ตอนที่ 7 เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 7 เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม

เป็นตายร้ายดียังไงตระกูลเจียงก็จะไม่ยอมนำที่ดินสิบไร่ไปให้คนอื่นเด็ดขาด

ทว่าตระกูลหม่ากลับไม่รีบร้อน พวกเขาบอกว่าหากถึงตอนนั้นเจียงต้ายาท้องโตแล้ว และไม่กลัวที่จะถูกคนอื่นนินทาลับหลัง ก็ยืดเวลาแบบนี้ต่อไปได้ตามสบาย

ทั้งสองฝ่ายเกือบทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ แต่ต่อมาดูเหมือนว่าตระกูลหม่าจะยังพอมีจิตใจที่เมตตาอยู่ จึงลดเงื่อนไขลงอย่างไม่เต็มใจและบอกว่าไม่ต้องการที่ดินสิบไร่แล้ว เพียงแค่เจียงต้ายาต้องนำเงินจำนวนห้าตำลึงมาเป็นสินสมรส ถ้านำมา พวกเขาก็จะเชิญแม่สื่อมาเจรจาทันที

ได้ฟังดังนั้น ตระกูลเจียงทั้งดีใจแต่ก็กลุ้มใจ ส่วนที่ดีใจคือพวกเขาสามารถรักษาที่ดินสิบไร่ได้ ส่วนที่กลุ้มใจคือถึงแม้ว่าครอบครัวของพวกเขาจะไม่ยากจน แต่ก็เป็นชาวไร่ชาวนาที่พึ่งพาท้องฟ้าเพื่อประทังชีวิต และมีเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตเพื่อไม่ให้หนาวและไม่ให้ลูกหลานหิวโหยเท่านั้น แล้วพวกเขาจะไปเอาเงินมาจากไหนตั้งห้าตำลึง ?

สุดท้าย… พวกเขาทั้งหมดก็หันไปมองเจียงป่าวชิงที่นั่งอยู่บนตอไม้ กำลังมองไปที่ทางเข้าหมู่บ้านด้วยสายตาลอย ๆ อย่างคนปัญญาอ่อน

หลีโผจื่อตบขาดังฉาดขณะที่นึกเรื่องบางอย่างออก “ลูกพี่ลูกน้องของข้าแต่งเข้าไปในตระกูลหลี สองวันก่อนตอนที่ข้ากลับไปที่บ้านพ่อแม่ก็เจอนางเข้าพอดี นางคุยเล่นกับข้าว่าในหมู่บ้านของพวกเขามีคนง่อยวัยสี่สิบปีคนหนึ่ง เขากลัวว่าต่อไปจะไม่มีทายาทเพื่อสืบตระกูล และกลัวว่าจะไม่มีใครทำพิธีโยนกระถางให้เขา ตอนนี้เขาจึงกำลังคิดที่จะซื้อเมีย”

ในบรรดาคนในครอบครัวทั้งหมด มีเพียงเจียงเหมยฮัวลูกสาวคนเล็กของหลีโผจื่อกับท่านปู่เจียงเท่านั้นที่พูดขึ้นเสียงเบา “ป่าวชิงยังเล็กเกินไปหรือเปล่า…? นางคงจะคลอดลูกไม่ได้หรอกจริงไหม ?”

หลีโผจื่อจ้องเจียงเหมยฮัวเขม็ง

เจียงเหมยฮัวเกิดออกมาแล้วไม่ได้ดูดีมากนัก อีกทั้งยังคลอดยาก หลีโผจื่อใช้เวลาคลอดนางทั้งวันทั้งคืน และเป็นเชื้อพันธุ์ที่เกิดมาหลังจากจ่ายไปด้วยการที่ไม่สามารถคลอดลูกได้อีกในอนาคต ตั้งแต่เล็ก นางไม่เคยเป็นที่พอใจในสายตาของหลีโผจื่อเลย เจียงเหมยฮัวจึงถูกเลี้ยงจนกลายเป็นคนที่มีนิสัยขี้กลัวและไม่กล้าพูดอะไร

แต่ไม่มีใครคิดว่าเจียงเหมยฮัวจะพูดขึ้นมาในตอนนี้

หลีโผจื่อโบกมือไปมาอย่างรำคาญ “ข้าดูแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าเด็กปัญญาอ่อนนี่จะผอมไปหน่อย แต่ถ้ารูปร่างนั้นโตอีกนิด ก็คงจะก้นใหญ่และคลอดลูกง่ายแน่นอน  แม้ตอนนี้ยังเล็ก ยังคลอดไม่ออก แต่ใช่ว่านางจะเล็กแบบนี้ไปตลอด”

ดังนั้น เรื่องนี้จึงตัดสินตามนั้น

คนของตระกูลเจียงขายเจียงป่าวชิงด้วยเงินจำนวนห้าตำลึงให้กับชายง่อยที่มีปากเบี้ยวและตาเอียง ผู้ซึ่งอยู่ถัดไปอีกสองภูเขา

ท่านปู่เจียงเป็นคนนำเจียงป่าวชิงที่โง่เขลาไปส่งถึงมือคนในหมู่บ้านคนหนึ่งที่รับทำเรื่องสกปรกเช่นนี้

……

ไม่มีใครคิดว่าเจียงป่าวชิงจะถูกเจียงหยุนชานไปช่วยกลับมาจากเฉจื่อเจิ้ง  แล้วนางยังเปลี่ยนกลายเป็นคนไม่ปัญญาอ่อนแล้วด้วย!

ตอนนี้นางยิ่งหยิ่งยโสขึ้นไปอีก เมื่อได้ฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของนาง ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้เรื่องที่เจียงต้ายาท้อง แต่เกรงว่านางจะเดาอะไรบางอย่างได้

คนของตระกูลเจียงรู้สึกทั้งเกลียดทั้งหมั่นไส้เจียงป่าวชิงทันที แต่พวกเขากลับทำอะไรนางไม่ได้เลย  ถ้าหากเจ้าเด็กบ้าคนนี้พูดเรื่องที่เจียงต้ายาท้องออกมาจะทำอย่างไรล่ะ ?!

ต่อให้เจ้าเด็กบ้าคนนี้จะไม่รู้ว่าเจียงต้ายาท้อง… แต่ถ้านางออกไปข้างนอกแล้วบอกกับคนอื่นเรื่องอาการป่วยของเจียงต้ายาขึ้นมา… ถ้าเป็นคนที่มีประสบการณ์ทางด้านนี้ ต้องรู้แน่ ๆ ว่าเจียงต้ายาท้อง

หากเป็นแบบนี้ต่อไป ตระกูลเจียงของพวกเขาก็คงไม่สามารถกลับตัวเป็นคนดีในหมู่บ้านได้อีกแล้ว และคงต้องอับอายขายขี้หน้าบรรพบุรุษรุ่นที่สิบแปดไปจนหมดสิ้น

คนของตระกูลเจียง ตั้งแต่ท่านปู่เจียง หลีโผจื่อ ไปจนถึงเจียงอีหนิวและโจซื่อ ต่อมาก็เป็นเจียงเอ้อยาในวัยสิบสี่ปี สีหน้าของพวกเขาน่าเกลียดราวกับก้นหม้อดำ

เมื่อเจียงป่าวชิงเห็นปฏิกิริยาของคนในตระกูลเจียง นางก็รู้ว่าตัวเองจับจุดอ่อนของคนในตระกูลเจียงได้แล้ว

เจียงป่าวชิงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นนางก็ดึงชายเสื้อของเจียงหยุนชานเบา ๆ “พี่ ข้าหนาว เรากลับไปเพิ่มเสื้อผ้าอีกสักนิดเถอะเจ้าค่ะ”

เจียงหยุนชานไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จะมีอาการอะไรบ้าง ดังนั้นตอนที่เขาได้ยินเจียงป่าวชิงพูดถึงอาการป่วยของเจียงต้ายา เขาก็คิดว่าเจียงต้ายาป่วยเป็นโรคที่รุนแรง

ในตอนนี้ เมื่อได้ยินที่เจียงป่าวชิงบอกว่าหนาว เขาก็เหมือนตื่นจากความฝัน จากนั้นก็ตบหัวตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ “อา… ข้าลืมไปได้ยังไง! เจ้าตกน้ำ อีกทั้งยังเดินทางมาตั้งไกล…” จากนั้นเขาก็ไม่สนที่จะพูดเรื่องประเพณีกับคนของตระกูลเจียงต่อ และรีบพยุงเจียงป่าวชิงเดินไปที่ห้องทันที

เจียงป่าวชิงปล่อยให้พี่ชายพยุงอย่างว่าง่าย เพียงแต่ตอนที่กำลังจะเดินผ่านท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อนั้น  นางก็จงใจทำเหมือนกับนึกอะไรได้และพูดขึ้น “อื้มใช่ ในเมื่อข้ากลับมากับพี่ชายแล้ว ท่านปู่สองกับท่านย่าสองก็อย่าลืมนำเงินห้าตำลึงไปคืนเขานะเจ้าคะ”

โดยไม่คำนึงว่าหลังจากที่คนของตระกูลเจียงได้ฟังคำพูดนี้แล้ว สีหน้าของพวกเขาจะน่าเกลียดราวกับได้กินยาสมุนไพรไปห้ากิโลกรัมแบบนั้น  เจียงป่าวชิงไม่สนใจ นางกลับไปที่ห้องดินเหนียวกับเจียงหยุนชานด้วยท่าทางดีอกดีใจ

ห้องของเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานนั้นเล็กมาก ตอนที่พวกเขาเป็นเด็กก็ถือว่ายังพออยู่ได้ เดิมทีก็เป็นพี่น้องกัน อายุน้อยยังพอที่จะพักด้วยกันได้ แต่ถ้าโตแล้วยังพักด้วยกันอยู่ ก็คงจะไม่เหมาะสมแล้ว

โชคดีที่เจียงหยุนชานสามารถสอบเข้าโรงเรียนในตัวอำเภอได้ด้วยความพยายามของตัวเขาเอง ทั้งยังได้รับความเอ็นดูจากนายอำเภอ  นายอำเภอสงสารที่ครอบครัวของเขายากจนจึงหางานในตำแหน่งเด็กจัดเก็บหนังสือให้เขา เพื่อชดเชยพวกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อย่างเช่นค่าที่พักหรือค่าอาหารที่โรงเรียนในตัวอำเภอ

ดังนั้นในเวลาพักของทุกครั้ง เจียงหยุนชานก็มักจะออกจากโรงเรียนในตอนที่ฟ้ายังมืดอยู่ เมื่อกินอาหารมื้อกลางวันที่บ้านเสร็จ เขาก็ต้องรีบกลับไปในอำเภออีกครั้ง จึงไม่เคยพักที่บ้านเลย

ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้จะบอกว่าห้องดินเหนียวนี้เป็นห้องของเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชาน แต่ความเป็นจริงแล้วในนั้นมีเพียงเตียงอิฐหนึ่งหลังที่บนเตียงเป็นเครื่องนอนที่ผ่านการซักจนไม่สามารถมองเห็นสีเดิมได้แล้ว และตู้ที่มุมพังไปแล้วหนึ่งมุม มันน่าอนาถมากเพราะมุมที่พังนั้นเผยให้เห็นภายในของตู้ส่วนใหญ่

เจียงหยุนชานทำการค้นหาของในตู้สักพัก สุดท้ายเขาก็หยิบเสื้อคลุมที่มีความหนาเล็กน้อยออกมาจากตู้

ดู ๆ แล้วนี่คงจะเป็นเสื้อคลุมตัวเดียวที่มีอยู่ในบ้าน เสื้อคลุมตัวนี้ก็ผ่านการซักจนสีหลุดและมีหลายจุดที่เย็บด้วยรอยปะ แม้ว่าจะเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังมีอีกสองจุดที่ยังคงเผยให้เห็นใยฝ้ายสีขาว

เขาส่งเสื้อคลุมตัวนั้นให้เจียงป่าวชิง จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างรีบร้อน “ป่าวชิง เจ้ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกด้านในเร็วเข้า ระวังอย่าให้เป็นหวัดล่ะ”

ผลที่ได้คือเมื่อเขาพูดจบ กลับเป็นเขาที่จามออกมาก่อน

เจียงหยุนชานคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชาย เป็นหวัดนิดหน่อยไม่เป็นอะไรหรอก เขาถูจมูกเล็กน้อยและกำลังจะหลีกทางเพื่อให้น้องสาวได้เปลี่ยนเสื้อผ้า

แต่เจียงป่าวชิงกลับเรียกเจียงหยุนชานไว้ด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม “พี่นั่นแหละใส่เสื้อตัวนอกเดี๋ยวนี้เลย เป็นหวัดไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยนะ”

เจียงหยุนชานเห็นดวงตาไร้ชีวิตชีวาของเจียงป่าวชิงจนชินแล้ว ยามที่เห็นใบหน้าขรึมของนางที่กำลังห่วงใยตัวเอง เขาก็รู้สึกอบอุ่นราวกับได้ดื่มน้ำร้อนในฤดูหนาวอย่างไรอย่างนั้น

เขาใจไม่แข็งพอที่จะทำให้เจียงป่าวชิงผิดหวัง จึงรับเสื้อตัวนอกที่นางเป็นคนส่งมาให้คลุมไปทั้งตัว คลุมเสร็จเขาก็ออกไปข้างนอก และไม่ลืมที่จะลงกลอนประตูให้นาง

……

ตั้งแต่มาเกิดใหม่ในร่างอ่อนวัยนี้ สถานการณ์ก็เกิดขึ้นทีละอย่าง เจียงป่าวชิงจากยุคปัจจุบันถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ถนัด เธอจึงจำเป็นต้องเข้าถึงสถานะของ  ‘เจียงป่าวชิง’ เจ้าของร่างเดิมให้เร็วที่สุด

เพียงแต่เจียงป่าวชิงจากยุคปัจจุบันเป็นคนที่ภายนอกนุ่มนวล แต่ภายในแข็งแกร่งมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังผ่านการฝึกฝนมาตลอดหลายปี นิสัยของเธอจึงเข้มแข็งมากกว่าเดิม ตอนนี้เธอจึงไม่รู้สึกปวดหัวกับเรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้

ถึงอย่างไรแล้วนี่ก็คือการได้ชีวิตใหม่ เรื่องความเป็นความตายก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จะเทียบกับเรื่องเลวร้ายในชีวิตของเจ้าของร่างเดิมได้อย่างไรล่ะ ?

เจียงป่าวชิงที่ตายไปแล้วในยุคปัจจุบัน ตัดสินใจที่จะเดินต่อไป ใช้ชีวิตแทนเจ้าของร่างเดิมที่เป็นหญิงสาวผู้น่าสงสารคนนั้น และเธอก็ไม่ตกใจต่อเรื่องเลวร้ายที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้าแม้แต่นิดเดียว

เจียงป่าวชิงเอื้อมมือถอดเสื้อผ้าที่เปียกออก แต่จะบอกว่าเสื้อผ้าเปียกก็คงจะไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่เดินกลับมาก็ข้ามภูเขามาแล้วสองลูก อุณหภูมิร่างกายจึงเกือบทำให้เสื้อผ้าที่เปียกนั้นแห้ง

ทว่าในฤดูใบไม้ผลิที่หนาวเหน็บ การใช้ร่างกายทำให้เสื้อผ้าเปียกแห้งนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไร มีสิทธิ์ที่จะทำให้เป็นไข้หวัดมากอยู่

ในตอนนี้ร่างกายของเธอก็มีอาการหัวหนักเท้าเบาแล้วเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงอะไร แต่มันกลับส่งเสียงเตือนเธอแล้ว  ในยุคโบราณที่ขาดหมอและยานั้น ไม่ต้องไปพูดถึงโรคที่แก้ยาก แม้แต่ไข้หวัดก็ไม่สามารถมองข้ามได้

เจียงป่าวชิงจำได้ว่าตอนที่เธอเพิ่งกลับมาเมื่อสักครู่ เธอเห็นสมุนไพรมากมายที่มีฤทธิ์ต้านไข้หวัด ทุกพื้นที่ของชีหลี่โวนั้นไม่มีปัญหาการขาดแคลนสมุนไพร  อีกสักครู่เธอคิดจะออกไปเด็ดสมุนไพรพวกนั้นกลับมาทำซุปสมุนไพรเพื่อดื่มกับเจียงหยุนชานคนละนิด เธอคิดว่าป้องกันไว้ก่อนก็คงดี

ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน เธอตามปู่ของเธอไปใช้ชีวิตในชนบท ในขณะที่กำลังศึกษาเรื่องการฝังเข็ม เธอก็ไม่ได้ละทิ้งความรู้ทางด้านการแพทย์ เธอนั้นถือว่าได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับยาสมุนไพรจีนมาแล้วมากมาย

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เจียงป่าวชิงมีเรื่องให้ต้องคิดมากแล้ว เธอค้นดูเสื้อผ้าทั้งตู้ แต่เธอกลับไม่พบสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกับชุดชั้นในเลย

ไม่!  มี!  ชุด!  ชั้น!  ใน!

การเรียนเรื่องศิลปะของเข็มเงิน เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องเรียนเกี่ยวกับสมัยโบราณ เจียงป่าวชิงจำได้ราง ๆ ว่าในยุคก่อน ๆ ผู้หญิงสมัยโบราณไม่ใส่ชุดชั้นใน

เจียงป่าวชิงไม่เคยคิดมาก่อนว่าต้าหลงแห่งนี้ จะเป็นราชวงศ์ที่ไม่มีชุดชั้นใน…

เธอยกกางเกงขายาวขึ้นมาพร้อมกับพูดอย่างเงียบ ๆ ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามสินะ” จากนั้นเธอก็ใส่กางเกงทั้งน้ำตา

และในขณะนั้นเอง เสียงของโจซื่อที่กำลังคุยกับเจียงหยุนชานก็ดังมาจากนอกหน้าต่าง

หน้าต่างห้องของเจียงป่าวชิงถูกแปะด้วยกระดาษน้ำมันทึบแสง เนื่องจากสภาพทรุดโทรมเป็นเวลานานหลายปี จึงมีหลายจุดที่ริมขอบโค้งงอออกมาแล้ว มันชำรุดมาก

เจียงป่าวชิงตัดสินใจมองออกไปนอกหน้าต่างจากมุมที่ชำรุด