ตอนที่ 4 พี่สาว

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

โจวเสาจิ่นเพียงมองทีหนึ่ง ก็ทราบได้ว่า ‘น้ำแกง’ ถ้วยนั้นจริงๆ แล้วคือน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ 

 

 

นางมองพี่สาว 

 

 

บนใบหน้าของโจวชูจิ่นเต็มไปด้วยอาการรอคอยอย่างกระวนกระวายใจ ความคาดหวังนั้นตกอยู่ในดวงตาของโจวเสาจิ่น ทว่าฉับพลันกลับทำให้นางรู้สึกเศร้าเล็กน้อย นางแสร้งทำอะไรก็ไม่รู้ ยกถ้วยน้ำแกงขี้นมา แล้วดื่มหมดในอึกเดียว 

 

 

โจวชูจิ่นเห็นดังนั้น ก็ยิ้มอย่างเบิกบาน 

 

 

โจวเสาจิ่นประหลาดใจเล็กน้อย 

 

 

เป็นครั้งแรกที่นางเห็นพี่สาวยิ้มอย่างเบิกบานขนาดนี้ 

 

 

หากว่าเช่นนี้สามารถทำให้พี่สาวมีความสุขได้ เหตุใดนางจะไม่ทำมันเล่า? 

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มขณะยื่นถ้วยส่งคืนให้ฉือเซียง 

 

 

โจวชูจิ่นจับมือของน้องสาวเอาไว้ กล่าวขึ้นอย่างเอาใจใส่เจือร้อนรนเล็กน้อยว่า “วันนี้พวกเรานอนด้วยกันดีหรือไม่” 

 

 

นับตั้งแต่โจวเสาจิ่น ‘ป่วย’ เป็นต้นมา นางแทบจะอยู่เป็นเพื่อนโจวเสาจิ่นทุกคืน ต่อมาโจวเสาจิ่นเกิดความแคลงใจเกี่ยวกับชะตาของตัวเอง หาข้ออ้างได้ข้อหนึ่ง สองพี่น้องถึงได้แยกกันนอนของใครของมัน 

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้ารับ 

 

 

พวกนางชำระร่างกายแล้วก็ขึ้นเตียง 

 

 

โจวเสาจิ่นดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงหัวไหล่อย่างเรียบร้อย ทว่าโจวชูจิ่นกลับเอนตัวลงบนหมอนหนุนใบใหญ่ที่หัวเตียงแล้วพูดคุยกับนาง “ได้ยินมาว่าวันนี้เจ้านอนทั้งวัน? เป็นเช่นนี้ไม่ดีนัก อย่างไรก็ตามแต่ ต้องกินอะไรบ้าง เวลาล่วงเลยนานเข้า อาการหิวเล็กน้อยก็อาจทำให้เจ็บป่วยได้ เจ้าแต่เดิมร่างกายก็อ่อนแออยู่แล้ว ย่อมรับไม่ไหวหากอาการแย่ลงอีก” ยังกล่าวอีกว่า “ให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานซื้อหนังสือสักสองสามเล่มมาให้ผ่อนคลายดีหรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าหม่าเจี้ยหยวนออกบทกวีชุดใหม่ ผู้คนในเจียงหนานต่างยื้อแย่งกันซื้อ คิดว่าคงจะไม่เลวเลยทีเดียว” 

 

 

“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นแต่เดิมก็เป็นคนพูดน้อย ชื่นชอบการอยู่เงียบๆ ไม่ชอบกิจกรรมเคลื่อนไหว บางครั้งก็อยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหนทั้งวัน นางไม่รู้สึกว่าการเป็นแบบนี้นั้นไม่ดี “ข้าอยู่ในห้องนอนหลับได้ หรือพูดคุยกับพวกซือเซียง ก็ผ่านไปหนึ่งวันแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

ทว่าโจวชูจิ่นกลับไม่คิดเช่นนี้ 

 

 

น้องสาวเป็นคนเรียบง่าย เปิดเผย ตรงไปตรงมา ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนเล่าให้นางฟังทุกอย่าง รวมถึงเรื่องที่เฉิงลู่ให้คนแอบส่งของมามอบให้นางก็ถูกนางเล่าให้ฟังแล้วหลายครั้ง หลังจากนั้น ทุกครั้งที่เฉิงลู่ส่งของมามอบให้นาง นางก็ยังคงเอามาเล่าให้ตนเองฟังทุกครั้ง นับประสาอะไรกับที่หลายวันมานี้ ตนเองทั้งให้นาง ‘ป่วย’ ทั้งเผายันต์กระดาษที่ห้องของนาง ทั้งให้นางดื่มน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ นางไม่ใช่คนโง่ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึก ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ในใจจะไม่มีความขุ่นข้องใจเลยสักสาย ทว่าตั้งแต่ต้นยันจบ นางกลับไม่เอ่ยอะไรสักคำ นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

 

 

โจวชูจิ่นอดไม่ได้ยืดตัวขึ้น จ้องที่ดวงตาของโจวเสาจิ่นกล่าวว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่” 

 

 

โจวเสาจิ่นนั้นพูดได้ว่าตั้งแต่เล็กก็เติบโตมากับการดูแลของพี่สาว สิ่งที่นางกลัวที่สุดคือการทำให้พี่สาวเสียใจ ถัดมาคือกลัวใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มและดูจริงจังของพี่สาว ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่เมื่อคิดถึงความดีที่พี่สาวมีต่อตนเองแล้ว การที่ถูกพี่สาวมองแบบนี้ นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย 

 

 

“ไม่มีเจ้าค่ะ” นางกล่าวสั้นๆ “ข้าไม่มีเรื่องอะไรปิดบังท่านพี่เจ้าค่ะ” 

 

 

ทว่ายิ่งนางเป็นแบบนี้ โจวชูจิ่นก็ยิ่งสงสัย 

 

 

สายตานางเจ้าเล่ห์ขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “เสาจิ่น ท่านแม่ไม่อยู่แล้ว ท่านพ่อก็ไม่ได้อยู่ข้างกายพวกเรา พวกเราพี่น้องควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันถึงจะถูก หากเจ้ามีเรื่องอะไรก็อย่าปิดบังข้า” คิดๆ แล้ว ก็กล่าวขึ้นอีกว่า “เจ้าดูเมื่อครั้งก่อนที่เจ้าทำพิณของอู่ซือฟู่พังโดยไม่ตั้งใจนั้น เจ้ากลับมาก็เล่าให้พี่สาวฟัง พี่สาวคิดหาหนทางเสียแต่เนิ่นๆ ไม่เพียงหาพิณที่ใกล้เคียงกับพิณของอู่ซือฟู่คืนทดแทนให้กับอู่ซือฟู่ ในขณะที่อู่ซือฟู่ยังไม่ทราบเรื่องนั้น ยังพาเจ้าไปกล่าวคำขอโทษต่ออู่ซือฟู่ก่อนด้วยตัวเอง อู่ซือฟู่ไม่เพียงไม่ตำหนิเจ้า ยังกล่าวชื่นชมเจ้าที่มีน้ำใจอย่างล้นเหลือ มีคุณสมบัติของผู้มีคุณธรรม มองเจ้าด้วยอีกมุมมองหนึ่ง และมักจะชี้แนะทักษะการดีดพิณให้เจ้าเป็นการส่วนตัวอยู่บ่อยๆ เจ้าในตอนนี้ดีดพิณได้ดีกว่าน้องสาวเจียมากนัก เจ้าลืมไปแล้วหรือ” 

 

 

โจวเสาจิ่นจะลืมได้อย่างไร 

 

 

เพราะเรื่องนี้ เจียงซื่อ มารดาของเฉิงเจียยังแอบไปตำหนิอู่ซือฟู่ ผู้ที่สอนพวกนางดีดพิณว่าลำเอียง 

 

 

ทว่าหลังจากเรื่องนี้ นางไม่เพียงได้รับคำชื่นชมจากอู่ซือฟู่เท่านั้น ยังได้รับคำชื่นชมจากท่านยาย ท่านป้าใหญ่ ท่านลุงใหญ่ และพวกพี่ชายด้วย เพราะเรื่องนี้ ท่านยายยังมอบจี้หยกที่ทำจากหยกหยางจือ [1] ทั้งชิ้นให้นางเป็นรางวัลหนึ่งชิ้น ท่านป้าใหญ่มอบเครื่องประดับผมจูฮวา [2] ให้นางหนึ่งคู่ ท่านลุงใหญ่ และพวกพี่ชายส่งกระดาษ พู่กัน และหินหมึกมาให้ 

 

 

นางโตมาขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับคำชื่นชมมากขนาดนี้ และยังเป็นครั้งแรกที่นางเอาชนะเฉิงเจียได้ 

 

 

ทว่าสิ่งที่นางอยากจะทำนั้นไม่อาจบอกกับพี่สาวได้จริงๆ! 

 

 

แล้วจะทำอย่างไรดี! 

 

 

โจวเสาจิ่นรีบลุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ร้องขึ้น “ท่านพี่” แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่มีเรื่องอะไรปิดบังท่านจริงๆ เจ้าค่ะ” 

 

 

“จริงหรือ!” โจวชูจิ่นไม่เชื่อ ดวงตาที่เห็นสีดำขาวได้เด่นชัดคู่นั้นเบิกกว้างขึ้น มองที่โจวเสาจิ่นอย่างเงียบๆ 

 

 

โจวเสาจิ่นคิดถึงพี่สาวที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนแต่ไปไม่ถึงดวงตาและนิสัยที่กัดไม่ปล่อยแล้ว ทันใดก็รู้สึกหนังศีรษะลุกซู่ มุมปากเปิดๆ ปิดๆ ได้สักพักหนึ่ง จำต้องทิ้งหัวทิ้งท้าย เลือกทางที่ไม่กดดันจนเกินไป “ข้าได้ยินมาว่าที่เรือนท่านยายจะมีแขกมาในสองวันนี้ อยากทราบว่าเป็นผู้ใดจะมาเยี่ยมท่านยายเจ้าคะ ช่วงนี้ข้ากำลังป่วยอยู่ ไม่รู้ว่าจะเป็นการทำให้ท่านพี่ต้องมาอยู่ด้วยแล้วไม่อาจไปพบแขกได้?” 

 

 

โจวชูจิ่นอดไม่ได้หัวเราะร่วนขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าเป็นกังวลด้วยเรื่องนี้หรือ” ขณะที่นางพูด ก็อดไม่ได้ลูบศีรษะโจวเสาจิ่นไปด้วย “คนที่คิดจะมาพบท่านยายนั้น แปดถึงเก้าในสิบส่วนล้วนมาด้วยเรื่องร้องขอต่อจวนหลักและจวนรอง ไม่พบก็ไม่เป็นอะไร ดีเสียอีกข้าจะได้มีเวลาว่าง อยู่เรือนเป็นเพื่อนเจ้า” 

 

 

นี่เป็นเรื่องจริง 

 

 

ท่านยายเป็นที่เคารพและเข้มแข็งได้ด้วยตัวเอง เป็นแม่หม้ายที่เลี้ยงดูบุตรชายบุตรสาวสามคนจนเติบใหญ่ ทั้งยังประสบความสำเร็จ บุตรชายคนโตได้เป็น จวี่เหริน [3] บุตรชายคนรองได้เป็น ถงจิ้นซื่อ [4] ท่านบรรพบุรุษแห่งตระกูลเฉิงจวนรอง นายท่านใหญ่แห่งจวนหลักล้วนเคารพนับถือนางเป็นอย่างมาก บางคนที่ไม่อาจเข้าจวนหลักและจวนรองเพื่อร้องขอความช่วยเหลือได้ ก็จะเปลี่ยนมาขอเข้าพบท่านยายแทน โชคดีที่ท่านยายเป็นคนหลักแหลม เรื่องที่ไม่สำคัญก็จะไม่ให้การตอบรับ 

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็อดไม่ได้หัวเราะร่วนขึ้นมาทีหนึ่ง 

 

 

บรรยากาศระหว่างสองพี่น้องคล้ายกับน้ำแข็งที่ละลาย มีความอบอุ่นอยู่หลายส่วน 

 

 

โจวชูจิ่นจึงกล่าวต่อจากหัวข้อก่อนหน้า “เจ้าก็ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ว่าคนที่มานั้นจะเป็นผู้ใด หากท่านยายมีความประสงค์ให้พวกเราเข้าพบด้วย ย่อมต้องบอกพวกเราก่อนล่วงหน้า หากรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ย่อมไม่ให้พวกเราออกไปพบแขก พวกเราเพียงรอฟังจากท่านยายก็พอแล้ว” 

 

 

นางในช่วงหลายวันมานี้จิตใจไม่สงบ กระวนกระวาย เหมือนกับที่พี่สาวได้ยินมา เป็นเพราะสูญเสียเหตุผลที่ควรมีในยามปกติไป 

 

 

หากว่านางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งจริงๆ นับจากตอนนี้ถึงช่วงเวลาที่ตระกูลเฉิงจะถูกตรวจสอบยึดทรัพย์และลงโทษนั้นยังเหลืออีกสิบสามปี นางไม่จำเป็นต้องรีบร้อนพิสูจน์ความจริงขนาดนี้ หากว่านางเพียงฝันร้ายไป ตื่นจากฝัน ก็ดีแล้ว ยิ่งไม่ต้องรีบร้อนวู่วามขนาดนี้ 

 

 

นางอดไม่ได้กอดแขนของพี่สาวเอาไว้แน่น กล่าวว่า “ขอบคุณท่านพี่เจ้าค่ะ! ข้าทราบแล้ว” เสียงนั้น จริงใจราวกับกำลังไถ่บาปให้ตัวเองอยู่ ทำให้ภายในจิตใจของโจวชูจิ่นไม่สงบนัก อยากจะถามให้ละเอียด โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นเสียก่อนว่า “ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่ของจวนท่านเจ้าเมืองอู๋มีปานแดงอยู่ตรงระหว่างคิ้วดวงหนึ่ง ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ในงานวันมหาวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของท่านบรรพบุรุษ ท่านเจ้าเมืองก็น่าจะมาร่วมแสดงความยินดีด้วย? ไม่รู้ว่าฮูหยินอู๋จะพาคุณหนูใหญ่ของจวนอู๋มาร่วมแสดงความยินดีด้วยหรือไม่” 

 

 

โจวชูจิ่นมีอายุเพียงสิบแปดปี ถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องหอของสตรี ยังไม่มีสายตาที่เฉียบแหลมอย่างผู้ใหญ่ เมื่อได้ยินดังนั้น คิดเพียงว่าน้องสาวกำลังตื่นเต้น จึงหัวเราะพลางกล่าว “ถึงยามนั้นข้าจะสอบถามท่านป้าใหญ่ หากว่าฮูหยินอู๋พาคุณหนูใหญ่ของจวนอู๋มาแสดงความยินดีด้วย ข้าจะชี้ให้เจ้าดูอย่างแน่นอน” 

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้า 

 

 

ในความทรงจำของนางนั้น ยามถึงวันงานเลี้ยงวันนั้น อู๋เป่าจางถูกจัดให้นั่งอยู่ด้วยกันกับพี่สาว 

 

 

ในที่สุดก็ได้ยกก้อนหินออกจากอก นางราวกับได้ปลดปล่อยภาระอันหนักอึ้งออกไปแล้ว พูดคุยกับพี่สาวอีกหลายประโยค ก็ง่วงจนตาปรือ เท้าคางไว้ไม่อยู่แล้ว 

 

 

“นอนเถอะ!” โจวชูจิ่นหัวเราะ หมุนตัวไปเป่าเทียนให้ดับ 

 

 

โจวเสาจิ่นจมดิ่งเข้าสู่ความฝันอย่างรวดเร็ว 

 

 

กลางดึก นางตื่นขึ้นมากะทันหัน เหยียดมือออก ทว่ากลับไม่พบคนข้างกาย 

 

 

โจวเสาจิ่นหวาดกลัวจนเหงื่อเย็นท่วมตัว 

 

 

นางเห็นแสงลอดผ่านมาจากผ้าม่านของห้องด้านข้าง คิดๆ แล้วก็สวมรองเท้าแล้วเดินข้ามไป 

 

 

โจวชูจิ่นคุกเข่าอยู่ตรงหน้ารูปภาพของจวงเหลียงอวี้ กำลังพึมพำพูดกับมารดาเลี้ยงว่า “ท่านแม่ ข้ากลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ ท่านต้องปกป้องเสาจิ่น…ให้อยู่อย่างสงบสุขและปลอดภัย…ข้ายอมอายุสั้นลงสิบปี…” 

 

 

น้ำตาของโจวเสาจิ่นไหลพรากออกมา 

 

 

นางหมุนตัวกลับไปอย่างเบามือเบาเท้า ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงศีรษะ หลับตาลง 

 

 

วันที่สอง ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงอยู่บนท้องฟ้า 

 

 

ยามที่โจวเสาจิ่นตื่นขึ้นมานั้น โจวชูจิ่นได้ออกไปคารวะยามเช้าท่านยายแล้ว 

 

 

ซือเซียงกล่าว “คุณหนูใหญ่บอกว่า นางอาจจะอยู่รับใช้ฮูหยินผู้เฒ่ารับมื้อเช้า ให้ท่านไม่ต้องรอนางเจ้าค่ะ” 

 

 

โจวเสาจิ่นร้อง ‘เอ๋’ ไปเสียงหนึ่ง 

 

 

ท่านยายไม่ใช่คนประเภทที่ชอบให้ผู้น้อยอาวุโสกว่าสร้างธรรมเนียมมาปรนนิบัติตน ไม่ว่าจะเป็นบุตรชาย บุตรสะใภ้ก็ดี หลานชายหลานสาวก็ดี ล้วนรับมื้ออาหารที่เรือนของตัวเอง ฉะนั้นพวกนางทุกเรือนล้วนมีห้องครัวเล็กเป็นของตัวเอง ค่าใช้จ่ายภายในจวนเลยน้อยกว่าจวนอื่นมาก 

 

 

พี่สาวอาจจะมีเรื่องอะไรอยากพูดคุยกับท่านยาย? 

 

 

โจวเสาจิ่นแต่งตัวอยู่หน้ากระจก เลือกสวมเสื้อเพ่ยจื่อสีเขียวอ่อนลายดอกเสาวรส ดึงกระโปรงจีบผ้าไหมหังโจวสีขาวขึ้น จากนั้นทานหน่อไม้ที่เพิ่งแตกหน่อในฤดูใบไม้ผลิ ผักสลัดน้ำและผักอื่นๆ คู่กับโจ๊กครึ่งถ้วย เค้กข้าวสองชิ้น แล้วถึงจะวางตะเกียบลงล้างมือ 

 

 

ซือเซียงมองแล้วยินดีเป็นอย่างมาก พลางให้บ่าวรับใช้เก็บโต๊ะ พลางกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ ได้ยินมาว่าที่ตลาดมีลูกเหมยจื่อ [5] กับลูกซิ่งจื่อ [6] ขายแล้วเจ้าค่ะ ต้องการซื้อกลับมาชิมสดๆ ใหม่ๆ สักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ” 

 

 

โจวเสาจิ่นรู้ว่าที่ตนเอง ‘ป่วย’ ครั้งนี้นั้น พวกนางที่คอยให้การรับใช้อยู่ข้างกายทุกวันนั้นล้วนไม่สบายนัก นางเลยคิดวิธีหลอกล่อให้ตัวเองกินอาหาร ยิ้มแล้วชี้ไปที่กล่องเก็บสมบัติกล่องเล็กที่อยู่ใต้หัวเตียง กล่าวว่า “ไปหยิบสองเหรียญเงินเอาเองก็แล้วกัน” 

 

 

ซือเซียงยิ้มและย่อเข่าลง มีบ่าวรับใช้เข้ามาแจ้งว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ ซงชิงคนสนิทของคุณชายลู่มาเจ้าค่ะ แจ้งว่าคุณชายลู่ได้ยินว่าท่านเป็นหวัด เลยให้เขานำยาลูกกลอนจักรพรรดิฝางเฟิง [7] มามอบให้ท่านเป็นพิเศษเจ้าค่ะ” 

 

 

เฉิงลู่? 

 

 

รอยยิ้มเคร่งเครียดของโจวเสาจิ่นปรากฎขึ้นบนใบหน้า 

 

 

ความดีที่เขามีต่อนาง นางจำไม่ได้แล้ว ทว่าใบหน้าที่ดุร้ายอำมหิตนั้น นางกลับไม่มีวันลืมได้ 

 

 

นางเงียบไปสักพัก กล่าวขึ้นว่า “เอาของเข้ามาเถอะ” 

 

 

ซือเซียงหุบยิ้มลง ตอบเสียงต่ำว่า “เจ้าค่ะ” แล้วรับของเข้ามา 

 

 

นอกจากกล่องเล็กๆ ที่ใช้ห่อยาลูกกลอนแล้ว ยังมีว่าวผีเสื้อเจ็ดสีด้วยหนึ่งอัน 

 

 

โจวเสาจิ่นลูบปีกของว่าวผีเสื้อนั้นเบาๆ พลางกล่าว “ซือเซียง เจ้าให้ซงชิงนำคำของข้าฝากไปให้คุณชายลู่ที บอกว่าข้าขอบคุณเขาสำหรับสิ่งของ ครั้งนี้ข้าจะรับไว้ ทว่าหลังจากนี้ให้เขาอย่าส่งอะไรมาอีก หลังจากที่ข้าหายป่วยครั้งนี้แล้ว นอกจากจะต้องเรียน ‘บัญญัติสอนหญิง’ และ ‘วิถีแห่งความดีงามของสตรี’ กับเฉินต้าเหนียงต่อแล้ว ยังต้องเรียนเย็บปักถักร้อยกับหลิงเหนียงจื่อ เกรงว่าคงจะไม่มีเวลาว่างสำหรับเที่ยวเล่นสนุกสนานแล้ว” 

 

 

กล่าวคือ คุณหนูรองต้องการขีดเส้นกั้นที่ชัดเจนกับคุณชายลู่แล้ว! 

 

 

ซือเซียงประหลาดใจ ทว่าก็โล่งอกไปทีหนึ่ง 

 

 

นายท่านเป็นเจ้าเมืองยศผิ่นชั้นสี่ขั้นเจิ้ง [8] ทุกคนต่างพูดกันว่า ต่อจากนี้นายท่านจะได้รับการเลื่อนขั้น คุณหนูรองอายุยังน้อย ทั้งยังไม่รีบร้อนออกเรือน ไม่จำเป็นต้องเป็นคุณชายลู่ผู้นั้น เหมือนกับคุณหนูใหญ่ที่ได้หมั้นหมายให้กับคุณชายใหญ่ตระกูลเลี่ยว ต่อไปก็จะเป็นฮูหยินเอกของตระกูลเลี่ยว คุณหนูรองถึงแม้ว่าจะไม่ได้มาจากตระกูลที่ดีเท่าคุณหนูใหญ่ ทว่าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถเลือกคนอื่นที่ดีกว่าคุณชายลู่! 

 

 

นางเอ่ยตอบอย่างยินดี “เจ้าค่ะ” แล้วออกไปส่งต่อข้อความ 

 

 

โจวเสาจิ่นมองแล้วก็ให้รู้สึกแปลกใจ 

 

 

นางไม่คิดมาก่อนว่าพวกซือเซียงไม่ได้มองว่าเฉิงลู่นั้นดี…นางเคยคิดว่าทุกคนต่างยินดีที่เห็นนางกับเฉิงลู่จะลงเอยกัน…แท้จริงแล้วมีเพียงนางที่ให้ค่าเฉิงลู่ 

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มอย่างขมขื่น ทันใดนั้นก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] หยกหยางจือ (羊脂玉) คือหยกขาวคุณภาพดีที่มีเนื้อละเอียดมันวาว 

 

 

[2] จูฮวา (珠花) เครื่องประดับผมทรงดอกไม้ ทำจากลูกปัด 

 

 

[3] จวี่เหริน (举人) ผู้ที่สอบได้อันดับสูงสุดในระดับมณฑล 

 

 

[4] ถงจิ้นซื่อ (同进士) ผู้ที่สอบผ่านการสอบระดับราชสำนัก ได้อันดับรองลงมาจากจิ้นซื่อ 

 

 

[5] เหมยจื่อ (梅子) ผลบ๊วย 

 

 

[6] ซิ่งจื่อ (杏子) ผลแอปริคอท (apricot) 

 

 

[7] ยาลูกกลอนจักรพรรดิฝางเฟิง (防风通圣丸) เป็นยาที่มีคุณสมบัติขับความร้อนและขจัดสารพิษในร่างกาย 

 

 

[8] ยศผิ่นชั้นสี่ขั้นเจิ้ง (正四品) เป็นยศขุนนางผิ่นชั้นสี่ขั้นที่เจ็ด จากระบบยศขุนนางผิ่นทั้งหมดเก้าชั้นสิบแปดขั้น โดยยศผิ่นชั้นสี่ขั้นเจิ้งนี้จะต่ำกว่ายศผิ่นชั้นสามขั้นฉง (从三品) แต่สูงกว่ายศผิ่นชั้นสี่ขั้นฉง (从四品)