“สัตว์เลี้ยง? ไม่ได้ซื้อไปกินเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่งงใจสุดๆ “น่าเสียดายชะมัด! เนื้อชั้นดีทั้งนั้นเลย!”
“เธอไม่เข้าใจหรอกว่าโลกของคนรวยเป็นยังไง” เหล่าหวังหัวเราะแล้วพูดขึ้น “ได้ยินว่าหลายร้อยปีก่อนคนรวยเลี้ยงเหยี่ยวเป็นสัตว์เลี้ยงด้วย แต่ไม่ใช่ว่าสมัยนี้เหยี่ยวมันตัวใหญ่แล้วก็อันตรายเกินไปหรอกเหรอ ดังนั้นตัวเลือกที่ดีที่สุดถัดมาก็คือนกกระจอกไง ดูความน่าเกรงขามของเจ้านกกระจอกนี่สิ คนรวยชอบแบบนี้เป๊ะๆ เลย”
เริ่นเสี่ยวซู่ตกอยู่ในภวังค์พักใหญ่ มีคนมากมายที่แม้แต่อาหารยังไม่มีจะกิน แต่กลับมีบางคนริอ่านคิดอยากจะเลี้ยงนกกระจอกเสียได้
“แต่ถ้าจะขายตัวเป็นๆ ราคาก็ต้องสูงกว่า” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ตอนเจ้านกนี่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่ระวังละก็ มันฆ่าคนได้เลยนะ! อันตรายเกินไป!”
พริบตานั้นเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ผู้อพยพภายนอกป้อมต่างเป็นผู้ถูกปนเปื้อน แล้วนกกระจอกมันไม่ถูกปนเปื้อนด้วยเหรอ หรือว่าคนในป้อมปราการเพียงคิดอยากจะให้พวกผู้อพยพทำงานให้ และกำแพงนั่นก็แค่มีไว้แบ่งแยกชนชั้น
“ต้องเสี่ยงถึงจะรวย” เหล่าหวังยิ้มพูด “ในเมื่อเธอรอทั้งคืนเพื่อล่าได้ แสดงว่าเธอเองก็ไม่ธรรมดา ถ้าลงมือจับนกกระจอกตัวเป็นๆ มาได้ ก็อาจจะไม่ต้องทำงานไปอีกหกเดือนเลย แล้วก็นะ ไม่คิดจะทำงานหาเงินแล้วหาภรรยาบ้างเรอะ”
“ภรรยาผายลมสิ!” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างฉุนเฉียว
เหล่าหวังพูดเสียงลึกลับ “เหลาหลี่ที่บ้านข้างๆ มีลูกสาวเรียนโรงเรียนเดียวกับลิ่วหยวน หน้าตาน่ารักไม่เบา…”
“ดูจากที่ลุงพูดแบบนี้ งั้นฉันไปขายนกกระจอกให้เหลาหลี่โดยตรงเลยดีกว่าไหม ทำไมต้องให้ลุงมาคอยแนะนำด้วย” เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองเหยียนลิ่วหยวนแล้วถาม “ลูกสาวเหล่าหลี่เป็นเพื่อนร่วมชั้นนายเหรอ”
“ใช่” เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้า “ตัวเธอใหญ่นิดหนึ่ง…”
“ชิ่วๆ ไปเล่นที่อื่นไป” เหล่าหวังพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “คิดซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน เห็นความหวังดีเป็นประสงค์ร้ายไปได้!”
เห็นเริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนพูดโต้ตอบไปมาราวกับละครตลกฉากหนึ่งแล้ว เหล่าหวังจึงเข้ามาขวางด้วยการเปลี่ยนเรื่องคุย “จำไว้นะ รอบหน้าถ้าจับนกกระจอกตัวเป็นๆ ได้ต้องเอามาให้ฉันล่ะ!”
“ได้” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า ถึงการจับมาแบบตัวเป็นๆ จะอันตรายมาก แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เขามองไปรอบๆ ร้านขายของชำแล้วถาม “เสื้อแจ็คเก็ตผ้าฝ้ายนี่ราคาเท่าไร”
“เสื้อพวกนี้เป็นของใหม่ ราคาตัวละห้าร้อย! เธอต้องรู้ด้วยนะว่าฉันรับมาตัวละสี่ร้อยเก้าสิบ ที่ขายนี่เพราะไม่ได้หวังกำไรเลย” เหล่าหวังพูด “หนาวตายน้อยไปหนึ่งก็คุ้มแล้ว”
“ใจดีจริงๆ” เริ่นเสี่ยวซู่สรรเสริญด้วยน้ำเสียงเฉยชา “งั้นซื้อสักตัว ดูให้ด้วยว่าลิ่วหยวนต้องใส่ขนาดไหน”
“พี่ ซื้อให้ตัวเองด้วยสิ!” เหยียนลิ่วหยวนรีบพูด
“ผู้ใหญ่คุยกันอย่าเพิ่งขัด” เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว “ฉันไม่หนาว”
เงินเป็นของประเสริฐ กลุ่มในป้อมปราการใช้เงินเพื่อความคล่องตัวของสินค้ากับวัตถุดิบ แม้ว่ามันจะสะดวก แต่ถ้าไม่มีมันแล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้อีก
หน้าหนาวที่นี่เย็นเยียบ แต่เขาต้องเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับเรื่องฉุกเฉิน ตอนนี้ยังเหลืออีกเดือนกว่าก่อนฤดูหนาวจะมาเยือน เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าถ้าเขาสามารถไปจับนกกระจอกอีกตัวได้ ป่านนั้นจะซื้อแจ็คเก็ตผ้าฝ้ายอีกตัวก็ไม่สายไปหรอก
ที่สำคัญคือตอนนี้ครบรอบเดือนต้องจ่ายค่าเล่าเรียนของเหยียนลิ่วหยวนแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่กวาดตามองรอบร้านของชำอีกครั้ง ก่อนจะจับจ้องไปยังเคาน์เตอร์หลังเหล่าหวัง “ยาปฏิชีวนะกับยาแก้อักเสบราคาเท่าไร”
“อยากซื้อยาเหรอ” ตอนนี้เองเหล่าหวังถึงเพิ่งสังเกตว่ามีผ้าพันแผลเปื้อนเลือดพันรอบมือเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ “บาดเจ็บ? ต้องซื้อยาแล้ว ไม่งั้นได้ติดเชื้อตายแน่!”
“ฉันถามว่าราคาเท่าไร!” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างรำคาญใจ
“เม็ดละสองร้อยสิบ” เหล่าหวังพูด “ยาปฏิชีวนะต้องกินสามวันติด ฉันจะขายให้สามเม็ดหกร้อยยี่สิบ แล้วก็จะแถมโพวิโดนไอโอดีน[1]ให้อีกหนึ่ง ฉันมีเก็บไว้แค่สิบเม็ดเอง”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะว่า “ไม่ลองปัดลง…”
“ถ้าปัดลง เอ็งคงหมายถึงปัดเอาศูนย์ออกน่ะสิ หุบปากไปเลยนะ!” เหล่าหวังพูดอย่างไม่สบอารมณ์
เริ่นเสี่ยวซู่เลียปากหันหน้าหนีอย่างเสียดาย “ช่างเหอะ ไม่ซื้อแล้ว หน้าหนาวคงไม่มีอาการอักเสบอะไรหรอก”
เขากลับหลังหันและพาเหยียนลิ่วหยวนไปโรงเรียน พอเดินผ่านร้านเมล็ดพันธุ์ เริ่นเสี่ยวซู่ก็เข้าไปซื้อขนมปังดำมาแถวหนึ่ง เจ้าขนมปังดำนี่ผสมอะไรบางอย่างที่เวลาเคี้ยวแล้วช่างฝืดคอมาก
เหยียนลิ่วหยวนพูดไปเคี้ยวขนมปังดำหงับๆ ไป “พี่ ถ้าอยากเรียนขนาดนี้ทำไมไม่จ่ายค่าเรียนของตัวเองแล้วมาเรียนที่โรงเรียนด้วยเลยล่ะ”
“ฉันยังต้องออกไปล่าอยู่อีก” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “แล้วก็เรื่องที่เหล่าหวังพูดก่อนหน้านี้ ที่โรงเรียนของนายมีเด็กสาวใช้ได้ไม่น้อยเลยล่ะสิ วัยแค่นี้อย่าเพิ่งไปมีความรักเลยดีกว่า”
“ผมได้ยินมาว่าคนสมัยก่อน อายุสิบสามสิบสี่ก็แต่งกันแล้วนะ” เหยียนลิ่วหยวนแย้ง เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าปะทะฝีปากกับเริ่นเสี่ยวซู่จะสนุกขนาดนี้
แสวงหาความสนุกท่ามกลางความยากลำบาก คงเป็นหนึ่งในความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์มี
เริ่นเสี่ยวซู่โบกหัวเหยียนลิ่วหยวนไปที “เอาพวกเราไปเทียบกับคนสมัยก่อนได้ไง นายยังเด็ก ผู้หญิงที่นายชอบพอตอนนี้ สักวันก็ตกไปเป็นภรรยาของคนอื่นอยู่ดี” เริ่นเสี่ยวซู่ราวตกอยู่ในภวังค์ “มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับภรรยาผู้อื่นก็ดูน่าตื่นเต้นเหมือนกันนะ…”
“พี่ พี่พูด’ไรอยู่เนี่ย ไม่เห็นเข้าใจเลย?” เหยียนลิ่วหยวนกะพริบตาปริบๆ
“ไปไกลๆ เลย อย่ามาทำเป็นไขสือต่อหน้าฉันเฟ้ย” เริ่นเสี่ยวซู่โวยอย่างโมโห
……
ทั่วทั้งเมืองนี้ โรงเรียนถือเป็นที่ที่สะอาดเรียบร้อยสุดแล้ว ทั้งยังเป็นบ้านเดียวที่มีสวนเป็นของตัวเองด้วย
ขณะเดินมาจากข้างนอก ก็จะเห็นพืชผลถูกปลูกอย่างเป็นสัดส่วน ต้นหอม กระเทียม มันฝรั่ง ผักกาดขาว…
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าโรงเรียนน่าจะมีต้นไผ่แทนมากกว่า แต่ก็นะ อาหารสมัยนี้หายากจะตายชัก ได้มีที่ไว้ปลูกผักก็โชคดีขนาดไหนแล้ว เพราะแบบนี้เริ่นเสี่ยวซู่ถึงอยากให้เหยียนลิ่วหยวนโตขึ้นไปเป็นอาจารย์
มันไม่ใช่ว่าเคารพอาชีพอาจารย์อะไรหรอก แต่เพราะการเป็นอาจารย์นั้นปลอดภัยมากต่างหาก แถมยังมีสิทธิ์พิเศษได้มีสวนไว้ปลูกผักเป็นของตัวเองอีก และก็ไม่มีใครริอ่านหาญกล้ามาขโมยด้วย
เป็นเรื่องที่ดีงามสุดๆ
ว่าไปแล้ว ความหวังของเริ่นเสี่ยวซู่นั้น ‘เรียบง่าย’ นัก
เหยียนลิ่วหยวนรับเงินค่าเล่าเรียน และเดินเข้าห้องเรียนไป ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่ขึ้นไปนั่งบนกำแพง เงี่ยหูฟังบทเรียนในห้อง จ่ายค่าเรียนไม่ไหว ก็ได้แต่ต้องแอบฟังแบบนี้แหละ
บางครั้งอาจารย์จะสอนนักเรียนเกี่ยวกับว่าเมื่อก่อนอารยธรรมมนุษย์นั้นรุ่งเรืองเพียงใด พูดตามตรงแล้วตัวอาจารย์เองก็ไม่เคยสัมผัสด้วยตัวเองหรอก เรื่องที่เขาสอนเป็นเพียงเรื่องเล่าสืบต่อกันมาปากต่อปาก ข้อเท็จจริงอาจจะถูกบิดเบือนไปหมดแล้วก็ได้
ถึงแม้จะไม่น่าเชื่อถือเท่าไร แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังฟังอย่างตื่นตาตื่นใจอยู่ดี
มีบางครั้งเริ่นเสี่ยวซู่จะถามคำถามเหยียนลิ่วหยวนเกี่ยวกับข้อมูลที่เขาไม่เข้าใจหรือฟังไม่ทัน เรื่องนี้เป็นปัญหากับเหยียนลิ่วหยวนมาก เพราะถ้าเขาตอบไม่ได้ ก็แสดงว่าเขาไม่ตั้งใจเรียน ดังนั้นเมื่อไรที่เริ่นเสี่ยวซู่มาฟังบทเรียนด้วย เหยียนลิ่วหยวนก็จะตั้งใจเรียนในห้องสุดๆ
ไม่รู้ทำไม แต่เหยียนลิ่วหยวนต้องยอมรับเลยว่ายามพี่ชายของเขาฟังบทเรียนอย่างตั้งใจนั้นช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน ถึงว่าเสี่ยวอวี้ถึงอยากเข้าใกล้เขานัก
ในห้องเรียน อาจารย์ถือหนังสือ สายตาจ้องไปยังนักเรียนที่แอบหลับอย่างเศร้าสร้อย จากนั้นเขาก็มองไปยังเริ่นเสี่ยวซู่ที่อยู่บนกำแพงนอกหน้าต่าง แล้วพูดกับเหยียนลิ่วหยวนว่า “วันนี้พอกลับไป บอกพี่ชายเธอว่าต่อไปให้เข้ามาฟังบทเรียนที่สวนได้”
“ได้ครับ!” เหยียนลิ่วหยวนยิ้มแย้มอย่างยินดี
[1] โพวิโดนไอโอดีน (Povidone iodine) เป็นยาใส่แผลสีเหลือง เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของยาที่เรารู้จักกันดีอย่าง ‘เบตาดีน’