หลินฉีตรวจดูประวัติของฉินหร่านมาก่อนหน้านี้แล้ว 

 

 

เด็กสาวคนนี้เละเทะสุดๆ ผลการเรียนแย่ที่สุดในโรงเรียน ตีรันฟันแทงมานับครั้งไม่ถ้วน แถมช่วงเวลาหนึ่งปีที่ว่างไปก็ไม่ได้มีเหตุอันควร 

 

 

โรงเรียนอีจงเคร่งครัดกับการสอบเลื่อนชั้นของนักเรียนในโรงเรียนเป็นอย่างมาก ประวัติการเรียนของฉินหร่านมันแย่เกินไปจนผู้อำนวยการติงไม่สามารถรับเธอเข้าเรียนได้ 

 

 

เขารู้ว่าฉินหร่านอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะแย่ถึงขนาดที่อาจารย์ยังรับไม่ได้ 

 

 

หลินฉีจึงคิดหาโรงเรียนเอกชนที่อื่นให้แทน 

 

 

แต่ตอนนี้เรื่องชักแปลกๆ 

 

 

ฉินอวี่พ่นหัวเราะ ขณะที่หันหน้าไปหาพี่สาว “พี่บอกว่า…มีจดหมายรับรองจากอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนงั้นเหรอ” 

 

 

โรงเรียนอีจงเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเกียรติประวัติมายาวนาน คนที่สามารถไต่เต้าจนเป็นถึงอาจารย์ใหญ่ได้ ต้องเป็นคนที่มีอำนาจเยอะทีเดียว 

 

 

แม้แต่หลินฉีเองก็ยังทำได้เพียงติดต่อผู้อำนวยการติง 

 

 

พื้นเพของฉินหร่านไม่ได้เป็นความลับอะไร เด็กผู้หญิงที่ไม่ได้มีเส้นสายหรือรางวัลอะไรเลยจะรู้จักกับอาจารย์ใหญ่โรงเรียนดังได้อย่างไรกัน 

 

 

“ใช่” ฉินหร่านเงยหน้าขึ้นมามองน้อง แล้วตอบห้วนๆ 

 

 

เธอเอี้ยวตัวไปด้านหลัง แล้วหันไปคว้ากระเป๋าที่ห้อยบนเก้าอี้เพื่อดึงซองจดหมายสีขาวออกมา 

 

 

“พอได้แล้ว” หนิงฉิงตบโต๊ะแล้วตะโกนออกมา “ใครสอนให้โกหก ไม่อายตัวเองมั่งหรือไง” 

 

 

ผู้เป็นแม่ทำให้ตัวเองต้องมาขายหน้าเพราะไปขอร้องสามีให้ช่วยลูกเจ้าปัญหา โดยไม่คิดว่าลูกสาวเธอจะเลวร้ายขนาดนี้ 

 

 

ลูกคนนี้ยังไร้ค่าเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยจริงๆ 

 

 

“คุณแม่ ระวังสุขภาพด้วยค่ะ” ลูกสาวคนเล็กหันหน้าไปหน้าไปทางหนิงฉิงและลูบหลังให้ผู้เป็นมารดา เธออึกอักๆก่อนจะพูดขึ้นว่า “บางทีพี่อาจมี….จากอาจารย์ใหญ่” 

 

 

หนิงฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “พี่ของลูกทำเรื่องไร้สาระไว้เยอะ อย่ามาแก้ต่างให้สิ” 

 

 

หญิงผู้นี้ไม่เคยลืมเรื่องที่สามีเก่าเคยขู่ให้รับตัวลูกสาวคนโตมาเลี้ยง 

 

 

หลินจิ่นเซวียนกลับมาพอดี เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุรอบๆ ตัว ชายหนุ่มยิ้มก่อนถามขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ” 

 

 

ฉินอวี่รีบแจ้นไปหาพี่ชายที่แสนดี แล้วเล่าเรื่องให้เขาฟัง 

 

 

เป็นเรื่องที่ฟังแล้วไม่ค่อยเข้าท่าเลย 

 

 

ฉินหร่านทานโจ๊กจนหมด แล้วถือจดหมายไว้ในมือ หยิบกระเป๋า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน “หนูจะไปโรงเรียนแล้ว” 

 

 

เด็กสาวสวมใส่เสื้อสีขาวเรียบๆ หลวมกว่าขนาดตัว 

 

 

แล้วเดินออกจากบ้านไปโดยไม่รีบเร่ง 

 

 

พูดง่ายๆ ว่า สมาชิกใหม่คนนี้ไม่สนใจกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในบ้านเลย 

 

 

หนิงฉิงถูกทิ้งให้นั่งหัวเสียอยู่ตรงนั้น 

 

 

“พี่เขาจะไปไหนคะ” ฉินอวี่ถาม “ที่จริง แค่ยอมรับผิดก็จบ ไม่ใช่เรื่องญะ-…” 

 

 

หลินจิ่นเซวียนพูดตัดบทขึ้นมาทันที “พี่เธอไม่ได้โกหกหรอก” 

 

 

ทั้งหลินฉี ฉินอวี่และคนอื่นๆ ต่างไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด 

 

 

ชายหนุ่มจำตราประทับที่อยู่บนจดหมายได้ ในขณะที่กำลังนวดขมับตัวเอง “นั่นเป็นตราประทับส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่สวีครับ ผมเคยเห็นก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในสภานักเรียน” 

 

 

ทุกคนต่างเงียบพูดไม่ออก 

 

 

หลินฉีไม่ได้ปริปากพูดอะไร แต่ในใจเขารู้สึกอึ้งกับเรื่องนี้เช่นกัน 

 

 

ส่วนหนิงฉิงรู้สึกช็อก เธอกำลังพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่ลูกชายคนโตของบ้านเพิ่งพูดไป 

 

 

ก่อนที่ภรรยาจะอารมณ์เย็นลง ผู้เป็นสามีถามขึ้น “หร่านหร่านรู้จักกับอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนอีจงด้วยเหรอ” 

 

 

น้องเล็กของบ้านคว้ากระเป๋า ทำปากมุบมิบๆ ก่อนจะเดินจากบ้านเพื่อไปเรียน ท่าทางของเธออ่านได้ยาก 

 

 

** 

 

 

ณ โรงเรียนอีจง 

 

 

ในห้องอาจารย์ใหญ่ 

 

 

ชายสูงวัยสวมแว่นคนหนึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะ เสื้อผ้าของเขาเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว ภายใต้กรอบแว่นตาคู่นั้นคือดวงตาของชายที่เต็มไปด้วยความสุขุมนุ่มลึก 

 

 

ผู้หญิงและผู้ชายอีกคนที่ดูมีอายุมากกว่าเธอเล็กน้อยเดินเข้ามาในห้องอาจารย์ใหญ่ ครูหญิงกล่าวทักทายอย่างสุภาพ “อาจารย์ใหญ่สวี” 

 

 

คิ้วของเธอพันกันยุ่ง แววตานิ่งไร้ความรู้สึก มุมปากตกลงเล็กน้อย หน้าตาของเธอดูบูดบึ้ง และเห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนขวานผ่าซาก 

 

 

นี่คืออาจารย์ประจำชั้นห้องมัธยมสามทับหนึ่ง อาจารย์หลี่ไอ๋หรง เธอเป็นครูประจำชั้นผู้หญิงคนเดียวในโรงเรียนอีจง 

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีวางปากกาลง แล้วมองไปยังเด็กผู้หญิงที่ชันขาขึ้นมาอย่างไร้มารยาท ซึ่งนั่งอยู่ตรงมุมห้อง “อาจารย์หลี่ เด็กนักเรียนที่นั่งอยู่ตรงโน้นน่ะ ผมอยากให้เธอเข้าเรียนห้องอาจารย์” 

 

 

ชายอาวุโสกล่าวสั้นๆ 

 

 

เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากที่จะเห็นนักเรียนใหม่เข้ามาเรียนชั้นมัธยมสาม 

 

 

หลี่ไอ๋หรงรับข้อมูลมาสองชุด เธอหรี่ตาลงหลังเห็นประวัติการเรียนของเด็กคนนั้น 

 

 

“เด็กคนนั้นจะมาเป็นนักเรียนที่นี่เหรอคะ ผลการเรียนแบบนี้จะปล่อยให้เข้ามาเรียนในระบบเราได้เหรอคะ” อาจารย์หญิงคัดค้านอย่างเต็มที่ “อาจารย์ใหญ่กำลังโยนขี้มาให้ห้องดิฉันอยู่นะคะ แม่เด็กนี่จะพานทำบรรยากาศการเรียนในห้องเสียหมด อาจารย์ใหญ่คงล้อดิฉันเล่นกระมัง” 

 

 

“อาจารย์หลี่ เด็กก็นั่งอยู่ตรงนี้ พูดจาระวังคำพูดด้วยครับ” ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเธอทำหน้าไม่พอใจ 

 

 

อาจารย์ชายคนนั้นรูปร่างท้วมเล็กน้อย ดวงตาเขามีขนาดเล็ก ใบหน้าเหมือนจะยิ้มอยู่ตลอดเวลา 

 

 

นี่คืออาจารย์ประจำชั้นห้องมัธยมสามทับเก้า อาจารย์เกาหยาง 

 

 

อาจารย์ชายรู้แล้วว่าเด็กที่นั่งตรงมุมห้องคงเป็นเด็กที่พวกเขาพูดถึงอยู่เป็นแน่ 

 

 

การถูกเรียกว่า “ขี้” ต่อหน้าไม่ใช่เรื่องดีนัก 

 

 

“อาจารย์เกาดูแลเด็กห้องทั่วไปก็พูดง่ายสิคะ ถ้าเราให้เด็กคนนั้นไปเรียนห้องอาจารย์แทน อาจารย์ยังจะนิ่งเฉยอยู่ไหมล่ะคะ ถ้าอาจารย์มีเวลาว่างเยอะนักละก็ เอาเวลาไปคิดว่าทำยังไงนักเรียนอาจารย์ถึงจะเกรดดีขึ้นดีกว่านะคะ” 

 

 

ห้องเรียนของเธอเป็นห้องพิเศษเนื่องจากนักเรียนเป็นเด็กท็อปร้อยของโรงเรียน 

 

 

หลี่ไอ๋หรงอยากได้รับรางวัลหนึ่งใน “ครูดีเด่นสิบคนของมณฑล” และโควตาที่ให้เมืองนี้มีเพียงหนึ่งที่เท่านั้น หากเธอต้องรับเด็กที่เสี่ยงต่อการทำให้ผลการเรียนห้องตกแล้ว นั่นจะทำให้โอกาสได้รางวัลของเธอลดลงไปอีก 

 

 

“หากนี่เป็นนักเรียนผม ผมจะดูแลเธอเต็มที่” เกาหยางไม่เคยชอบวิธีแย่ๆ ของเธอที่เลือกที่รักมักที่ชังเด็กเพราะผลการเรียน 

 

 

อาจารย์ใหญ่ยังคงนั่งนิ่งเงียบ 

 

 

ชายสูงวัยเหลือบมองไปยังเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงมุม เป็นนัยว่าจะถามความเห็นเธอ 

 

 

ฉินหร่านมองกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย 

 

 

เธอดูนิ่งมากจนทำให้อ่านไม่ออก ถ้าใครเห็นก็คงไม่รู้ถึงความหัวขบถและดื้อรั้นของเด็กคนนี้ 

 

 

อาจารย์ใหญ่ถอนสายตากลับมา 

 

 

เขาดันกรอบแว่นขึ้น และทำท่าทางให้อาจารย์หลี่ส่งเอกสารให้อาจารย์ชายแทน “อาจารย์เกาครับ คุณยินดีรับเด็กคนนี้เข้าเรียนไหม” 

 

 

เกาหยางอ่านประวัติเด็กสาวผ่านๆ อาจารย์ชายรู้สึกถึงประกายภายในตัว 

 

 

เขาอยากจะช่วยเหลือเด็กน้อยผู้หลงทางคนนี้! 

 

 

เมื่อเห็นว่าอาจารย์อีกคนตกลง อาจารย์หลี่จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก 

 

 

ฉินหร่านหยิบกระเป๋าแล้วเดินตามอาจารย์ชายไป เป็นภาพเงาของเด็กสาวหุ่นเพรียวกับครูหุ่นท้วมนิดๆ ตอนที่ครูถาม เธอเพียงตอบเขาสั้นๆ 

 

 

น้ำเสียงเธอเรียบนิ่ง 

 

 

ช่างเป็นนักเรียนที่ว่าง่ายและน่าเอ็นดูอะไรอย่างนี้! อาจารย์ชายคิดในใจ 

 

 

อาจารย์สาวเดินนำหน้าพวกเขา รองเท้าส้นสูงของเธอส่งเสียงฉับๆ ครูคนนั้นไม่ได้หันกลับมามองเด็กนักเรียนสาว แต่ชำเลืองมองอาจารย์ชาย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหน้าที่การงานอาจาร์ยเกาถึงไม่ก้าวหน้าทั้งที่ทำงานมายี่สิบปี” 

 

 

เมื่อได้ยินอย่างนั้น เกาหยางเพียงส่งยิ้มให้นักเรียนใหม่ “ฉินหร่าน ห้ามยอมแพ้เป็นอันขาด มีเวลาอีกตั้งปี อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น” 

 

 

นักเรียนสาวพยักหน้ารับ 

 

 

“ชิ” อาจารย์สาวปรายตามองเด็กใหม่โดยแทบจะไม่ปิดอาการเย้ยเยาะของเธอแม้แต่น้อย 

 

 

อาจารย์เกาต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ 

 

 

เมื่อคิดได้แบบนั้น หลี่ไอ๋หรงก็รีบเดินเชิดสะบัดหน้าไป 

 

 

“อาจารย์หลี่ก็เป็นแบบนี้แหละ เธอสอนภาษาอังกฤษให้ชั้นเรียนเราด้วย” เกาหยางขมวดคิ้วมุ่น เขาพยายามทำเป็นไม่ใส่ใจอาจารย์หญิงจอมเหยียดคนนั้น ในขณะที่พาฉินหร่านไปรับชุดนักเรียนกับหนังสือ 

 

 

เด็กน้อยถามอาจารย์ประจำชั้นว่าห้องพยาบาลอยู่ที่ไหน 

 

 

พวกเขาทั้งคู่เดินคุยกันไปตลอดทาง 

 

 

เกาหยางกังวลใจจริงๆ เพราะผลการเรียนของเด็กคนนี้ต่ำมาก เขานึกไม่ออกเลยว่าจะเริ่มช่วยเธอจากตรงไหนก่อนดี 

 

 

“เดี๋ยวครับ อาจารย์เกา” เสียงอาจารย์ใหญ่ลอยมาจากด้านหลัง “ผมมีข้อสอบนี่ด้วย คุณช่วยตรวจให้ผมที”