บทที่ 5 ออกเดินทาง Ink Stone_Romance
เหตุใดถึงรักษาโรคได้ล่ะ
“ปั้นฉิน เจ้าบอกว่าเป็นหมอต้องเรียนตั้งแต่ยังเล็กถึงจะรักษาคนได้ไม่ใช่หรือ” เฉิงเจียวเหนียงพูดพร้อมนั่งตัวตรง ถึงแม้จะเป็นท่วงท่าที่แสนง่ายดาย แต่เมื่อเทียบกับคนปกติแล้ว นางยังคงดูเชื่องช้ากว่ามาก “ในเมื่อข้าเป็นเด็กสติไม่ดีก็คงไม่เรียนด้านนี้หรอก”
ปั้นฉินมองดูนางด้วยท่าทางงุนงง
นึกถึงคืนฝนฟ้าคะนองเมื่อสามเดือนก่อน สายฟ้าฟาดผ่าลงที่กลางวัดเต๋า โชคดีที่นางและนายหญิงอาศัยอยู่
ในห้องที่โทรมที่สุดของวัด ฟางหญ้าอิฐดินทำให้พวกนางยังมีโอกาสหนีรอดออกมาได้ แต่ทว่าสายฟ้านั้นกลับผ่าลงที่ต้นไม้ใหญ่หน้าห้องพวกนางและพื้นที่พวกนางยืนอยู่ นายหญิงส่งเสียงกรีดร้องครั้งแรกในชีวิตก่อนจะสลบไป
พอฟื้นขึ้นมานางก็เปลี่ยนไป ไม่สิ หายดีต่างหาก
ดวงตาขยับได้ ไม่มีน้ำลายไหลยืด แถมยังพูดได้อีกด้วย
“นายหญิง ดูเหมือนว่าในตอนนั้นนักพรตจะพูดถูก ที่ให้ท่านออกจากบ้าน ห่างจากญาติ แล้วมาอยู่ในวัดเต๋าถึงจะเป็นการมงคล” ปั้นฉินกล่าวด้วยความตื่นเต้น
อย่างนั้นหรือ
เฉิงเจียวเหนียงครุ่นคิด แต่เพราะกล้ามเนื้อแข็งเกร็งไปหมด จึงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า
“แต่ว่า ถึงแม้ข้าจะหายดีเพราะเหตุนี้ แต่ก็ไม่น่าจะจู่ๆ ก็รักษาโรคได้นี่” นางเอ่ยช้าๆ
นั่นสิ ปั้นฉินขมวดคิ้วครุ่นคิด น่าแปลกเสียจริง
“อ้อ” ทันใดนั้นนางก็ตบฝ่ามือฉาดเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “ไม่แปลกนี่เจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงเบนสายตามองไปทางนาง แต่เพราะท่วงท่านั้นแสนเชื่องช้า ทำให้ยังดูเหมือนเหม่อลอย
“นายหญิง ในเมื่อท่านเซียนทำให้ท่านหายดีได้ ถ้าท่านจะรักษาโรคให้คนตายแล้วฟื้นขึ้นมาได้ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่เจ้าคะ” ปั้นฉินกล่าว ดวงตาส่องประกายแวววาว
‘หา’ เฉิงเจียวเหนียงเหม่อไปสักพัก เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นอิทธิฤทธิ์ที่ท่านเซียนประทานให้
“นายหญิง นี่ก็ไม่แปลกนี่เจ้าคะ ท่านรู้จักหยางต้าเหนียนเมืองเจี้ยนโจวไหมเจ้าคะ” ปั้นฉินถาม พอพูดเสร็จก็ตบหัวตัวเองหนึ่งที นายหญิงเป็นเด็กสติไม่ดี จะรู้ได้อย่างไรเล่า เพราะชีวิตในวัดเต๋านั้นแสนน่าเบื่อ เรื่องซุบซิบนินทาของโลกภายนอกนั้นนางจึงจำได้เป็นอย่างดี ตอนที่เหล่าฮูหยินยังอยู่และมาเยี่ยมพวกนางนั้น นางได้ยินเหล่าฮูหยินซุบซิบกับแม่เฒ่าสาวใช้อีกคนหนึ่งว่า “อายุไม่เท่าไร แถมยังพูดไม่ได้ แต่จู่ๆ ก็แต่งกลอนได้ ยังมีอีกนะ ที่จินซีมีบ้านลูกชาวนาคนหนึ่ง อายุได้ห้าขวบ จู่ๆ ก็ท่องกลอนได้เสียอย่างนั้น”
‘หา’ เฉิงเจียวเหนียงเหม่ออีกครั้ง แต่เหม่อครั้งนี้เพราะว่าตกใจ
เก่งเพียงนี้เชียวหรือ!
“เจ้าค่ะนายหญิง พวกผู้ใหญ่พูดกันว่า เป็นเพราะท่านเซียนเปิดทวารให้” ปั้นฉินพูดอย่างชอบใจ มองดูเฉิงเจียวเหนียงพร้อมกุมมือทั้งสองไว้ “นายหญิง ท่านก็เปิดทวารแล้ว เดิมทีสามจิตของท่านขาดไปหนึ่ง เจ็ดวิญญาณขาดไปสอง ตอนนี้ท่านเซียนคืนจิตวิญญาณให้ท่านแล้วนะเจ้าคะ”
‘หา’ เป็นเช่นนี้หรือ เฉิงเจียวเหนียงสายตาว่างเปล่า
“นายหญิง นักพรตผู้นั้นไม่ใช่คนหลอกลวงจริงๆ ด้วยเจ้าค่ะ! นายท่านอาจจะไม่ได้ตั้งใจทอดทิ้งท่านก็ได้นะ
เจ้าคะ!” ทันใดนั้นปั้นฉินก็อดประหลาดกับคำพูดของตัวเองไม่ได้ “นายหญิง หรือเราจะกลับไปวัดเต๋าดีเจ้าคะ นายท่านต้องกลับมารับท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”
‘หา’ จะเป็นไปได้หรือ เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้าในใจ เพียงแต่ร่างกายตามความคิดของนางไม่ทัน สีหน้าแรกยังไม่ทันได้ปรากฏ ความคิดใหม่ก็ลอยเข้ามาในหัวเสียแล้ว สุดท้ายก็เลยไม่ทำมันสักสีหน้าไปเสียเลย
“เราออกมาไกลขนาดนี้แล้ว จะกลับไปอีกก็คงไม่ดี เดินทางกลับบ้านน่าจะดีกว่า จะได้ไม่ยุ่งยาก” นางเอ่ยอย่างเชื่องช้าในที่สุด
ปั้นฉินพยักหน้ารับ เมื่อนายหญิงที่นางต้องเฝ้าดูทุกกระเบียดนิ้วอาการดีขึ้น นางจึงรู้สึกราวกับว่ามีที่พึ่งพิง ถึงแม้นายหญิงจะอาการกำเริบขึ้นมาในบางครั้ง แต่นางกลับรู้สึกปลอดภัยอย่างหาใดเปรียบ
เฉิงเจียวเหนียงเหม่อลอยไม่พูดจา
วันเวลาที่ผ่านมาทำให้ปั้นฉินอ่านกริยาของนางออกอย่างกระจ่าง รู้ว่าท่าทางเช่นนี้หมายถึงกำลังครุ่นคิด
และเตรียมจะพูด นางจึงเฝ้าคอยโดยไม่ได้เร่งรัดใดๆ
“ตอนนี้เราเก็บเงินได้เท่าไร” เฉิงเจียวเหนียงถาม
เรื่องเงินนั้น แต่ละวันปั้นฉินต้องนับสักสองรอบ เพื่อให้จำได้ขึ้นใจ
“บวกกับเงินครั้งนี้ที่บ้านตระกูลจางให้มา ก็สิบตำลึงเจ้าค่ะ” นางรีบตอบ
ค่าเช่าบ้าน รักษาโรคให้คนอื่น ยาบำรุงของตน และอาหาร ล้วนต้องใช้เงินทั้งนั้น ทุกครั้งที่นางหาเงินมาได้ เดี๋ยวเดียวก็ใช้หมด แต่ก็ไม่เป็นไร หมดแล้วหยุดพัก มาหาเงินใหม่ วนเวียนซ้ำไปเช่นนี้ เพื่อจะได้เข้าใกล้บ้านตระกูลเฉิงมากเรื่อยๆ
หากได้พบเจ้าเหล่าญาติพี่น้อง ได้กลับบ้านที่เคยอยู่ตอนเกิด ก็คงจะช่วยให้เรียบเรียงความทรงจำที่วุ่นวาย
ไม่ปะติดปะต่อเหล่านี้ได้
“ก็คงพอให้เราเดินทางได้ช่วงหนึ่งแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “เจ้ารีบไปโรงรถม้า เราจะไปกันตอนกลางคืน”
ตอนนี้เลยหรือ คืนนี้เลยหรือ
ปั้นฉินตกใจไม่น้อย แม้ว่าบ่อยครั้งที่พวกนางพักอาศัยอยู่ที่หนึ่งแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ในคราวก่อนๆ มักจะวางแผนเดินทางวันนี้ พรุ่งนี้จึงเตรียมตัว แล้ววันมะรืนถึงจะออกเดินทาง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พูดว่าจะไปก็ไปเช่นนี้
“นายหญิง ท่านพักฟื้นร่างกายอีกสักนิดเถอะเจ้าค่ะ” นางกล่าวอย่างกังวลใจ “ไม่ต้องรีบร้อนเช่นนี้”
เฉิงเจียวเหนียงค่อยๆ พยักหน้า เดิมทีนางอยากจะส่ายหน้า แต่ช่างทำยากเสียจริง จึงยอมเลิกไป
“ครั้งนี้เป็นเพราะฮูหยินบ้านข้างๆ ป่วย เราเลยพักอยู่ที่นี่นานกว่าคราวก่อนๆ หลายวัน …” นางเอ่ย ในใจนางมีคำพูดมากมาย แต่ทำอย่างไรได้พอมาถึงที่ปาก ลิ้นมันก็ควบคุมไม่ได้ดั่งใจ ทำได้เพียงพูดเรื่องยาวให้สั้นลง สุดท้ายเหลือเพียงหนึ่งประโยคว่า “ก็เลยเกรงว่าจะไม่ดี”
ไม่ดีหรือ ทำไมถึงไม่ดีเล่า ปั้นฉินไม่เข้าใจ
เฉิงเจียวเหนียงไม่พูดต่อ แต่จ้องมองนาง
แม้ดวงตาคู่นั้นจะกลับมามีชีวิตชีวาแล้ว แต่มองดูดีๆ ก็เหมือนกับสระน้ำที่แน่นิ่ง
ปั้นฉินรีบก้มหัว
“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” นางกล่าวแล้วรีบลุกออกไป
ความเงียบสงัดกลับเข้ามาปกคลุมภายในห้องอีกครั้ง ไม่รู้ว่าฝนข้างนอกหยุดไปตั้งแต่เมื่อใด บรรยากาศเปียกชื้นลอดเข้ามาพร้อมกับสายลมเย็น ความรู้สึกนี้ช่างสบายกายยิ่งนัก เฉิงเจียวเหนียงนอนลง ปลดปล่อยอารมณ์ให้ว่างเปล่า ร่างทั้งร่างกลับมาแน่นิ่งดังเดิม
ไม่ใช่ว่านางไม่คิดอะไร แต่นางคิดไม่ได้ต่างหาก เพราะหากคิดจะจับต้นชนปลายความทรงจำในหัวเมื่อใด นางก็จะว้าวุ่นและปวดหัวเสียทุกที จนอาจจะฟั่นเฟือนไปเลยก็ได้ แต่หากปล่อยวางไม่คิดอะไรเลยเช่นนี้ จะทำให้ร่างกายนางนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ อาการเหม่อลอยก็จะน้อยลงเช่นกัน
ปั้นฉินทำงานอย่างว่องไว ออกไปเพียงครู่เดียวนางก็กลับมา แน่นอนว่าเป็นเพราะตอนนี้พวกนางพอจะมีเงินบ้างแล้ว นึกถึงแต่ก่อนตอนที่เดินทางจากวัดเต๋าเพื่อออกจากเมืองปิ้งโจว แม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ แต่พวกนางยังใช้เวลาถึงเจ็ดวัน
“นายหญิง ข้าไปเก็บของนะเจ้าคะ” นางกล่าว “รถม้าของโรงรถม้าจะมาตอนกลางคืน เรากินข้าวกันก่อน
ตอนกลางคืนจะได้ไม่ต้องหยุดแวะเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงอยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อน เพียงแต่ส่งเสียง ‘อืม’
ปั้นฉินลุกขึ้นอย่างดีใจ แต่พอยืนขึ้นก็ได้ยินคนพูดเสียงดังจากด้านนอก
“นี่ หมอเทวดาอยู่บ้านนี้ใช่หรือไม่”
ปั้นฉินเปิดประตูอีกบานที่ยังไม่ได้ผลักออก มองดูสองชายหนึ่งหญิงนอกประตู เมื่อเห็นนางมองมา หญิงที่นั่งอยู่ตรงประตูก็โอดครวญเสียงดัง
“แม่นางรีบช่วยชีวิตข้าเถิด” นางตะโกน
ปั้นฉินขมวดคิ้ว ดูท่าทางแล้วไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นนายหญิงบอกเองว่าจะไม่รับรักษาแล้วด้วยสิ
“อาการป่วยของเจ้า นายหญิงข้ารักษาไม่ได้ ไปโรงหมอเถิด” นางกล่าวและกำลังหันหลังกลับ
เสียงปังมาจากด้านหลัง ชายหนึ่งในนั้นใช้มือตบบนประตู
“ทำไมรักษาไม่ได้ คนอื่นพวกเจ้าก็รักษาให้ ทำไมพวกเราไม่รักษาเล่า เพราะเราไม่มีเงินหรือ” ชายผู้นั้นตะโกน
ปั้นฉินมองดูชายท่าทางโหดเหี้ยม แต่นางกลับไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย
นายหญิงของนางเป็นเทวดาที่ท่านเซียนเปิดทวารให้เชียวนะ
“มิใช่หรอก เพราะนายหญิงของข้ารักษาเพียงคนใกล้ตายที่รักษาไม่หายเท่านั้น นายหญิงของท่านไม่เป็นอะไร…” นางกล่าว
คำสุดท้ายยังไม่ทันออกจากปาก ชายผู้นั้นหันหลังกลับยกเท้าขึ้นถีบยอดอกของหญิงสาวในทันที
เสียงกรีดร้องของปั้นฉินและหญิงผู้นั้นดังขึ้นพร้อมกัน แต่ต่างกันที่หญิงผู้นั้นกระอักเลือด ทั้งยังล้มลงบนพื้น
ไม่ขยับตัว
“ตอนนี้คนจะตายแล้ว รักษาได้หรือยัง” ชายผู้นั้นหันกลับมา ยื่นมือมาตบประตูอย่างแรงอีกครั้ง มองดูสาวใช้
ที่หน้าซีดเผือดตรงหน้า น้ำเสียงแสนหยาบโลน
นี่ไม่ใช่มาเพื่อรักษาโรค นี่มาหาเรื่องกันชัดๆ
ปั้นฉินก้าวถอยหลัง แต่พอนึกถึงนายหญิงที่อยู่ในเรือน นางจึงกลับมายืนที่เดิมอีกครั้ง ใบหน้าของปั้นฉินซีดขาว แถมขบริมผีปากล่างของตนไว้แน่น
นี่หรือเรื่องไม่ดีที่นายหญิงพูดถึงเมื่อครู่
………………………………………………….