ขณะเดินกลับมาถึงยังถนนหลักเขาก็พลันหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น นั่นทำให้ความโกรธของโจวเหว่ยชิงปะทุเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แม้ว่าเขานั้นจะรอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์ แต่ความประทับใจต่อคู่หมั้นของตนกลับดิ่งลงเหว ถ้าหากไม่บังเอิญได้พบกับไข่มุกสีดำนั่น เด็กหนุ่มก็อาจจะกลายเป็นศพคาป่าดาราไปแล้ว
“ตี้ฟู่หยา รอก่อนเถอะ! สักวัน ข้าจะชำระแค้นและทำให้เจ้าเสียใจในสิ่งที่ทำกับข้าวันนี้” เขากล่าวอย่างอาฆาตมาดร้าย โจวเหว่ยชิงไม่ได้โกรธขนาดนี้มานานแล้ว แม้กระทั่งกลุ่มคนที่เคยหัวเราะเยาะเกี่ยวกับลมปราณอุดตันของตนตั้งแต่สมัยเด็กๆ เขาก็ยังไม่โกรธแค้นพวกมันถึงเพียงนี้ นั่นก็เพราะอย่างน้อยพวกมันก็ไม่เคยลงมือทำร้ายโดยตรง ผิดกับตี้ฟู่หยาที่หมายกระทั่งจะเอาชีวิตเขา และเหตุผลที่ทำเช่นนั้นก็เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด เห็นได้ชัดว่าโจวเหว่ยชิงนั้นเป็นบุคคนประเภทสิบปีชำระแค้นก็ยังไม่สาย
ในขณะที่เข้าใกล้เขตเมืองหลวงอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เด็กหนุ่มก็พลันสงบสติลงได้อย่างช้าๆ ขณะนี้โจว เหว่ยชิงสวมใส่เพียงแค่เสื้อคลุมด้านนอก ส่วนข้างในนั้นไร้สิ่งปกปิด โชคยังดีที่เขายังพอมีเหรียญทองจำนวนหนึ่งเหลืออยู่ติดกายบ้างเล็กน้อย เนื่องจากบิดามักจะเข้มงวดกับเด็กหนุ่มเสมอ นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงไม่ได้มีเงินทองให้ใช้สอยมากนัก
“ข้าควรจะกลับบ้านดีมั้ยนะ?” โจวเหว่ยชิงพลันหยุดกรุ่นคิด “ไม่ ข้ากลับบ้านแบบนี้ไม่ได้แหงๆ นางมารร้ายตี้ฟู่ หยาจะต้องวิ่งแจ้นไปฟ้องท่านพ่อของนางว่าข้าเป็นพวกถ้ำมองแอบดูนางอาบน้ำ และถ้าตาแก่ที่บ้านได้ยินเรื่องนี้เข้า ชีวิตข้าคงจบไม่สวยแน่ๆ” เมื่อนึกถึงนัยน์ตาดุดันของผู้เป็นบิดา เขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว เด็กหนุ่มเติบโตขึ้นมาด้วยการสั่งสอนด้วยกำปั้นของบิดา เมื่อใดก็ตามที่ก่อเรื่อง โจวเหว่ยชิงก็จะได้รับหมัดเป็นสิ่งตอบแทนเสมอ ครั้งนี้ หากตาแก่นั่นได้ยินเรื่องที่เขาแอบดูองค์หญิงอาบน้ำเข้าล่ะก็ แน่นอนว่าจะต้องหลบหลีกโทษไม่พ้นเป็นแน่ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย ช่วงนี้เขาจึงยังไม่ควรจะกลับบ้าน
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากไม่กลับบ้าน แล้วเขาควรจะไปที่ไหนดีล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เหลือเงินติดกายเพียงเล็กน้อยเช่นนี้? โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกว่าจู่ๆ ตัวเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แม้จะมีรูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรง แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กอายุ 13 และไม่มีทักษะใดๆ ให้ใช้หาเลี้ยงชีพได้เลย ถึงแม้คิดจะหนีออกจากบ้าน แต่เขาก็จะใช้ชีวิตอยู่รอดข้างนอกเพียงลำพังได้หรือ ชั่วขณะหนึ่ง โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมา
แม้จะมีความคิดวิตกกังวลอยู่มากมาย แต่เขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไปยังประตูเมืองหลวง
“เอ๋? ทำไมถึงมีคนมากมายอย่างงี้ล่ะ?” ทันทีที่ประตูเมืองปรากฏอยู่เบื้องหน้า โจวเหว่ยชิงก็พลันตระหนักได้ว่ามีฝูงชนจำนวนหลายร้อยยืนออกันอยู่สองฝั่งของประตูซึ่งล้วนแล้วแต่มีทหารคอยคุมกำกับอยู่บริเวณรอบๆ อีกทีหนึ่ง
เกิดอะไรขึ้นที่นี่? ในหัวของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยความสงสัย เขาพลันเร่งเดินไปมุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น โชคดีที่แม้ว่าบริเวณนั้นจะเต็มไปด้วยผู้คน แต่มันก็ยังไม่แออัดขึ้นขั้นเดินแทรกผ่านไม่ได้ เด็กหนุ่มจึงสามารถเบียดตัวไปข้างหน้าด้วยความทุลักทุเล
เบื้องหน้าฝูงชนนั้นมีโต๊ะตัวยาวเรียงรายเป็นแถวหน้ากระดาน แต่ละโต๊ะก็มีกลุ่มคนมุงอยู่เป็นกลุ่มๆ ฉากหลังโต๊ะเหล่านั้นมีอักษรติดไว้ชัดเจนว่า “รับสมัครพลทหาร” ข้างใต้นั้นยังเขียนกำกับว่า
อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ต้องการเกณฑ์ทหารใหม่เข้าร่วมกองทัพ3000 นายเพื่อคุ้มกันชายแดน
รับสมัครชายฉกรรจ์ที่มีอายุ16ถึง26ปี สุขภาพแข็งแรงโดยกำเนิด หรือมีพลังปราณสวรรค์
“ประเทศชาติต้องมาก่อน ทหารกล้าจงเข้าร่วมกับกองทัพ
เพราะการปกป้องอาณาจักรและครอบครัวย่อมเป็นหน้าที่ของลูกผู้ชาย”
สำหรับบุคคลที่มีพลังปราณสวรรค์ที่ประกาศนั้นกล่าวถึงนั้นย่อมหมายถึงคนที่ยังมีพลังปราณขั้นพื้นฐานระดับ 1 หรือ 2 นั่นเอง เพราะถ้าหากว่าพวกเขาบรรลุไปถึงระดับ 3 และปลุกพลังมณีขึ้นมาได้แล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการเกณฑ์ทหารในครั้งนี้ หากแต่สามารถเข้าร่วมโรงเรียนฝึกทหารหรือแม้แต่โรงเรียนสำหรับจ้าวมณีได้โดยตรงทันที ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะมีอนาคตอันรุ่งโรจน์มากกว่านั่นเอง
โดยปกติแล้ว พลังของมณีนั้นมักจะตื่นขึ้นก่อนที่คนๆ นั้นจะอายุครบ 16 ปี หากว่าครบกำหนดอายุแล้วพลังไม่ตื่นขึ้นมา เป็นไปได้ว่าในอนาคตก็ยากที่จะปลุกพลังมณีได้อีก ดังนั้น สรุปง่ายๆ ก็คือ การเกณฑ์ทหารในครั้งนี้จึงเป็นการรับสมัครทหารธรรมดาๆ นั่นเอง
เข้าร่วมกองทัพงั้นรึ? ขณะเหม่อมองไปยังป้ายประกาศ โจวเหว่ยชิงก็พลันรู้สึกว่าถูกชักจูงโดยคำชักชวนเหล่านั้น
เดี๋ยวนะ ถ้าหากเขาสมัครเป็นทหารในกองทัพ เขาก็ไม่ต้องกลับบ้านแล้วนี่! เขาจะได้รับเงินเดือนแถมยังถูกกองทัพเลี้ยงดูอีก! ทว่าก็อาจจะต้องสร้างชื่อปลอมๆ ขึ้นมาเสียก่อนเพื่อไม่ให้คนจับได้ อย่างน้อยต่อไปนี้ตาแก่นั่นก็จะด่าข้าว่าเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว! ฮ่าๆ นี่มันคือโอกาสทองที่สวรรค์ประทานให้ชัดๆ
โจวเหว่ยชิงยังอายุน้อยและมัวแต่หลงดีใจกับสิ่งที่ตนวาดฝัน จึงไม่ทันได้พิจารณาให้ถี่ถ้วนถึงความยากลำบากในการเข้าร่วมกองทัพ ท้ายที่สุดแล้วประสบการณ์อันน้อยนิดนั่นจึงทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น ยิ่งรวมกับการที่เมื่อกลับบ้านไปแล้วจะต้องพบเจอกับการถูกล้อเลียนว่าเป็นคนไร้ประโยชน์และการกวดขันของบิดาอีก ทั้งหมดจึงทำให้เขาตัดสินใจที่จะไม่กลับบ้าน
หลังจากตัดสินใจได้ โจวเหว่ยชิงก็เบียดตัวไปข้างหน้า ก่อนจะกล่าวกับทหารกองทะเบียนคนหนึ่ง “พี่ชาย ข้าอยากสมัคร ให้ข้าสมัครเถิด!”
แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนหลายร้อยคนเกาะกลุ่มมุงดูอยู่รอบๆ แต่แท้จริงแล้วจำนวนผู้สมัครกลับมีเพียงหยิบมือเท่านั้น สาเหตุก็มาจากการที่นครเกาทัณฑ์สวรรค์เป็นเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของอาณาจักร มาตรฐานการครองชีพของผู้คนที่นี่จึงสูงกว่าที่อื่นๆ และเนื่องจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เป็นอาณาจักรเล็กๆ ดังนั้นจึงมีการปะทะกับอาณาจักรอื่นๆที่อยู่รายรอบบริเวณแถบชายแดนบ่อยครั้ง นั่นจึงทำให้อาชีพทหารเป็นอาชีพที่เสี่ยงชีวิตและอันตรายมาก แน่นอนว่าอาชีพนี้ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักสำหรับคนทั่วไป นับจะประสาอะไรกับพวกขุนนางที่มีอันจะกินทั้งหลายในเมืองหลวงกันล่ะ
มีทหารประมาณ 20 นายที่ทำหน้าที่นั่งรับสมัครอยู่หลังโต๊ะ พวกเขาเป็นทหารกรำศึกที่มีตำแหน่งหัวหน้านายกองขึ้นไป นายทหารที่โจวเหว่ยชิงกำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นมีอายุราวๆ 30 ปี และแม้ว่าเขาจะนั่งอยู่เฉยๆ แต่ร่างกายสูงใหญ่ของเขาก็เปล่งรัศมีความแข็งแกร่งออกมาชัดเจน นายกองคนนี้มีเค้าหน้าเฉพาะกึ่งเบื่อหน่ายกึ่งเจ้าเล่ห์ ซึ่งแสดงถึงประสบการณ์ในกองทัพเป็นเวลานาน
“เฮ้ย! ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอนี่ แกจะสมัครทหารงั้นเรอะ?” เมื่อเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วก็มีคนขยับเข้ามาใกล้โต๊ะของเขา นายกองคนนั้นก็พลันรู้สึกดีใจจนเนื้อเต้น มีทหารกว่า 20นายตั้งโต๊ะรับสมัครอยู่ แต่โจวเหว่ยชิงกลับเลือกโต๊ะของเขา นั่นทำให้เขารู้สึกได้หน้าเป็นอย่างมาก
“ใช่แล้ว! ข้าอยากสมัครเป็นทหาร!” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเสียงดังฟังชัด เมื่อมองไปยังเหล่านายกองที่แต่งตัวเต็มยศในชุดเกราะ โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกว่าพวกเขานั้นเปล่งรัศมีความน่าเกรงขามออกมา ซึ่งนั่นทำให้เด็กหนุ่มยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าการเข้าร่วมกองทัพนั้นเป็นความคิดที่ถูกต้อง
นายกองคนนั้นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะถามเขา “เยี่ยม! แล้วเจ้าอยากจะเข้าร่วมกองทหารไหน?”
“เอ๋?” เม้ว่าบิดาของโจวเหว่ยชิงจะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ แต่ว่าตัวเขาเองกลับไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับระบบการจัดการภายในกองทัพเลย ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงถามเสียงเบาๆ ว่า “มันต่างกันยังไงรึพี่ชาย?”
“แน่นอนว่าย่อมแตกต่างกัน แม้ว่าการฝึกขั้นพื้นฐานของทหารทุกกองจะเหมือนๆ กัน แต่คุณสมบัติของทหารที่แต่ละกองต้องการ การทดสอบและการฝึกฝนนั้นย่อมแตกต่างกันไปตามกองกำลังที่ตนสังกัดอยู่
ยกตัวอย่างเช่น คนที่อยู่ในกองทหารราบ ก็เน้นไปที่พละกำลังเพราะจะต้องอยู่ในสนามรบที่วุ่นวายและต้องวิ่งพล่านไปทั่วตลอด พละกำลังที่มากกว่าคนปกติกับฝีเท้าเร็วจะทำให้มีโอกาสรอดชีวิตในสนามรบมากขึ้น แต่จริงๆ แล้วแทบทุกหน่วยก็ต้องเริ่มต้นจากกองทหารราบนั่นแหละ ทหารหลายๆ นายก็เริ่มฝึกที่หน่วยนี้เป็นหน่วยแรก แน่นอนว่าย่อมต้องมีทหารหน่วยพื้นฐานอื่นๆ อีกหลายหน่วย ตัวอย่างก็เช่น ทหารหน่วยลำเลียงอาวุธ หน่วยพลาธิการ และหน่วยจัดเตรียมอาหาร แต่ถึงยังไงซะ หน่วยทหารพวกนั้นก็ไม่ค่อยจะก้าวหน้าในอาชีพการงานเท่าไหร่หรอกนะ ข้าขอบอกเจ้าไว้เลย” ขณะที่นายกองคนนั้นกล่าว เขาก็เบ้ปากด้วยความดูหมิ่นเมื่อพูดถึงทหารกองหลังๆ
ทันทีที่ได้ยินเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดในสนามรบ ความกระตือรือร้นก่อนหน้านี้ของโจวเหว่ยชิงก็ค่อยๆ ดับมอดลง อา! ใช่แล้ว การเข้าร่วมกองทัพย่อมหมายถึงต้องต่อสู้ในสนามรบจริงๆ แต่เขาไม่ได้มีฝีมือมากนัก หากจะเอาชีวิตไปทิ้งกลางสนามรบเหมือนเป้าซ้อมปืนใหญ่ก็คงจะไม่คุ้มค่าแน่
“อะแฮ่ม พี่ชาย ข้าขอเวลาคิดสักเล็กน้อยจะได้ไหม?” มนุษย์ล้วนแล้วแต่กลัวตายกันทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจวเหว่ยชิงที่มีอายุเพียงแค่ 13 ปี ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วร่างกายเขาจะดูเหมือนหนุ่มอายุ 16 ก็ทีเถอะ
…………………………………………………………