หอสุราราตรีต้นเฟิง โดย ProjectZyphon

เมืองหลิวเขียวตั้งอยู่ติดกับเทือกเขาราตรีต้นเฟิง ผู้ที่อาศัยในเมืองส่วนใหญ่ยังชีพด้วยการเก็บสมุนไพรและล่าสัตว์ ไม่ถือว่ายากจนข้นแค้น แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวย

เหมือนเมืองส่วนใหญ่ในจักรวรรดินี้ เมืองหลิวเขียวพื้นที่ไม่ใหญ่โต แต่ดีที่ประชากรหนาแน่น เดินทางสะดวก หอสุรา โรงเตี๊ยม ห้างร้านที่ควรมีล้วนครบครัน

เที่ยงตรงพอดี

ในหอสุราราตรีต้นเฟิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองคึกครื้นอยู่ก่อนแล้ว ที่นี่สามารถพบเจอกับผู้ฝึกปราณหนุ่มน้อยที่ท่องไปทั่วสารทิศ พ่อค้าและสมุนที่รอนแรมนานปี หรือคุณชายคุณหนูตระกูลร่ำรวยที่แอบออกมาเที่ยวเล่นดื่มกิน…

สามารถพบเห็นคนทุกประเภทได้ในที่แห่งนี้

หอสุราเดิมทีก็เป็นสถานที่พิเศษแห่งหนึ่ง ที่นี่คึกครื้นอยู่เสมอ คนร้อยพ่อพันแม่มารวมกันในที่เดียว ดื่มเหล้าเคล้าสนทนา พูดคุยทุกเรื่องจากเหนือสู่ใต้ ตั้งแต่เรื่องใหญ่อย่างราชสำนักยันเรื่องเล็กในตรอกตลาด ล้วนกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่สนุกสนานที่สุดในหอสุรา

หอสุราราตรีต้นเฟิงวันนี้คึกคักเหมือนเก่า เพียงแต่บนชั้นสองของหอสุราบรรยากาศกลับดูเงียบเชียบไปบ้าง

ที่นี่ไม่ได้ไร้ชีวิตชีวา ตรงข้าม ในโต๊ะของหอสุราส่วนใหญ่กลับเต็มไปด้วยเงาร่างนั่งอยู่

เพียงแต่เงาร่างเหล่านี้ล้วนดื่มเหล้าจนเมามาย พูดคุยกันไม่มาก ยังให้บรรยากาศดูน่าอึดอัดไปบ้าง

“มีอาหารขึ้นชื่ออะไรบ้าง”

“เรียนลูกค้า อาหารขึ้นชื่อมากมายเลยขอรับ พวกเรามีหมดทั้งที่บินขึ้นฟ้า วิ่งบนดิน ว่ายในน้ำ เช่นปลาหางม่วงตุ๋น ลิ้นนกกระจอกเขียวผัดฉ่า รวมมิตรของป่าตุ๋น…”

“งั้นก็เอามาอย่างละที่ เหล้าล่ะ”

“ท่านลูกค้า ‘สุราต้นเฟิงเมฆลอย’ ของหอสุราราตรีต้นเฟิงของเราเป็นเอกลักษณ์เลยขอรับ แขกที่มาที่นี่ได้ดื่มก็ชมว่ารสดี”

“เอามาลองก่อนหนึ่งกา”

“ได้ขอรับ ท่านขึ้นไปรอข้างบนสักครู่”

เงาร่างสูงโปร่งเงาหนึ่งเดินขึ้นชั้นสองท่ามกลางเสียงพูดคุย

เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาวนวลเรียบง่าย ผมยาวสีดำรวบไว้อย่างลวกๆ หลังศีรษะด้วยเชือกฟาง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาคมสัน

ที่หลังของเขายังแบกตะกร้าไว้ใบหนึ่ง ในตะกร้ามีเด็กหญิงตัวน้อยอายุสามสี่ปีผู้หนึ่งนั่งอยู่ กำลังพิงตะกร้ากะพริบตาโตสีดำสุกใสประเมินรอบทิศอย่างใคร่รู้

คนผู้นี้ย่อมเป็นหลินสวิน ชุดที่เขาสวมอยู่เป็นชุดที่มารดาของเด็กหญิงลั่วลั่วมอบให้

เมื่อเดินขึ้นมาชั้นสอง สายตาเขากวาดไปยังลูกค้าที่กำลังดื่มกินโดยรอบ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างยากสังเกต จากนั้นระบายยิ้มมุมปาก หาที่นั่งริมหน้าต่างแล้วนั่งลงไป ค่อยอุ้มเด็กหญิงลั่วลั่วที่อยู่ในตะกร้าออกมาวางลงบนที่นั่งที่อยู่ข้างกาย

“พี่ชาย ข้าอยากเล่นเจ้าจิ๊บจิ๊บเจ้าค่ะ”

ลั่วลั่วเงยใบหน้าน้อย มองอย่างกระตือรือร้นมาทางหลินสวิน

หลินสวินรับคำอย่างสดใส นำเจ้าจิ๊บจิ๊บออกมาจากกลางอากาศ แล้วโยนลงบนโต๊ะเหล้าเล่นกับลั่วลั่ว

ลูกค้าไม่น้อยที่อยู่ใกล้เคียงเห็นภาพนี้เข้า ดวงตาก็อดหรี่ลงเล็กน้อยไม่ได้ พลันถอนสายตาออกมาไม่มองอีก

หลินสวินเหมือนไม่ได้รับรู้ทั้งหมดนี้ ยิ้มพลางมองลั่วลั่วที่เล่นกับเจ้าจิ๊บจิ๊บ ฉับพลันถูกเสียงพูดคุยโหวกเหวกที่อยู่ชั้นหนึ่งของหอสุราดึงดูดความสนใจ

“ให้ตายสิ รถรับส่งรอยสลักวิญญาณบทจะตกก็ตกเสียแล้ว ได้ยินว่าคนที่อยู่บนนั้นมีหลักร้อยคน ไม่ขาดผู้ฝึกปราณเสียด้วย!”

“ข้าก็ได้ยินมา นี่เป็นข่าวที่กระจายออกมาเมื่อหลายวันก่อน บอกว่าตอนรถรับส่งรอยสลักวิญญาณลำหนึ่งกำลังข้ามเทือกเขาราตรีต้นเฟิงก็ถูกนกร้ายจู่โจม ในที่สุดก็จบลงที่ตกลงมาจนรถเสียหายคนก็ตาย”

“ตายหมดเลยหรือ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ต่อให้ไม่ตาย ตกลงมาในเทือกเขาราตรีต้นเฟิงที่สัตว์ป่าดุร้ายแบบนั้น จะรอดชีวิตมาได้อย่างไร”

“โธ่ นี่สิเรียกว่าตาสีตาสารับเคราะห์”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ หลินสวินพลันบังเกิดความอัดอั้นที่พูดไม่ถูกขึ้นในจิตใจ ตาสีตาสารับเคราะห์อะไรกัน ถูกนกร้ายจู่โจมอะไรกัน นี่มันการสังหารหมู่ที่วางแผนไว้ก่อนแล้วชัดๆ!

แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่าข่าวนี้ถูกศัตรูปิดบังไว้อย่างมิดชิด จากนั้นก็ใช้สาเหตุที่น่าขันอ่อนด้อยอย่าง ‘นกร้ายจู่โจม’ มาหลอกลวงคนทั้งโลก!

หลินสวินคิดไว้ก่อนแล้วว่าในเมื่อศัตรูจะกล้าทำเช่นนี้ได้ ย่อมมีที่พึ่งไม่หวั่นกลัว แต่เขายังประเมินความไร้ยางอายของศัตรูต่ำไปอยู่บ้าง

ส่วนนี่คงจะเป็นวิธีหลอกลวงผู้คนบนโลกของคนใหญ่คนโตอวดเบ่งพวกนั้น เพียงแค่หาข้ออ้างชุ่ยๆ สักอย่างก็สามารถปิดบังความจริงทั้งหมดได้

เด็กหนุ่มไม่สงสัยเลย ว่าต่อให้เขาพูดความจริงเวลานี้ น่ากลัวจะไม่มีใครเชื่อตนเลย!

อย่างไรเสีย ใครจะเชื่อว่าเรือรบจากจักรวรรดิจะสังหารหมู่ประชาชนของจักรวรรดิได้

ในระหว่างที่หลินสวินจิตใจว้าวุ่นอยู่นี้เอง พลันมีเสียงหัวเราะได้ใจดังขึ้น

“อาเจียว พี่ขอพูดอย่างไม่ถ่อมตัวคำหนึ่งว่า ในเมืองหลิวเขียวนี้ ถ้าตระกูลรุ่ยของพี่กล้าเรียกตนเองเป็นที่สอง ก็ไม่มีตระกูลไหนกล้าเรียกที่หนึ่ง! หากเจ้าไปกับข้า รับรองว่าเจ้าจะกลายเป็นสตรีที่ถูกจับตามองที่สุดในเมืองหลิวเขียว”

“พี่รุ่ยชิง ข้าไม่อยากให้ผู้อื่นจับตามอง เพียงท่านดีกับข้าก็พอแล้วเจ้าค่ะ” เสียงสตรีอ่อนหวานน่ารักเสียงหนึ่งดังขึ้นตาม

หลินสวินพลันอึ้งไป บนโลกนี้ยังมีคนยกยอตนเองเช่นนี้ด้วยหรือ

ที่ทำให้เขารู้สึกอัศจรรย์ใจที่สุดก็คือ เสียงสตรีผู้นั้นออดอ้อนออเซาะ ฟังก็รู้ว่าพูดเกินจริง

ทันใดนั้นก็เห็นว่าที่ปากทางบันไดมีคุณชายแต่งกายหรูหราผู้หนึ่งเดินมา ข้างกันนั้นยังมีสตรีรูปงามผิวขาวนางหนึ่งมาด้วยกัน

ทั้งสองเดินขึ้นมาชั้นสองก็หาที่นั่งลง คุณชายรุ่ยชิงคุยโวว่าตระกูลของตนเลอเลิศเพียงใดอยู่ตลอด ส่วนสตรีนามอาเจียวก็ยกยอปอปั้นอย่างเต็มใจ พูดคุยกันสนิทสนมอย่างถึงที่สุด

หลินสวินอดส่ายหน้าไม่ได้ ไม่สนใจเรื่องนี้อีก เวลานี้อาหารและสุราก็ส่งขึ้นมา เขากับลั่วลั่วตั้งหน้าตั้งตากินข้าวทันที

เจ้าจิ๊บจิ๊บกลับนอนนวยนาดอยู่อีกด้านหนึ่ง พลางหาวออกมา ท่าทางเหมือนจะหลับเสียให้ได้ มันไม่แลอาหารเหล่านั้น เพราะที่ชอบกินที่สุดก็คือผลึกวิญญาณ

“โห เจ้าตัวเล็กน่ารักจัง ท่านพี่รุ่ยชิงดูสิเจ้าคะ นั่นอสูรวิญญาณอะไร ข้าอยากหยิกท้องกลมๆ น้อยๆ ของมันเสียหน่อย”

ฉับพลันอาเจียวที่อยู่โต๊ะข้างกันก็ชี้มาที่เจ้าจิ๊บจิ๊บ ร้องเสียงแหลมเหมือนเสียสติ

“ฮ่าๆ ในเมื่ออาเจียวชอบ พี่ก็จะช่วยจัดการให้”

รุ่ยชิงที่อยู่ข้างๆ หัวเราะร่าแล้วหันกายเดินมา สายตาชำเลืองมองมาที่หลินสวินแล้วพูดว่า “พี่ชาย อสูรวิญญาณนี้เป็นของเจ้าใช่หรือไม่ เอาอย่างนี้ ข้าให้เจ้าหนึ่งร้อยเหรียญเงิน เจ้าขายของเล่นนี้ให้ข้าเสีย”

เขาพูดพลางล้วงถุงเงินออกมาแล้วโยนลงบนโต๊ะเหล้าดังโผละ ไม่ถามหลินสวินเลยว่ายอมขายหรือไม่ก็ยกมือขึ้นมาจะจับเจ้าจิ๊บจิ๊บไป

เผียะ!

ตะเกียบคู่หนึ่งตีลงมา เคาะอย่างแม่นยำเข้าที่ข้อต่อข้อมือของรุ่ยชิง ก็เห็นว่ารุ่ยชิงพลันชักแขนกลับไปราวถูกสายฟ้า เจ็บจนสูดหายใจยะเยือกไม่หยุดหย่อน

อาเจียวร้องเสียงแหลม ลุกขึ้นพรวดพราดแล้ววิ่งเข้ามา เอ่ยอย่างร้อนรนว่า “พี่รุ่ยชิง ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ”

เมื่อเสียท่าไม่น้อยต่อหน้าผู้หญิงของตน ทำให้รุ่ยชิงขายหน้า จึงยิ้มหยันแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่วันนี้เจ้าเด็กนี่น่าจะมีเรื่องแล้ว! ให้ตายสิ ในเมืองหลิวเขียวแห่งนี้ ข้าไม่เคยเสียท่าเช่นนี้มาก่อน!”

เขาพูดพลางหวดมือไปทางหลินสวิน

เรียบง่าย ตรงไปตรงมา รุนแรง นี่ก็คือรุ่ยชิง หลินสวินไม่สงสัยเลยว่าเจ้านี่เป็นพวกเกเรเหลือทน ทั้งยังไร้สติปัญญา

เผียะ!

หลินสวินนั่งตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว ตะเกียบในมือกลับตีเข้าที่ข้อต่อข้อมือของรุ่ยชิงอย่างแม่นยำ เจ็บจนฝ่ายหลังร้องโอดโอยโหยหวน ใบหน้าเหยเก

“เวรเอ๊ย เจ้าหาที่ตายแล้ว! ถึงกับกล้าลงมือตีข้า! เจ้าจบสิ้นแล้ว วันนี้อย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองหลิวเขียว!” รุ่ยชิงโวยวาย

เขาได้รับบทเรียนสองครั้งติดต่อกัน ไม่เพียงไม่หลาบจำกลับบ้าคลั่งขึ้นมา หลินสวินรับรู้ได้อย่างสนิทใจว่าครั้งนี้ตนได้พบกับลูกผู้มีอำนาจเสเพลที่ก้าวร้าวโง่งม ไม่เพียงไร้สติปัญญา ยังเป็นคนเขลาไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกด้วย

ฉับพลันหลินสวินรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง เขากวาดสายตาไปรอบทิศผ่านๆ ก่อนจะนิ่วหน้า จากนั้นลุกขึ้นยืนอย่างไม่ชักช้า พูดพลางยิ้มว่า

“สหาย ข้าส่งเจ้าไปเป็นทหารกองหนุนดีหรือไม่”

รุ่ยชิงที่กำลังร้องโวยวายนิ่งไป “เจ้าหมายความว่าอะไร”

หลินสวินยื่นมืออกมาไวปานสายฟ้าฟาด คว้าสาบเสื้อของรุ่ยชิงแล้วตวัดมือโยนฝ่ายตรงข้ามลอยออกไปนอกหน้าต่าง

ได้ยินเสียงดังตุ้บจากถนนด้านนอก เสียงรุ่ยชิงร้องโอดโอยโหยหวนก็แว่วมา “ไอ้บ้าเอ๊ย ฝากไว้ก่อนเถอะ!”

อาเจียวตกใจจนใบหน้างามซีดเผือด ร้องเสียงแหลมขึ้นว่า “เจ้า เจ้า…เจ้ารู้หรือไม่ว่ารุ่ยชิงเป็นใคร เขาเป็นถึงคุณชายสามแห่งตระกูรุ่ย ขุมพลังอันดับหนึ่งในเมืองหลิวเขียว ผิดใจกับเขา วันนี้เจ้าอย่าคิด…”

ไม่ทันพูดจบนางก็ถูกหลินสวินจับไว้แล้วโยนออกไปนอกหน้าต่าง

เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็ส่ายหน้าเย้ยหยัน “เป็นคู่อัศจรรย์เสียจริง”

เขาพูดพลางก้มหัวถามลั่วลั่ว “กินอิ่มแล้วใช่หรือไม่”

ลั่วลั่วพยักหน้าอย่างว่าง่าย นางโอบเจ้าจิ๊บจิ๊บไว้ในอ้อมกอด เหมือนกลัวว่ามันจะถูกคนแย่งไป

“เช่นนั้นพวกเราก็เตรียมตัวไปกันเถิด” หลินสวินอุ้มลั่วลั่วขึ้นวางลงในตะกร้า จากนั้นก็แบกไว้บนหลัง

“พี่ชาย สองคนเมื่อครู่นี้เป็นคนไม่ดีใช่หรือไม่เจ้าคะ” ลั่วลั่วถาม

หลินสวินเอ่ยว่า “สองคนนี้ไม่ถือว่าเป็นคนไม่ดีหรอก อย่างเก่งก็เป็นคนโง่คู่หนึ่ง”

เขาพูดถึงตรงนี้ สายตาก็กวาดไปยังลูกค้าที่รับประทานอาหารรอบทิศเหล่านั้น มุมปากระบายรอยยิ้มเลือนราง “แต่ว่า ลั่วลั่วเจ้าหลับตาเสียก่อน อีกเดี๋ยวคนไม่ดีตัวจริงก็จะปรากฏตัวแล้ว”

ลั่วลั่วตื่นตะลึง แต่ก็เชื่อฟังแล้วปิดตา พลางมุดเข้าในตะกร้า แล้วพูดว่า “ท่านพี่วางใจได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ดูหรอก”

หลินสวินส่งเสียงอืม ดวงตาสีดำพลันแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยไร้ความรู้สึก เขากวาดสายตามองลูกค้าที่มารับประทานอาหารบนชั้นสองเหล่านั้น พูดพลางยิ้มว่า “ทุกท่าน ข้าวก็กินแล้ว ได้เวลาออกเดินทางแล้ว พวกท่านว่าอย่างไร”

ชิ้ง!

ระหว่างที่พูดดาบเวทเรืองแสงพลันปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นเห็นว่าเงาร่างหลินสวินกระโจนออกไป คมดาบม้วนกลืนพลังดุดันน่าหวั่นกลัว ฟาดไปยังลูกค้าสามคนที่อยู่ที่โต๊ะที่ใกล้ที่สุด

แทบจะในเวลาเดียวกัน ลูกค้าสามคนนั้นก็พุ่งทะยานขึ้น เห็นได้ชัดว่าเตรียมตั้งท่ารอไว้ก่อนแล้ว เมื่อหลินสวินโจมตี พวกเขาโต้กลับตามจิตใต้สำนึก

“ถูกดูออกแล้ว ร่วมกันลงมือ!”

พร้อมกับเสียงตะโกนดังนั้น ลูกค้าที่เดิมนั่งรับประทานอาหารที่ชั้นสองโดยรอบพลันลุกขึ้นทันที สีหน้าโหดเหี้ยมเย็นชา ในมือถืออาวุธวิญญาณแบบต่างๆ โจมตีอย่างอุกอาจ

ชั่วพริบตาบรรยากาศที่เงียบสงบแต่เดิมก็มลายไป ที่นี่ราวกับแปรสภาพเป็นสนามรบ แสงดาบเงากระบี่เกลื่อนกลาด ไอสังหารราวพายุโหมคลั่ง!

สถานการณ์เปลี่ยนแปลงมากเกินไป ลูกค้าที่รับประทานอาหารอยู่ชั้นหนึ่งล้วนตื่นตระหนก ส่งเสียงกรีดร้องหวาดกลัวหนีกระเจิง

ทั้งหอสุราราตรีต้นเฟิงตกอยู่ในเหตุสังหารนองเลือด ลมแรงพัดโหม ผนังถล่ม ยังมาพร้อมกับเสียงโต๊ะเก้าอี้จานชามสลายกลายเป็นฝุ่น

ขนาดผู้สัญจรไปมาบนถนนใกล้กันยังถูกทำให้ตกใจ พากันหลบหลีกบริเวณนี้ ด้วยกลัวว่าจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย

ไม่มีใครสังเกตว่าหลังคาอาคารบ้านเรือนห้างร้านมากมายที่อยู่โดยรอบหอสุราราตรีต้นเฟิงไม่รู้ว่ามีเงาร่างเงาแล้วเงาเล่าซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบตั้งแต่เมื่อไร

ในมือของทุกร่างล้วนถือหน้าไม้ไม่ก็คันธนูวิญญาณ พากันเล็งไปยังหอสุราราตรีต้นเฟิงที่อยู่ตรงกลาง!