เพื่อที่จะได้สะดวกในการรับสายลูกค้า เย่เฉินจึงใส่หูฟังบลูทูธตลอดเวลา แต่ในตอนนี้เขากำลังเปิดเพลง The Morning Train ของ Beyond อยู่

ทำนองที่ค่อนข้างจะมีกลิ่นอายคลาสสิคที่ดังก้องในหู ทำให้หัวสมองของเย่เฉินย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่เพิ่งรู้จักกับหวังเจียเหยาเมื่อสามปีก่อน

เย่เฉินเกิดในครอบครัวของแวดวงสังคมชั้นสูง คนอื่นอาจจะรู้จักแต่ตระกูลที่ลึกลับอย่างพวกรอธส์ไชลด์ ดูปองท์และมอร์แกน

แต่กลับไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าตระกูลที่ลึกลับที่สุดนั้นก็คือตระกูลเย่

ตระกูลเย่นั้นมีสมบัติมากกว่าแสนล้านแต่กลับเก็บเนื้อเก็บตัว ในรายชื่อมหาเศรษฐีไม่มีชื่อพวกเขาปรากฏอยู่ด้วยซ้ำ

ไม่เพียงเท่านั้นวิธีการสั่งสอนคนรุ่นหลังของพวกเขาก็ไม่เหมือนคนอื่น

ปู่ของเย่เฉินให้ความสำคัญกับการสั่งสอนลูกหลานอย่างมาก

ยกตัวอย่างเช่นเย่เฉิน เขาเริ่มเรียนวิชาป้องกันตัวตั้งแต่ห้าขวบ พร้อมกันนั้นก็เรียนเปียโนและไวโอลินด้วย

ตอนอายุสิบแปดปีก็เรียนจบคณะบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยในอเมริกา

เพื่อจะฝึกฝนจิตใจของเย่เฉิน เมื่อสามปีก่อนปู่ของเขาได้จัดแจงให้เขาเข้าไปอยู่ในตระกูลหวังที่เป็นตระกูลชั้นสูงในระดับสองของเมืองอวิ๋นโจว

สามปีมานี้ เย่เฉินซึ่งอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลหวังโดนดูถูกและเหยียดหยาม แต่เขาก็อดทนอดกลั้นจนบรรลุการทดสอบระยะเวลาสามปีได้อย่างสมบูรณ์!

เดิมคิดว่าวันนี้จะกลับไปสารภาพความจริงกับภรรยา บอกว่าตนเองเป็นทายาทหมื่นล้าน เสียดาย…

“ฮ่าๆ หวังเจียเหยา ไม่รู้ว่าหากวันที่คุณรู้สถานะที่แท้จริงของผมจะเป็นอย่างไร!”

เย่เฉินรอคอยวันนั้นมากทีเดียว!

ณ ห้องชุดขนาดใหญ่ของชั้นเก้า เขตซินเฉิง เมืองอวิ๋นโจว

เวลาสองทุ่ม เย่เฉินส่งอาหารเสร็จก็กลับบ้าน

“นายกลับมาแล้วเหรอ? วันนี้นายไม่ต้องทำอาหารแล้วล่ะ ฉันสั่งอาหารมา นายมากินสิมา”

หวังเจียเหยากลับบ้านก่อน แถมยังเตรียมอาหารให้เย่เฉินอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

ก่อนนี้ทุกมื้อเป็นฝีมือของเย่เฉิน

เย่เฉินเปลี่ยนรองเท้าแตะใส่ในบ้านแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ต้อง ผมมาเก็บของ”

พูดพลางสาวเท้าตรงไปที่ห้องนอนตนเอง

เย่เฉินกับหวังเจียเหยาแยกห้องนอนกัน ทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากันเพียงในนามเท่านั้น สามปีมานี้กลับไม่เคยอยู่ด้วยกันมาก่อน

หวังเจียเหยาโกรธอย่างเห็นได้ชัด เธอเดินเข้ามาแล้วเท้าเอวที่เพรียวบาง

“ทำไม? นายอยากจะออกจากบ้านหรือไง? เรื่องแค่นี้เอง มันต้องขนาดนี้หรือไง?”

เย่เฉินยัดเสื้อผ้าเข้ากระเป๋าเดินทางไม่หยุดแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “เรื่องแค่นี้เหรอ? คุณคิดว่าการที่คุณนอกใจผมมันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ หรือไง?”

คราวนี้หวังเจียเหยาไม่อธิบายอะไรอีก เพราะเจ้าหล่อนรู้ดีว่าต่อให้อธิบายมากมายแค่ไหน เย่เฉินเองก็ไม่มีทางเชื่อจึงพูดเสียงดังว่า

“แล้วมันยังไง! หรือว่านายอยากจะให้ฉันขอโทษนายหรือไง? นายกินข้าวบ้านฉัน นอนก็นอนบ้านฉัน ต่อให้ฉันทำเรื่องที่ผิดต่อนายแต่นายก็ควรต้องทนสิ!”

เย่เฉินออกแรงปิดกระเป๋าเดินทางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงโมโห

“ผมทนคนบ้านคุณมาสามปี! ผมน่ะ ดูแลคุณอย่างกับเจ้าหญิง แต่สามปีมานี้ คุณไม่เคยจะมองผมด้วยซ้ำไป! ซูหลานแม่คุณก็ดูถูกผม ตบตีผมต่อหน้าสาธารณชนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ผมก็ไม่เคยปริปาก!

หวังจื้อหย่วนพ่อคุณน่ะ เห็นผมเป็นแรงงานฟรี งานที่ต้องใช้แรงเอย สกปรกเอยก็ให้ผมทำ ผมน่ะได้รับบาดเจ็บตั้งหลายครั้งเพราะเรื่องนี้ แถมเงินที่ไปหาหมอก็เป็นเงินที่ผมได้มาจากการส่งอาหารทั้งนั้น! ลุงคุณกับลูกเขาก็รังแกผมแต่พวกคุณก็ทำเป็นมองไม่เห็น!

ตั้งแต่วันนี้ไปผมไม่อยากทนอีกต่อไป! หวังเจียเหยาพวกเราหย่ากันเถอะ!”

หวังเจียเหยาตกใจทันทีเมื่อได้ยินเย่เฉินพูดเรื่องหย่า แล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“ฮ่าๆ นายกล้าพูดเรื่องหย่ากับฉันเหรอ? อย่าโทษฉันที่ไม่ได้เตือนนายก่อนล่ะ หลังจากหย่ากันแล้ว นายต้องย้ายออกจากห้องนี้และไม่มีรถออดี้ขับอีก! ”

เย่เฉินหัวเราะเสียงเย็นอย่างเหยียดหยาม “ฮ่าๆ ห้องชุดเหรอ? ออดี้เหรอ? ผมไม่ต้องการ!”

หวังเจียเหยาพูดว่า “ดี ฉันอยากจะหย่ากับนายมาตั้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนั้นคุณปู่เลอะเลือนอะไร ถึงได้ให้ฉันแต่งกับขยะอย่างนาย! ไม่ว่ายังไงบ้านตระกูลหวังของฉันก็เป็นตระกูลชั้นสูงของอวิ๋นโจว สมบัติของเราก็มีตั้งหลายสิบล้าน คนจนอย่างนายไม่คู่ควรจะเป็นสามีของฉันสักนิด! ”

เย่เฉินเก็บข้าวของเสร็จก็ไม่อยากจะฟังคำพูดดูถูกตนเองอีกจึงกล่าวว่า

“งั้นพรุ่งนี้เช้าพวกเราไปหย่ากันที่สำนักกิจการพลเรือนแล้วกัน”

“พรุ่งนี้ไม่ได้” หวังเจียเหยาปฏิเสธทันที “พรุ่งนี้เป็นวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของย่าฉัน ก่อนสิบโมงพวกเราทุกคนต้องไปรวมตัวกันที่บ้านคุณย่า แล้วอีกอย่างเรื่องนี้ฉันต้องปรึกษากับคนในครอบครัวฉันก่อน”

เดิมทีการแต่งงานของทั้งสองคนเกิดขึ้นเพราะผู้ใหญ่จัดการให้

เมื่อสามปีก่อนหวังเจียเหยาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธการจัดแจงของครอบครัว

วันนี้หล่อนก็ไม่มีสิทธิ์จะจัดการการแต่งงานด้วยตนเองเช่นกัน

คนในตระกูลใหญ่ๆ ก็เป็นแบบนี้ มีหลายเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้

เย่เฉินเองก็รู้ว่าหวังเจียเหยาตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้จึงเอ่ยต่อว่า

“งั้นคุณก็รีบคุยกับคนที่บ้านให้รู้เรื่องแล้วกัน ผมจะรอโทรศัพท์คุณ”

แล้วเย่เฉินก็ลากกระเป๋าเดินทางจากไป

“คนสารเลว! ขยะ! นายจะต้องเสียใจแน่ที่คิดจะหย่ากับฉัน! อีกไม่กี่วันนายจะต้องมาคุกเข่าอ้อนวอนฉัน!”

หวังเจียเหยาด่าตามหลังเย่เฉินไปตลอดทางจนถึงลิฟท์ แต่เย่เฉินกลับทำเหมือนไม่ได้ยินและไม่แยแสเธอ

เพราะเขารู้ดีว่าคำพูดของหวังเจียเหยานั้นตลกขนาดไหน!

จะให้เศรษฐีที่มีเงินนับแสนล้านอ้อนวอนคนที่มีเงินเพียงสิบกว่าล้านน่ะเหรอ?

หวังเจียเหยา เกรงว่าคุณจะคิดมากเกินไปแล้ว!