ตอนที่ 5 อย่าได้ตามข้าอีก

ปฏิญญาค่าแค้น

หลินหลันรู้สึกว่าจำเป็นต้องพูดอย่างเปิดอกกับเป่าจู้เสียที 

 

 

“พี่เป่าจู้ วันหลังพี่ไม่ต้องคอยตามข้าอีกแล้ว” 

 

 

ลองเปลี่ยนมาเป็นยุคปัจจุบันดูสิ หากหนุ่มหน้าไหนกล้าตามวอแวนางไม่เลิกรา นางไม่ได้เกรงใจเช่นนี้แน่ คงได้ไล่ตะเพิดเข้าให้ แต่ทว่านี่คือยุคโบราณ เป่าจู้เองก็ไม่ได้มีจิตใจประสงค์ร้าย เขาเพียงแค่คิดอย่างบริสุทธิ์อยากจะทำดีต่อนางก็เท่านั้น 

 

 

“จะได้ไงกัน? หากข้าไม่ตามเจ้าแล้วข้าจะปกป้องเจ้าได้อย่างไรกัน” เป่าจู้เอ่ยด้วยท่าทีที่ค่อนข้างจริงจัง ราวกับว่าการปกป้องหลินหลันคือภารกิจอันแสนภาคภูมิใจในชีวิตเขา เป็นหน้าที่ที่เขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 

 

 

หลินหลันมองดูเขาที่แสดงอารมณ์เคร่งขรึมราวกับว่ากำลังปฏิญาณตน นางรู้สึกจนปัญญาชนิดที่ว่าเหมือนไก่กับเป็ดคุยกัน เฮ้ยเฮ้ย! เป่าจู้เลี้ยงเป็ด แต่นางไม่แม้แต่จะเลี้ยงไก่ด้วยซ้ำ หลินหลันรีบแก้ไขความคิดผิดๆ ของนาง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความอ่อนโยน “พี่เป่าจู้ ข้าขอบคุณพี่ที่เป็นห่วงเป็นใยข้า แต่ว่า…พวกเราไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว หากเดินไปด้วยกันคงได้ถูกผู้อื่นเขาติฉินนินทาเอาได้” 

 

 

เป่าจู้แสดงสีหน้าเพิกเฉย “ปากนั้นอยู่บนร่างกายผู้อื่น ผู้อื่นอยากจะพูดก็ปล่อยให้เขาพูดกันไป” ไม่วายตอนท้ายยังเอ่ยเสริมขึ้นอีกประโยค “พวกเราไม่ได้ทำอะไรเสียหายซะหน่อย” 

 

 

หลินหลันอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่เขา เอ่ยออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “พี่เป่าจู้ การต้องตกเป็นข่าวลือมันเป็นเรื่องที่แย่มากเข้าใจไหม พี่ยังไม่ได้สู่ขอ ข้าก็ยังไม่ได้แต่ง หากถูกผู้คนนำไปล่ำลือนินทาเข้าแม้เพียงเล็กน้อย ข้าคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้ว” 

 

 

เป่าจู้ตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างติดตลก “งั้นเจ้าก็แต่งงานกับข้าสิ!” 

 

 

มองดูราวกับยังไงก็ได้ทั้งนั้น แต่ทว่าความคาดหวังและความปรารถนาที่กำลังเปล่งกระกายอยู่ในดวงตาของเขาเผยให้เห็นความคิดที่แท้จริงในใจของเขา แม้ว่าเป่าจู้จะรู้ดีว่าเขาไม่คู่ควรกับหลินหลัน หลินหลันเป็นหงส์ที่บินอยู่บนท้องฟ้า ทว่าจินเป่าจู้เป็นเพียงเป็ดตัวหนึ่งในบ่อน้ำ แล้วเป็ดจะจับคู่กับหงส์ได้อย่างไรกัน แต่ทว่าหากพระเจ้าสามารถมอบความรักครั้งนี้ให้กับเขาได้ เป่าจู้ก็ขอสาบานว่า เขาจะให้ความสำคัญต่อหลินหลันมากเสียยิ่งกว่าชีวิตของเขาเอง 

 

 

หากเป็นผู้อื่นที่พูดอย่างไร้มารยาทออกมาเช่นนี้แล้วล่ะก็ หลินหลันคงได้ด่ากราดใส่เขาไปนานแล้ว ทว่าเป่าจู้นั้นแตกต่างออกไป แม้บางครั้งจะรู้สึกว่าเป่าจู้นั้นเป็นบุคคลที่แสนน่ารำคาญผู้หนึ่ง แต่หากพูดออกมาด้วยใจจริง เป่าจู้นั้นดีต่อนางมาก เมื่อนางมีความสุข เป่าจู้ก็ดูมีความสุขเสียยิ่งกว่านาง เมื่อนางอารมณ์ไม่ดี เป่าจู้ก็เป็นเสมือนกระโถนรองรับอารมณ์ของนาง เมื่อมองไปยังใบหน้าที่มีทั้งมีความหวังและความวิตกกังวลของเป่าจู้ หลินหลันเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะด่าว่าเขาด้วยคำพูดที่ไม่ดีอีก จึงพูดกับเขาออกไปอย่างใจเย็น “พี่เป่าจู้ คราวหลังอย่าได้เอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาอีก ไม่เช่นนั้นแม้แต่ความเป็นเพื่อนพวกเราก็คงเป็นไม่ได้แล้ว” 

 

 

เป่าจู้ถูกหลินหลันแสดงสีหน้าเย็นชาใส่เช่นนี้ ตลอดจนน้ำเสียงที่ไม่แยแสนั้นทำให้เขาตกใจ หลายปีที่ได้รู้จักกันมานี้ เขาไม่อาจทำความเข้าใจเรื่องอารมณ์ของหลินหลันได้เลย เมื่อหลินหลันเอ่ยดุด่าจนขี้เกียจจะดุด่าแล้ว นั่นก็หมายความว่าสถานการณ์เลวร้ายมากแล้ว เป่าจู้เริ่มกังวลเป็นอย่างยิ่ง จึงร้อนรนเอ่ยขอโทษหลินหลัน “หลินหลัน เจ้า…เจ้าอย่าโกรธเลยนะ ข้าผิดไปแล้ว เจ้าก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดอะไรออกไป ข้า…ที่จริงแล้วข้า…” 

 

 

มองดูหยาดเหงื่อของเขาที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากด้วยความประหม่า หลินหลันจึงจงใจดึงหน้าเคร่งเครียดอยู่เช่นนั้น จะยังไงก็ช่างก็จำเป็นต้องกำราบเขาซักระยะ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่รู้จักจำ  

 

 

“ไม่อยากให้ข้าโกรธ คราวหลังก็อย่าตามข้าอีก” หลินหลันเอ่ยเตือนเขา แล้วหันหลังออกเดินไป 

 

 

“อ๋า?” เป่าจู้ตกตะลึง ในใจรู้สึกเพียงแค่อึดอัดและสับสน ยกมือหนึ่งขึ้นแล้วดึงริมฝีปากของตนเอง แอบดุด่า ใครใช้ให้เจ้าปากเสีย สมควร… 

 

 

หลินหลันเดินไปเพียงสองเก้าก็หันหลังเดินกลับมาอีกครั้ง แล้วยื่นมือออกมา “นำไข่เป็ดมาให้ข้า” 

 

 

“อ๋า?” เป่าจู้เผยสีหน้าตระหนกตกใจ 

 

 

หลินหลันกรอกตาใส่เขา เอ่ยออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก “จะอ๋าอะไรนักหนา? ถ้ายังจะอ๋าอีกล่ะก็เชื่อไหมว่าข้าจะใช้ไข่เป็ดปาใส่พี่เสียเลย” 

 

 

เป่าจู้ลุกลี้ลุกลนนำไข่เป็ดมอบให้หลินหลันทันที 

 

 

หลินหลันรู้สึกเพียงว่ามือของนางกำลังจมลง ตะกร้าไข่เป็ดนี่หนักเอาการ 

 

 

“พี่กลับไปช่วยท่านป้าทำงานเถอะ ข้าจะช่วยนำไข่เป็ดนี้ไปขายให้” หลินหลันพูดออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ 

 

 

เป่าจู้ตะลึงไปชั่วครู่แล้วจึงเข้าใจความหมายของหลินหลัน เขาฉีกยิ้มแห้งๆ ออกมาพลางเกาหัว “หลิน…หลินหลัน เจ้าไม่โกรธข้าแล้วหรือ?” 

 

 

หลินหลันหยิบไข่เป็ดขึ้นมาทำท่าจะปาไปที่เขา “พี่ยังจะไม่รีบไปอีกใช่ไหม” 

 

 

เป่าจู้รีบก้มหัวลง “ได้ได้ ข้าไปแล้ว รีบไปเดี๋ยวนี้เลย” 

 

 

เป่าจู้เดินสามก้าวแล้วหันกลับมามอง ขณะที่หลินหลันก็มองเขาอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งเห็นว่าเขาเดินไปไกลแล้ว และเมื่อมั่นใจว่าเป่าจู้จะไม่กล้าเดินกลับมา จึงรีบกลับตัวเตรียมตัวออกเดินทางต่อไป 

 

 

“หลินหลัน…” 

 

 

หลินหลันสุดจะทน เขายังกล้ากลับมาอีกหรือ หลินหลันเตรียมพร้อมที่จะปาไข่ใส่เขาให้ตายไปข้าง 

 

 

“อะไรอีก?” หลินหลันกลับหลังหันมาเอ่ยด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว 

 

 

เป่าจู้เองก็ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ เขาชี้ไปที่ตะกร้าเป็ดนั่นแล้วเอ่ยขึ้น “หลินหลัน ในกระเป๋าผ้าที่วางอยู่บนนั้นมีไข่ไก่อยู่ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบกินไข่เป็ด จึงตั้งใจต้มไข่ไก่มาให้เจ้าเอาไว้กินระหว่างทาง” เป่าจู้หลังจากพูดจบก็ไม่กล้าโอ้เอ้อยู่ต่อ เขาหันกลับและวิ่งออกไปทันที มิฉะนั้นหลินหลันคงได้หยิบไข่เป็ดขึ้นมาปาใส่เขาจริงๆ แน่ 

 

 

เมื่อมองเห็นเป่าจู้ที่กำลังวิ่งไปอย่างรวดเร็ว หลินหลันก็อดที่จะหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ ขณะเดียวกันหางตาก็เหลือบไปเห็นหลี่ซิ่วฉายซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลออกไปนัก และเมื่อเขาเห็นว่านางเห็นเขาเข้าให้แล้ว เขาจึงรีบหันหน้าหนีไปอย่างรวดเร็วแล้วแสร้งทำเป็นมองทิวทัศน์ 

 

 

ตามราวีไม่เลิกเลยนะ หลินหลันกรอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วหิ้วไข่เป็ดเดินต่อไป 

 

 

ตะกร้าไข่เป็ดนี่หนักชะมัด! หลินหลันที่เดินไปได้ซักระยะกำลังรู้สึกว่าปวดเมื่อยจนมือจะหักอยู่แล้ว ไม่อาจหิ้วต่อไปได้จริงๆ ทำได้เพียงวางมันลง แล้วนั่งพักลงข้างทาง สาดสายตามองไปเบื้องหน้า จากนี่ไปถึงเขตเมืองเฟิงอาน อย่างน้อยๆ ก็เป็นระยะทางอีกห้าหมี่แหนะ! ยิ่งมองไปที่ตะกร้าไข่เป็ดนั่นแล้ว ในสมองของหลินหลันก็เกิดความคิดที่ว่าอยากจะโยนมันลงน้ำไปเสีย หลินหลันถอนหายใจอย่างหดหู่ นี่คงเป็นจุดจบของการทำดีโดยไม่ดูกำลังของตัวเองสินะ 

 

 

ขณะที่ยังคงคิดทบทวนไปมา กลับเห็นหลี่ซิ่วฉายกำลังเอามือไพล่หลังแล้วเดินผ่านสายตานางไปอย่างสบายอกสบายใจ 

 

 

หลินหลันประหลาดใจยิ่งนัก ชายหนุ่มผู้นี้ช่างไม่มีจริยธรรมเกินไปแล้ว! เมื่อตอนที่เขามีปัญหา ก็ปั้นหน้าร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ตอนนี้ผู้มีพระคุณกำลังเผชิญปัญหาอันเล็กน้อย ทว่าเขากลับกล้าเมินเฉย? 

 

 

อาจเป็นเพราะรู้สึกได้ถึงสายตาพร้อมเขมือบคนทั้งคนของหลินหลัน หลี่ซิ่วฉายจึงหยุดเดินลง แล้วหันกลับมามองนาง 

 

 

หลินหลันหันหนีอย่างเหย่อหยิ่งทันที ทำเป็นไม่สนใจ แล้วค่อยๆ หยิบไข่ไก่ซึ่งอยู่ในถุงผ้าออกมาแกะเปลือกกิน 

 

 

เอ๋? เขาเดินเข้ามาแล้ว หรือว่าเขาเกิดหิวขึ้นมา อยากจะขอแบ่งไข่ไก่ของนางไปกิน? หากเขาเอ่ยขอแบ่งจากนางจริงๆ นางควรจะให้หรือไม่ให้ดีนะ 

 

 

ขณะที่กำลังคิดอย่างสับสน เงาหนึ่งก็โน้มลงมา 

 

 

หลินหลันเงยศีรษะขึ้นสบตาเข้ากับแววตาที่แสนสงบนิ่งของเขา การที่เขามองลงจากตำแหน่งที่สูงกว่าเช่นนี้ บวกกับลักษณะหล่อเหลาภายใต้ท่าทีเมินเฉย และอารมณ์ที่ดูสงบนิ่งแต่คงไว้ซึ่งความสง่างาม หลินหลันเกิดรู้สึกชื่นชมเขาขึ้นมากะทันหัน และด้วยความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางไม่ชอบเอาเสียเลย ตอนก่อนหน้าชายหนุ่มผู้นี้ยังเป็นจอมทรยศและเจ้าเล่ห์ผู้หนึ่ง ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็เผยท่าทีเย็นชาและสง่างามออกมาเสียดื้อๆ ในขณะที่นางนั่งอยู่บนพื้น ในมือของนางกำลังถือไข่ไก่ซึ่งถูกกัดไปแล้วหนึ่งคำ ความแตกต่างระหว่างภาพลักษณ์นี้ ไม่ต่างจากก้อนเมฆกับขี้โคลน! 

 

 

“เจ้า…หิวแล้ว?” หลินหลันตัดสินใจยื่นไข่ไก่ขึ้นไปให้ เพื่อแสดงออกว่านางเป็นคนใจกว้างและไม่คิดเล็กคิดน้อย ใช้ความมีน้ำใจแลกกับสถานการณ์ที่รู้สึกได้ถึงความพ่ายแพ้ 

 

 

ใครจะไปรู้ว่าหลี่ซิ่วฉายจะเหลือบมองมายังไข่ไก่ในมือของนาง แล้วหน้าก็แดงขึ้น 

 

 

เอ๋? เขายังรู้จักละอายใจงั้นหรือ หลินหลันแอบพึงพอใจเบาๆ เพียงแค่ไข่ไก่ฟองเดียวก็เล่นงานเขาได้ ทั้งๆ ที่ตนเองไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าที่ยื่นออกไปนั้นคือไข่ไก่ที่นางกัดเข้าไปแล้วหนึ่งคำ 

 

 

ทันใดนั้นเองเขาก็โน้มตัวลง ยื่นมือไปยังตะกร้าที่มีไข่เป็ด หลินหลันยังคงคิดว่าเขาไม่รู้จักเกรงใจโดยต้องการจะหยิบมันด้วยตนเอง ใครจะไปรู้ว่าหลี่ซิ่วฉายกลับหิ้วตะกร้าขึ้นมา กลับหลังหันแล้วก็ออกเดินไป 

 

 

เอ่อ! หลินหลันถึงกับตกตะลึง ที่แท้เขาก็เพียงแค่ต้องการช่วยนางหิ้วตะกร้า ที่แท้ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเฉยเมยของเขาก็ยังแอบซ่อนจิตใจที่รู้จักช่วยเหลือผู้อื่นซึ่งควรค่าแก่การชื่นชม 

 

 

มองดูเขาที่กำลังถือตะกร้าเดินไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่เป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่ายิ่งเดินก็ยิ่งก้าวไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น หลินหลันรีบร้อนเก็บข้าวของแล้ววิ่งตามไป