ตอนที่ 5 เด็กน้อยน่ารักที่ผิวขาวผุดผ่องทั้งสอง (1) / ตอนที่ 6 เด็กน้อยน่ารักที่ผิวขาวผุดผ่องทั้งสอง (2)

เฟิงหรูชิง องค์หญิงหมอเทวดา

ตอนที่ 5 เด็กน้อยน่ารักที่ผิวขาวผุดผ่องทั้งสอง (1) 

 

 

“เสด็จพ่อ” เฟิงหรูชิงยิ้มแก้มปริ “ตอนนั้นเป็นความผิดของหม่อมฉันเอง หม่อมฉันไม่น่าดึงดันจะแต่งงานกับหลิ่วอวี้เฉินให้ได้เลย เขาจะรู้สึกชิงชังหม่อมฉันก็คงไม่แปลกอะไร ตอนนี้เหมือนหม่อมฉันตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ถือว่าได้ชดใช้ให้เขาแล้ว นับจากนี้ไป เขากับหม่อมฉันไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีกเพคะ” 

 

 

คนที่ในใจไม่มีนางอยู่ นางไม่จำเป็นต้องอาลัยอาวรณ์ อีกอย่าง นางก็ไม่ใช่เฟิงหรูชิงคนเดิมอีกแล้วหลิ่วอวี้เฉินคนนี้ นางไม่รู้สึกชังและไม่รู้สึกชอบอีกต่อไป 

 

 

เฟิงเทียนอวี้มองดูเฟิงหรูชิงอย่างมึนงง แล้วพูดอย่างทอดถอนใจว่า “ชิงเอ๋อร์ของข้า โตเป็นผู้ใหญ่เสียที” 

 

 

ตระกูลแห่งจวนเสนาบดีมีความภักดีต่อแคว้นหลิวอวิ๋นมาโดยตลอด แต่เพื่อลูกสาวผู้เป็นที่รักคนนี้ เขายอมบีบบังคับลูกชายของเสนาบดีให้รับชิงเอ๋อร์เป็นภรรยา ถ้าชิงเอ๋อร์ตัดใจจากเขาไปได้ก็ดี แต่ถ้าในใจของชิงเอ๋อร์ยังมีเขาอยู่ ต่อให้เขาต้องทำให้หลิ่วอวี้เฉินพิการขาหัก ก็จะให้หลิ่วอวี้เฉินอยู่กับชิงเอ๋อร์ไปตลอดชีวิตให้ได้ 

 

 

“เสด็จพ่อ ตอนที่หม่อมฉันสลบไป ได้พบกับเสด็จแม่ด้วย” เฟิงหรูชิงหลับตาลง เม้มริมฝีปากบางอย่างเบาๆ “หลักเหตุผลต่างๆ ที่สมัยก่อนไม่มีคนคอยสอนหม่อมฉัน เสด็จแม่สอนให้หม่อมฉันหมดแล้ว อีกอย่าง แต่ไหนแต่ไรมาเสด็จพ่อเป็นกษัตริย์ผู้ปรีชา จะต้องกลายเป็นทรราชเพราะหม่อมฉันไม่ได้เด็ดขาด” 

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น คนอื่นๆ ไม่ทันได้รู้สึกอะไร มีเพียงหลิวหรงเท่านั้นที่สีหน้าเจื่อนไป 

 

 

หลายปีมานี้ เฟิงหรูชิงโตมาข้างกายหลิวหรง แต่นางกลับพูดว่าไม่มีคนสอนหลักเหตุผลให้นางอย่างนี้ ไม่เท่ากับบอกให้คนอื่นรู้ว่า นางไม่ได้อบรมสั่งสอนเฟิงหรูชิงให้ดีหรอกหรือ 

 

 

“ชิงเอ๋อร์ เจ้าเจอเยียนเอ๋อร์แล้วใช่หรือไม่” เฟิงเทียนอวี้ใจเต้นแรง จึงจับมืออ้วนๆ ของเฟิงหรูชิงไว้แน่น 

 

 

เฟิงหรูชิงเงยหน้าขึ้น มองไปที่เฟิงเทียนอวี้ด้วยรอยยิ้ม 

 

 

ทั้งๆ ที่ใบหน้านี้ไม่ได้สวยงามอะไร แต่รอยยิ้มของนางดูราวกับดวงตะวัน สุกสว่างเหลือคณา 

 

 

“เสด็จพ่อ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของหลิ่วอวี้เฉินหรอกเพคะ เป็นเพราะหม่อมฉันไม่รู้ความ รั้นจะแต่งงานกับเขาให้ได้ หม่อมฉันเป็นคนใจร้อน อวบอ้วนไม่น่าดู หลิ่วอวี้เฉินไม่ยินดีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ดังนั้นเสด็จพ่ออย่าไปกริ้วตระกูลท่านเสนาบดีด้วยเรื่องนี้เลยเพคะ” 

 

 

จะว่าไป ที่จริงแล้วหลิ่วอวี้เฉินไม่ได้ทำผิดอะไรมากมาย เขาแค่ถูกบีบบังคับให้แต่งงานกับหญิงผู้มีชื่อเสียงฟอนเฟะคนหนึ่งด้วยความจำใจ อีกอย่างก็เป็นเพราะเฟิงหรูชิงคนก่อนนี้ที่เป็นฝ่ายตบตีถานซวงซวงก่อน ทั้งยังทำให้ฮูหยินท่านเสนาบดีต้องโมโหจนเป็นลมไป ส่วนหลิ่วอวี้เฉินลูกกตัญญูก็ขอหย่าเพราะความโกรธเท่านั้น 

 

 

ถ้าไม่เป็นเพราะนางคนก่อนแข็งแกร่งและมีพลัง บัดนี้จวนเสนาบดีคงได้อยู่อย่างสงบสุขเช่นเดิมไปแล้ว 

 

 

“เหลวไหล” เฟิงเทียนอวี้ขมวดคิ้วเบาๆ น้ำเสียงไม่พอใจ “ลูกสาวของข้า เป็นที่หนึ่งของแคว้นหลิวอวิ๋น เจ้าอย่าได้ดูถูกตัวเองเกินไป ต่อให้เจ้าจะอ้วนกว่าคนทั่วไปบ้าง แต่ก็อ้วนแบบดูดี ไม่มีใครงดงามเท่าลูกสาวข้าอีกแล้ว” 

 

 

เฟิงหรูชิงตกใจ นางอดที่จะเบ้มุมปากไม่ได้ เป็นความจริงที่ในสายตาผู้เป็นพ่อ ลูกสาวย่อมงดงามและอ่อนโยนเสมอ หากคำพูดของเฟิงเทียนอวี้ได้ยินไปถึงหูของอาณาประชาราษฎร์ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะถูกเยาะเย้ยเช่นไร 

 

 

“ฝ่าบาท นี่ก็สายมากแล้วเพคะ อีกไม่นานก็ต้องว่าราชกิจช่วงเช้าแล้ว” หลิวหรงค่อยๆ ลุกขึ้น เดินไปอยู่ข้างๆ เฟิงเทียนอวี้อย่างช้าๆ น้ำเสียงของนางอ่อนโยนเปรียบได้กับน้ำ 

 

 

สีหน้าของเฟิงเทียนอวี้แสดงถึงความรำคาญเล็กๆ สายตาอันเย็นชาของเขามองผ่านใบหน้าของหลิวหรงไป แล้วมองดูที่เฟิงหรูชิงอีกครั้ง 

 

 

“ชิงเอ๋อร์ นี่ก็สายมากแล้ว เดี๋ยวพ่อว่าราชกิจช่วงเช้าเสร็จแล้วจะมาเยี่ยมลูกใหม่นะ” 

 

 

“เสด็จพ่อ หม่อมฉันไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเพคะ” 

 

 

“ไม่ได้หรอก เจ้าเป็นลูกสาวของพ่อ พ่อก็ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าบ่อยๆ ” เฟิงเทียนอวี้ลุกขึ้นจากเตียง เขามีทีท่าน่าเกรงขาม ดูดุดัน 

 

 

“ทหาร ช่วงนี้องค์หญิงไม่สบาย ถ้าไม่มีคำสั่งของข้า ใครก็ห้ามเข้ามารบกวนนางเด็ดขาด” 

 

 

ตอนที่เขาพูดพร้อมหันหน้าไปมองที่หลิวหรง 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 6 เด็กน้อยน่ารักที่ผิวขาวผุดผ่องทั้งสอง (2) 

 

 

คำว่าใครที่ว่านั้น แน่นอนว่ารวมถึงหรงกุ้ยเฟยด้วย 

 

 

หลิวหรงรู้สึกเสียหน้า นางสูดหายใจเข้าออกลึกหนึ่งครั้ง ยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ชิงเอ๋อร์ยังไม่หายดี ต้องการคนดูแล ดังนั้น…” 

 

 

“ดูแลนาง ให้พวกนางกำนัลคอยมาดู เจ้าไม่ต้องมาหรอก อีกอย่างตอนนี้ก็สายแล้ว เจ้าควรไปได้แล้ว อย่ารบกวนการพักผ่อนของชิงเอ๋อร์” 

 

 

เฟิงเทียนอวี้หัวเราะแบบเย็นชา 

 

 

หลิวหรงหน้าเจื่อน มือที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่นไม่ให้ใครเห็น 

 

 

“น้อมรับบัญชาเพคะ” 

 

 

… 

 

 

เมื่อเฟิงเทียนอวี้เดินออกไป คนอื่นๆ ก็เดินตามออกไปด้วย ตำหนักที่ประทับเงียบสงบ เหลือเพียง เฟิงหรูชิงที่กำลังเหม่ออยู่ตามลำพัง 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางเหลือบตาลง มองดูข้อมืออ้วนๆ มุมปากที่ยิ้มเล็กๆ เจือปนด้วยความเศร้า 

 

 

“ข้าไม่เคยคิดว่าชีวิตของข้าจะฟื้นกลับมาได้อีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่ชาตินี้ ข้าคงไม่มีโอกาสได้เจอน้องชายอีกแล้ว” 

 

 

หือ? 

 

 

ในระหว่างที่เฟิงหรูชิงเหม่อมองข้อมืออยู่นั้น ข้อมือของนางก็ปรากฏด้ายแดง ลักษณะรางๆ ขึ้น ด้ายแดงนี้มองเห็นไม่ชัดเท่าไรนัก มันปรากฏต่อสายตาของนางอย่างน่าประหลาดใจ 

 

 

นี่…นี่มัน…  

 

 

ดวงตาของเฟิงหรูชิงค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น ทันใดนั้น แสงสีแดงก็สว่างไปทั่วทั้งห้อง วินาทีนั้น เหมือนมีพลังบางอย่างดึงตัวนางขึ้นแล้วพาออกไปจากตำหนักที่ประทับ 

 

 

แสงสีแดงจางหายไป เฟิงหรูชิงที่เดิมนอนอยู่บนเตียงหายตัวไปเมื่อไรไม่มีใครทราบ ส่วนในวังหลวงกลับดูสงบเรียบร้อยดี ราวกับว่าไม่มีใครรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในตำหนักที่ประทับเลยสักนิด 

 

 

… 

 

 

ท้องฟ้าสีคราม เมฆขาวลอยเลื่อน 

 

 

เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวที่แว่วมารางๆ ตรงข้างหูเฟิงหรูชิง หนวกหูเสียจนทำหัวนางแทบระเบิด 

 

 

“ทาสปลูกยาของพวกเรามาแล้ว ฮ่าๆ ต่อไปไม่ต้องกลัวไม่มียากินแล้ว” 

 

 

“นี่มันผ่านไปกี่ปีแล้ว ฮ่าๆ ข้าเกือบลืมรสชาติของยาไปแล้ว ยังดีคนที่เราปล่อยไว้ที่นี่ยังพอมีประโยชน์ ในที่สุดก็จับทาสปลูกยามาให้พวกเราจนได้” 

 

 

“รีบปลุกนางให้ตื่นขึ้นมาปลูกยาให้พวกเรากิน ข้าหิวจนผอมโซแล้ว ถ้าต้องอดไปอีกเป็นร้อยปี ข้าเกรงว่าจะกลายเป็นกองกระดูกเสียก่อน” 

 

 

เสียงนั่นดังอยู่นาน ราวกับเสียงยุงกับแมลงวันบินไปมา หนวกหูเสียจนเฟิงหรูชิงขมวดคิ้ว แล้วค่อยๆ ลืมตาทั้งสองขึ้น 

 

 

ชั่ววินาทีนั้น แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาจากท้องฟ้า สว่างจ้าเสียจนเฟิงหรูชิงลืมตาไม่ขึ้น นางรีบใช้มือป้องดวงตาไว้ รอจนปรับสายตากับแสงนั้นได้จึงค่อยๆ วางมือลง 

 

 

แต่ว่า… 

 

 

พอเห็นเด็กน้อยสองคนที่ไม่รู้ว่าโผล่มาตอนไหน เฟิงหรูชิงอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะถามไปโดยสัญชาตญาณว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน” 

 

 

ตรงหน้าเป็นเด็กสองคนชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผิวขาวผุดผ่องดูน่ารัก ตาโตดูมีประกาย ราวกับดวงดาวบนฟากฟ้าในยามราตรี 

 

 

แต่เด็กน้อยสองคนนี้ที่เห็นว่าใสซื่อบริสุทธิ์ เมื่อนึกคำพูดของพวกเขาเมื่อสักครู่ เฟิงหรูชิงก็รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว ห้ามอาการตัวสั่นไว้ไม่อยู่ 

 

 

นั่นใช่เด็กที่ไหนกัน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นปีศาจเฒ่าสองตนที่ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มานานแค่ไหนแล้ว 

 

 

“พวกเราเป็นคนของพรรคเภสัชเทพ น่าเสียดายที่สมัยก่อนตอนพรรคเภสัชเทพเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ข้ากับชิงหานเลยถูกขังไว้ที่นี่ พวกเราไม่ได้กินยาวิเศษมานานมากแล้ว เจ้าเป็นคนที่พวกข้าอุตส่าห์จับมาเพื่อใช้เป็นคนปลูกยา” 

 

 

นัยน์ตาของเฟิงหรูชิงดูมืดมิด นางค้นความทรงจำในสมองอยู่สักพักจึงพบว่าองค์หญิงไม่เอาไหนคนนี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องราวในทวีป ดังนั้นจึงค้นไม่เจอเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับพรรคเภสัชเทพ 

 

 

แต่ถ้าเป็นเรื่องยาวิเศษ เฟิงหรูชิงกลับรู้เป็นอย่างดี 

 

 

ในทวีป ยาวิเศษเป็นยาชนิดหนึ่งที่ทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง ยาวิเศษบางชนิดไม่เพียงรักษาคนป่วยได้ แต่ยังช่วยเพิ่มพลังให้กับผู้บำเพ็ญตบะ และทวีปที่ให้ความสำคัญกับการสู้รบแบบนี้ ยาวิเศษเป็นของเลอค่าและหายากมาโดยตลอด