเราะแหะ ๆ ออกมา “3 เหรียญ”

“เช่นนั้นศิษย์พี่ขอยืมหน่อยก็แล้วกันนะ”

ลู่อู๋ซวงรับเหรียญทองแดงอีกสามเหรียญมาจากมือของเด็กหญิง ก่อนจะหมุนตัวและเอ่ยกับเย่ฉางชิงว่า “ผู้อาวุโส เช่นนั้นข้าขอใช้ 3 เหรียญทองแดงนี้ซื้ออักษรพู่กันภาพนี้ของท่านได้หรือไม่ ? ”

เย่ฉางชิงอึ้งไปชั่วขณะ

‘อักษรพู่กันที่ฝีมือใกล้เคียงกับของลัทธิเต๋าเช่นนี้ กลับมีราคาเพียง 3 เหรียญทองแดงงั้นรึ ? เจ้าพวกนี้ช่างดูถูกข้าเสียจริง ! ’

‘ยังจะมาพูดว่าตัวเองหลงใหลในอักษรพู่กันอีก นี่มันพวกมิรู้จักของดีต่างหาก ! ’

คิดถึงตรงนี้เย่ฉางชิงก็เกิดอารมณ์ไม่อยากจะขายภาพขึ้นมากะทันหัน เขารู้สึกว่าต่อให้เอาไปวางเป็นกระดาษไว้ใช้ในห้องน้ำยังรู้สึกดีกว่าขายไปในราคา 3 เหรียญทองแดงซะอีก…

แต่เนื่องจากฐานะของอีกฝ่าย เย่ฉางชิงจึงทำได้เพียงพยักหน้ายิ้ม ๆ “ตามแต่ใจก็พอ”

เมื่อรับเหรียญทองแดงทั้งสามเหรียญจากมือของลู่อู๋ซวงแล้ว เย่ฉางชิงก็หมุนตัวไปปลดภาพอักษรพู่กันจากกำแพงลงมา ก่อนจะม้วนเก็บอย่างง่าย ๆ ใส่ในกล่องไม้ก่อนจะส่งให้กับลู่อู๋ซวง

“ขอบใจผู้อาวุโส อู๋ซวงและศิษย์น้องเล็กต้องขอตัวลาก่อน”

“ขอให้ท่านเซียนทั้งสองเดินทางปลอดภัย”

เมื่อลู่อู๋ซวงและเด็กหญิงคนนั้นหมุนตัวออกจากร้านไปแล้ว เย่ฉางชิงที่จิตใจกำลังหดหู่ก็เตรียมจะเดินไปชงชาทางด้านหลังร้านเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง

“ผู้อาวุโส มิทราบว่าวันหน้าอู๋ซวงสามารถมาถามคำถามเกี่ยวกับ… อักษรพู่กันกับท่านบ้างจะได้หรือไม่ ? ”

เมื่อก้าวถึงธรณีประตู ลู่อู๋ซวงที่เกิดความลังเลอยู่ภายในใจ ก็ได้หมุนตัวกลับมาถามอย่างระมัดระวัง

‘ยังคิดจะมาอีกหรือ ? ’

เย่ฉางชิงเบะปากเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวกลับมาพร้อมรอยยิ้ม และพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “หากท่านเซียนต้องการ ก็สามารถมาที่นี่ได้ทุกเวลา”

ลู่อู๋ซวงที่มีท่าทีดีใจเมื่อได้ยินเย่ฉางชิงตอบกลับมาเช่นนี้ ใบหน้าที่งดงามจึงปรากฏความยินดีขึ้นมาในทันที ก่อนจะพยักหน้าติดกันหลายครั้ง “เช่นนั้นข้าต้องขอรบกวนผู้อาวุโสแล้ว”

ลู่อู๋ซวงมิปรารถนาจะได้สิ่งใดอีก ยอดคนเช่นนี้วันหน้าหากได้พบปะพูดคุย ฟังคำสั่งสอนของยอดคนเช่นนี้ สำหรับนางถือว่าเป็นพรหมลิขิตที่มิอาจร้องขอจากที่ใดได้อีกแล้ว

ในที่สุดลู่อู๋ซวงและเด็กผู้หญิงผู้นั้นก็ได้ออกจากร้านไป ดวงตาของเย่ฉางชิงกลับมีประกายบางอย่างแวบผ่านอย่างรวดเร็ว

‘หรือว่าจะชอบอักษรพู่กันจริง ๆ ถึงได้อยากมาสนทนาเกี่ยวกับอักษรพู่กันในวันหน้าอีก ? ’

อีกด้านหนึ่ง

ลู่อู๋ซวงและเด็กหญิงก็ได้เดินออกมาจากร้านขายของชำด้วยท่าทางพออกพอใจ ใบหน้างดงามของนางเต็มไปด้วยยินดี

“ศิษย์พี่ลู่ ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ ? ” เด็กหญิงอดจะขมวดคิ้วน้อย ๆ และถามออกไปมิได้

ลู่อู๋ซวงเพียงแค่ยิ้ม แต่กลับมิพูดสิ่งใดออกมา แต่จู่ ๆ ราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน จึงได้หยุดฝีเท้าลงและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าจำคำพูดของศิษย์พี่ให้ดีนะ”

เด็กหญิงชะงักงันไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับเบา ๆ

ลู่อู๋ซวงจึงเอ่ยด้วยท่าทางขึงขัง “ปิ่นไม้ที่เจ้าซื้อมาจากร้านขายของเมื่อครู่ เจ้าต้องเก็บเอาไว้ให้ดี ห้ามมอบให้ใครและห้ามทำลายเป็นอันขาด”

เด็กหญิงได้ยินดังนั้น จึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ศิษย์พี่ลู่ ทำไมรึเจ้าคะ ? ”

ลู่อู๋ซวงมองที่เด็กผู้หญิง ก่อนจะเอ่ยออกมาช้า ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เพราะปิ่นทั้งสองชิ้นนี้คือโอกาสและโชคชะตาของเจ้า และอาจจะเป็นโอกาสและโชคชะตาที่ใหญ่ที่สุดในวิถีแห่งการบำเพ็ญเพียรในอนาคตของเจ้าก็ได้”

“ศิษย์พี่ลู่ ปิ่นสองชิ้นนี้มีค่าขนาดนั้นเชียวหรือเจ้าคะ ? ” เด็กหญิงเต็มไปด้วยความงุนงง

ลู่อู๋ซวงหัวเราะขึ้นก่อนจะลูบผมของเด็กหญิงแล้วเอ่ยว่า “ที่จริงแล้วเมื่อครู่นี้ ศิษย์พี่ได้ทะลวงขั้นที่หกของคัมภีร์กระบี่จินหยวนสำเร็จแล้วน่ะสิ”

“อึก ! ”

หลังจากได้ฟัง ใบหน้าของเด็กหญิงก็เปลี่ยนไปทันที พลันจึงสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อระงับความตื่นเต้น

นางเองก็เริ่มฝึกฝนคัมภีร์กระบี่จินหยวนแล้ว นางรู้ซึ้งดีว่าการฝึกคัมภีร์กระบี่จินหยวนนั้นยากลำบากเพียงใด

เมื่อครู่ตอนอยู่ร้านขายของชำ ศิษย์พี่ลู่บอกว่านางรับรู้ได้ว่าอีกมินานก็จะสามารถทะลวงขั้นที่หกของคัมภีร์กระบี่จินหยวนได้ แต่มิทันไรเพียงแค่ออกมาจากร้านขายของชำแห่งนั้น นางก็ทะลวงขั้นที่หกไปได้เสียแล้ว

“ศิษย์พี่ลู่ ท่านพูดจริงงั้นรึ ? ” เด็กหญิงเอ่ยถามด้วยควมตื่นเต้น

“ข้าเคยหลอกเจ้าที่ไหนกันเล่า ? ” ลู่อู๋ซวงเอ่ยพลางขมวดคิ้วขึ้น

“ศิษย์พี่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ? หรือว่า… จะเป็นเถ้าแก่หนุ่มรูปงามผู้นั้น ? ” เด็กหญิงเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาในทันใด

ลู่อู๋ซวงหันไปเหลือบมองด้านหลัง และเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังถ้อยคำว่า “ผู้อาวุโสท่านนั้น… เป็นยอดคน ! ”