ตอนที่ 4 บุปผาวสันต์บานสะพรั่ง

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 4 บุปผาวสันต์บานสะพรั่ง

เมื่อซูตานหงต้มน้ำเสร็จออกมาก็สังเกตเห็นว่าน้ำเต็มถัง และสามีของนางกำลังผ่าฟืนอยู่

“คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ” ซูตานหงบอก

“ยังหัววันอยู่เลย น้ำในหม้อยังไม่เย็นหรอก ผมจะผ่าฟืนก่อน” จี้เจี้ยนอวิ๋นผ่าฟืนออกพร้อมกับพูดไปด้วยโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา

“คุณยังอยู่อีกสองสามวันนี่ค่ะ ไปอาบน้ำก่อน ฟืนค่อยมาผ่าพรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ” ซูตานหงกล่าว

จี้เจี้ยนอวิ๋นเหลือบมองไปที่เธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็วางฟืนลงแล้วไปตักน้ำร้อนกลับเข้าไปในบ้านเพื่ออาบน้ำ

ซูตานหงรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ทำไมสามีของนางถึงได้มองมาที่นางด้วยสายตาแปลกๆ?

“ภรรยาครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นตะโกนออกมาจากในห้อง

“มีอะไรคะ? น้ำไม่ร้อนพอหรือคะ?” ซูตานหงถามที่ด้านนอกประตู

“คุณเข้ามาช่วยผมถูหลังหน่อย” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก ถ้าก่อนหน้านี้เขาคงจะไม่กล้าพูดแบบนี้ แต่วันนี้ภรรยาของเขาทำให้เขารู้สึกแปลกใหม่ เขาไม่รู้ว่าทำไม เขาแค่พูดมันออกไป

ซูตานหงที่อยู่นอกประตูรู้สึกเขินอายเมื่อได้ยิน

“ภรรยาครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง

เอาเถอะอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายของตนเอง แค่ถูหลังเท่านั้น

หลังจากทำใจได้แล้วซูตานหงก็เปิดประตูเข้าไป สามีของนางนั่งเปลือยกายอยู่ในอ่างน้ำไม้ขนาดใหญ่และมองมาที่นาง

“อากาศเย็นอยู่ คุณรีบล้างตัวเร็วค่ะ” ซูตานหงก้มหน้าพูด

เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นส่งผ้าขนหนูให้ ซูตานหงก็หน้าแดงก่ำขณะถูหลังให้เขา สามีของนางเป็นคนที่แข็งแรงมากจริงๆ สมกับที่เป็นทหาร

ภรรยาของเขาเปลี่ยนไปจริงๆ จี้เจี้ยนอวิ๋นหรี่ตามองอย่างพอใจ เขายังจะสามารถได้รับการดูแลแบบนี้ต่อไปไหม?

ซูตานหงไม่รู้จะพูดอะไรจึงพูดขึ้นว่า “สองเดือนนี้ได้เงินมามากเลยเหรอคะ?”

“หลังๆ มานี้งานผมค่อนข้างมากก็เลยได้เงินมามากหน่อย” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดสบายๆ จากนั้นก็บอกเธอว่า “ไม่ต้องเก็บเงินไว้นะ ใช้ซื้อของอะไรก็ได้ที่คุณอยากได้”

“คุณไม่ต้องห่วงฉันตอนอยู่ข้างนอกนะคะ แค่ดูที่ตัวฉันคุณก็รู้แล้วว่าฉันสบายดี” ซูตานหงบอก

อันที่จริงแล้วนี่เป็นความจริง เจ้าของร่างเดิมไม่เคยต้องกังวลกับอะไร ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าการได้ใช้เงินเดือนของสามีทุกๆ เดือนนั้นมันง่ายดายขนาดไหน? ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่ได้แสดงความกตัญญูต่อแม่สามีมากสักเท่าไหร่ แต่กลับตอบแทนไปกับครอบครัวของตัวเองเสียมากมาย มิฉะนั้นคงมีเงินเหลือมากกว่านี้

ในชาติก่อนมารดาของนางบอกเสมอว่าหลังจากที่ออกเรือนไปแล้วก็ขอให้นางมีชีวิตที่ดี ไม่ต้องกังวลกับเรื่องของมารดาและไม่จำเป็นต้องเกื้อหนุนเงินทองให้กับตระกูลกำเนิดของตนเอง เพราะถ้าผู้อื่นรู้จะพากันครหาถึงเรื่องของนางได้

แต่ซูตานหงก็แค่รับฟังคำเหล่านี้เฉยๆ นางคิดว่าถ้าแต่งงานแล้วตนก็ยังจะสามารถเปิดร้านค้าและหาเงินได้ แล้วจึงใช้เงินที่หามาได้แสดงความกตัญญูแก่บิดามารดาของตนเอง นั่นจะพูดอะไรได้อีกเล่า?

อย่างไรก็ตามเจ้าของร่างเดิมกตัญญูต่อครอบครัวของตัวเองโดยใช้เงินที่สามีหามาทั้งหมด ในวันหน้านางคงไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้อีก

เงินจะต้องไม่ถูกพัดไปกับสายลม รอให้นางเข้าไปในเมืองก่อน เพื่อดูว่าจะมีหนทางไหนที่นางจะหาเงินได้ด้วยตนเอง จากนั้นก็สามารถแสดงความกตัญญูได้อีกครั้ง

“คุณไม่ต้องไปแย่งงานมาทำขนาดนั้นเพื่อจะได้เงินมากขึ้นหรอกนะคะ ในบ้านมีเงินเหลืออีกมาก มันพอสำหรับใช้จ่ายอยู่ค่ะ” ซูตานหงบอก

จี้เจี้ยนอวิ๋นส่งเสียงตอบรับ จากนั้นก็อาบน้ำเสร็จอย่างรวดเร็ว ซูตานหงหน้าแดงรอให้เขาเช็ดตัวและเตรียมช่วยใส่ชุดให้ อย่างไรก็ดีก่อนที่จะได้สวมเสื้อผ้า จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่เตียง

“คุณ…คุณทำอะไรคะ?” ซูตานหงเขินอายมากจนนางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร หัวใจของนางเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมา และน้ำเสียงที่พูดก็แผ่วเบาเหมือนเสียงลูกแมว

“ภรรยาจ๋า เราควรจะมีลูกชายกันได้แล้วใช่ไหม?” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพร้อมกับสูดกลิ่นหอมตรงซอกคอของนาง

แก้มของซูตานหงแดงระเรื่อ นางไม่กล้ามองไปที่เขา ได้แต่พึมพำเสียงเบา

นางเองก็กังวลใจอยู่เล็กน้อยเรื่องการมีบุตรชาย เจ้าของร่างเดิมแต่งงานมาได้สามปีแล้วและท้องของเธอก็ยังไม่เคลื่อนไหว ซึ่งคนอื่นต่างก็สนใจในเรื่องนี้ คุณแม่จี้ก็พูดถึงมันด้วยเหมือนกันตอนที่ตะโกนใส่นางเมื่อเช้านี้

อีกอย่างหนึ่งสามีของนางจะอยู่ที่นี่ได้สักกี่วัน? ฉะนั้นการให้กำเนิดบุตรชายจึงต้องรีบทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

และในคืนนี้บุปผาวสันต์ก็บานสะพรั่งภายในบ้าน

ช่วงเวลาไม่กี่วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อถึงเวลาที่จี้เจี้ยนอวิ๋นจัดกระเป๋าเตรียมกลับกองทัพอีกครั้งนั้น ซูตานหงรู้สึกไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแค่ซูตานหงเท่านั้น แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นผู้ซึ่งได้มีวันเวลาดีๆ ในช่วงไม่กี่วันมานี้ก็รู้สึกต้องฝืนใจอย่างมากเช่นกัน เขามองเข้าไปในดวงตาที่เศร้าสร้อยของภรรยาแล้วก็รู้สึกผิด

ดังนั้นในตอนเช้าตรู่เขาตื่นขึ้นมาเติมในลงในถังที่บ้านและผ่าฟืนไว้ทั้งหมด ฟืนที่ผ่าเอาไว้ในช่วงสองสามวันมานี้สามารถทำให้ซูตานหงมีฟืนใช้จนถึงช่วงวันตรุษจีนได้โดยไม่ต้องทำเพิ่มอะไรอีกเลย จากนั้นเขาก็กลับเข้ามาเอาเกี๊ยวที่ทำเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้

“คุณจะได้กลับมาอีกทีเมื่อไหร่คะ?” เมื่อเขาถือเกี๊ยวกลับเข้ามาในบ้าน ซูตานหงก็จัดของให้เขาเสร็จเรียบร้อยและเอ่ยถามเขาขึ้นมา

ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ได้อยู่กับเขา แม้ว่าซูตานหงจะยังรู้สึกเขินอายอยู่บ้างเล็กน้อย แต่นางก็ถือว่าชายคนนี้เป็นสามีของนางอย่างสมบูรณ์แล้วและเริ่มจะคุ้นเคยกับเขามากขึ้น

“ยังไม่ชัดเจนเลย” จี้เจี้ยนอวิ๋นชำเลืองมองมาที่เธอ จากนั้นก็เอ่ยต่อ “แต่ไม่ต้องห่วง ผมจะพยายามเต็มที่”

“พอคุณไปแล้วไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับฉันนะคะ ทุกอย่างที่บ้านเป็นไปด้วยดี ถ้าฉันต้องการความช่วยเหลืออะไร ฉันไปหาพ่อแม่คุณก็ได้ค่ะ มันไม่ได้อยู่ไกลอะไร” ซูตานหงบอก

“ตกลง” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้ากล่าว “มากินเกี๊ยวกันก่อนเถอะ เดี๋ยวมันจะเย็นซะก่อน”

ทั้งคู่จึงนั่งลงกินเกี๊ยวด้วยกัน เมื่อเห็นว่าใกล้ได้เวลาแล้ว พวกเขาก็ไปคำนับและเอ่ยอำลาคุณพ่อกับคุณแม่จี้

เห็นสีหน้าของลูกชายแล้ว คุณแม่จี้ก็รู้ว่าไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เป็นไปด้วยดี ดังนั้นนางจึงไม่ได้มองว่าซูตานหงมีสีหน้าอย่างไรหลังจากลูกชายจากไปแล้วนางจึงค่อยชวนกินอาหารด้วย “เจี้ยนอวิ๋นกลับเข้ากองทัพไปแล้ว เธออยู่คนเดียวไม่ต้องทำอาหารหรอก มากินด้วยกันที่นี่”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ ที่บ้านยังมีเกี๊ยวเหลืออยู่เยอะมาก ฉันกลับก่อนนะคะ คุณแม่กินข้าวกับคุณพ่อเถอะค่ะ” ซูตานหงบอกพร้อมกับโค้งคำนับ

เมื่อได้ยินคำพูดคุณแม่จี้ก็พยักหน้า

“ว่าแต่ คุณแม่คะ ที่บ้านมีงานอะไรให้ทำไหมคะ?” ซูตานหงถามขึ้นมาอีก

เรื่องนี้ทำให้คุณแม่จี้ถึงกับตกใจไปชั่วขณะ อย่าว่าแต่คุณแม่จี้เลย แม้แต่คุณพ่อจี้ที่กำลังสูบบุหรี่อยู่เงียบๆ ก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน นี่ใช่สะใภ้สามเป็นคนพูดจริงๆ หรือ?

“ไม่มีหรอก ทำเสร็จหมดแล้ว สองวันมานี้เจี้ยนอวิ๋นมาผ่าฟืนไว้ให้เยอะแยะเลย” นางบอก

“ถ้างั้นคุณพ่อคุณแม่คะ ฉันกลับก่อนนะคะ” ซูตานหงกล่าว

“ดีๆ” คำพูดของคุณแม่จี้ก็ฟังดูผ่อนปรนลงเช่นกัน

ทันทีที่ซูตานหงกลับไป คุณแม่จี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับสามีของนาง “คุณว่าช่วงนี้สะใภ้สามดูเปลี่ยนไปไหม?”

เมื่อวานนี้เจี้ยนอวิ๋นเอาเกี๊ยวมาให้พวกเขาจานหนึ่งแล้วบอกว่าภรรยาของเขาขอให้เขาเอามาให้ นางฟังแล้วก็ไม่เชื่อ และเมื่อวันก่อนเจี้ยนอวิ๋นได้เอาเงิน 20 หยวนมาให้และบอกว่าลูกสะใภ้ของนางขอให้นำมาให้พวกเขา นางก็ไม่เชื่ออีกเช่นกัน แต่ตอนนี้น้ำเสียงของสะใภ้สามกลับสุภาพอ่อนโยนแถมยังถามอีกด้วยว่าอยากให้ช่วยทำอะไร คุณแม่จี้จึงเริ่มที่จะเชื่อขึ้นมาแล้ว

อย่างไรก็ตามสะใภ้สามไม่เคยประจบสอพลอ ถ้าเธอไม่ได้อยากช่วยเธอจะไม่เอ่ยปากออกมา

“เจี้ยนอวิ๋นบอกว่าหล่อนรู้ตัวว่าทำผิดและต่อไปนี้จะปรับปรุงตัว ถ้างั้นก็อย่าไปยึดถือกับเรื่องก่อนหน้านี้เลย” คุณพ่อจี้เคาะก้นบุหรี่พร้อมกับบอกนาง

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรถึงหล่อนเลย ไม่ว่าหล่อนจะปรับปรุงตัวได้หรือไม่ ฉันก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากหล่อนทั้งนั้น เว้นเสียแต่ถ้าหล่อนสามารถทำให้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาอยู่บ้านและมีความสุขได้ฉันก็จะยอมหล่อน!” คุณแม่จี้กล่าวพร้อมกับหยิบถั่วออกมาและเอาไปตากไว้ให้แห้ง

เมื่อได้เห็นอาสามตอนที่ออกไป นางก็รู้แล้วว่าซูตานหงดูแลลูกชายของนางเป็นอย่างดี นางจึงปล่อยวางความคิดเห็นก่อนหน้านี้เกี่ยวกับเธอไว้ก่อน แต่สำหรับในเรื่องอื่น ๆ นั้นนางไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก

ซูตานหงไม่ได้รู้เลยว่าคุณพ่อและคุณแม่จี้คิดอย่างไรกับนาง เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว นางก็ถืออ่างล้างหน้าเข้าไปในบ้านราวกับเป็นขโมย จากนั้นก็ใช้นิ้วชี้ของนางชี้ไปที่อ่าง

ทันใดนั้นก็มีน้ำพุใสผุดออกมา

และไม่นาน น้ำเย็นใสบริสุทธิ์ก็เติมเต็มหนึ่งอ่าง ซูตานหงก็หยุดมองไปที่อ่างน้ำนั้นด้วยความงุนงง

นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากอยู่กับจี้เจี้ยนอวิ๋นได้สามวัน ภาพของน้ำนี้ก็ปรากฏขึ้นมาในหัว แต่เนื่องจากช่วงนั้นนางอยู่กับจี้เจี้ยนอวิ๋นแล้วก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลา จึงไม่มีโอกาสได้เห็นมัน

เท่าที่เห็นตอนนี้ ดูเหมือนว่ามันเป็นแค่น้ำพุธรรมดาๆ ใช่ไหม?

__________________