บทที่ 1

 

 

เอี๊ยดดดด

 

เสียงเสียดสีไม่น่าฟังดังขึ้นพร้อมกับประตูเหล็กของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ถูกปิดลงด้วยมือของเหล่าพลทหารประจำราชวงศ์

 

นั่นคือจุดจบของลอมบาร์เดีย ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในทวีปผู้ซึ่งบริหารงานราชการเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่คู่ราชวงศ์แลมบลูมาตลอดระยะเวลากว่าสองร้อยห้าสิบปี

 

ตระกูลใหญ่ที่เคยนึกว่าจะมั่นคงไปตลอดกาลดั่งสัญลักษณ์ของตระกูลซึ่งเป็นรูปต้นไม้แห่งโลกที่แผ่กิ่งก้านขยายออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ในวันนี้เจ้าตระกูลอย่างเบเจอร์ และแกนนำสำคัญหลายคนกลับถูกจับกุมด้วยข้อหาวางแผนก่อการกบฏและเลี่ยงภาษี ช่างเป็นจุดจบที่น่าขันเสียจริง

 

เมืองลอมบาร์เดียแห่งนี้ถูกตั้งชื่อขึ้นตามชื่อตระกูล ตอนนี้ชาวเมืองหลายร้อยคนต่างก็พากันมารวมตัวอยู่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่มีทั้งคนที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหยาดน้ำตาที่ไหลรินลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งคนที่เบือนหน้าหนีด้วยไม่อาจทนมองภาพที่เกิดขึ้นได้

 

และที่แถวหน้าสุดก็มีเธอ ฟีเรนเทียคนนี้ยืนอยู่

 

“พวกโง่เขลา”

 

เสียงกัดฟันกรอดดังขึ้น แต่ตอนนี้ไม่มีใครคิดที่จะให้ความสนใจ

 

เธอจ้องมองประตูใหญ่ของตระกูลถูกล็อกด้วยกุญแจขนาดใหญ่ กัดฟันกรอด สบถด่าทออีกหลายคำ

 

“โง่เง่าเต่าตุ่น พวกงูเห่าจอมขี้เกียจ ขนาดไฟไหม้ก็ยังนอนเลื้อย”

 

เธอรู้สึกได้ว่าผู้คนที่ยืนอยู่รอบด้านเหลือบสายตามองมา แต่ก็นะ แล้วจะทำไมล่ะ

 

อย่างไรตระกูลลอมบาร์เดียก็ล่มสลายไปแล้วอยู่ดี

 

ทว่าต่อให้ด่าสาปส่งเสียๆ หายๆ แค่ไหน ข้างในใจที่เดือดพล่านด้วยความโมโหกลับไม่คลายอารมณ์โกรธลงเลยแม้แต่น้อย

 

“ข้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าเจ้าชายลำดับที่หนึ่งน่ะไม่ได้เรื่อง หมอนั่นมันเป็นพวกเพชฌฆาตหน้าเลือด บอกตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าไม่มีทางเป็นรัชทายาทได้น่ะ! ”

 

ขนาดเธอเตือนย้ำแล้วย้ำอีก พวกโง่เขลาตระกูลลอมบาร์เดียก็ยังเลือกข้างเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง

 

เจ้าชายลำดับที่หนึ่งอาสทาน่า เนเรมเฟย์ ดิวเรลลี่

 

ถึงแม้พวกนั้นจะอ้างว่าเลือกเขาเพราะเป็นโอรสของจักรพรรดินีก็เถอะ แต่แค่ดูก็รู้แล้วว่าพวกมันก็แค่เลือกคนประเภทเดียวกับตัวเองเท่านั้น

 

เธอหมายถึงพวก ‘สายเลือดชั้นสูง’ ที่หัวสมองที่มีแต่ความฟุ่มเฟือยและความสนุกสนานอยู่เต็มไปหมด กับร่างกายที่ความขี้เกียจมันซึมลึกเข้ากระดูกดำ

 

หากจะกล่าวว่าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของตระกูลลอมบาร์เดียคือประวัติศาสตร์ของอาณาจักร ก็ไม่ถือว่าเป็นการโอ้อวดเกินจริงแต่อย่างใด

 

คนที่ทำให้ตระกูลดิวเรลลี่ที่เคยเป็นแค่เจ้าเมืองแถบชายแดนได้ขึ้นครองเป็นจักรพรรดิ ทั้งยังนำพาอาณาจักรมาได้ถึงตอนนี้ก็คือตระกูลลอมบาร์เดีย

 

แค่นั้นเองเหรอ

 

พวกเขาเริ่มทำการค้าขายสั่งสมความมั่งคั่ง ทุกครั้งที่เกิดสงครามก็เป็นฝ่ายออกหน้าใช้ศิลปะทางการทูตเจรจานำชัยชนะมาสู่อาณาจักรโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียวทั้งยังให้การสนับสนุนเหล่าศิลปินผู้มากฝีมือในทุกพื้นที่ของอาณาจักร กล่าวได้ว่าในโลกใบนี้ไม่มีที่ไหนที่นามของตระกูลลอมบาร์เดียไปไม่ถึง

 

และผู้ได้รับคำสรรเสริญว่าเป็นคนที่นำพาตระกูลลอมบาร์เดียที่ว่าขึ้นสู่จุดสูงสุดก็คือ เจ้าตระกูลคนก่อน รูลลัก ลอมบาร์เดีย

 

เมื่อสมัยที่รูลลักในวัยเยาว์ได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูล ทางราชวงศ์ได้มอบป้ายทองให้เขา เพื่อรักษาสายสัมพันธ์อันดีงามเอาไว้

 

ในตอนนั้นสิ่งที่รูลลักคิดได้ก็คือ การก่อตั้งระบบทุนสนับสนุน

 

ไม่แบ่งแยกชนชั้นสูงกับสามัญชน เขามอบเงินทองมากมายโดยไม่คิดหวงแหน ให้ความสนับสนุนส่งเสริมอัจฉริยะมากความสามารถในแต่ละวิชาชีพ

 

ความจงรักภักดีของผู้คนที่ได้รับการสนับสนุนจากลอมบาร์เดียตั้งแต่เด็กจนได้ศึกษาเล่าเรียนจะย้อนคืนกลับไปที่ใดได้ล่ะ มันก็เป็นเรื่องที่เห็นได้อย่างชัดเจนมากอยู่แล้ว

 

พวกเขาไม่ใช่ลอมบาร์เดีย แต่พวกเขาเป็นคนของลอมบาร์เดีย

 

รูลลักผู้เป็นเจ้าตระกูลรุ่นก่อนประสบความสำเร็จในการสร้างคนของตนกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง โดยที่เขาไม่ต้องย่างกรายออกจากเมืองลอมบาร์เดียแม้แต่ก้าวเดียว

 

แม้แต่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเองก็ยังต้องยอมรับในอำนาจของลอมบาร์เดีย แต่สุดท้ายในรอบยี่สิบปีป้ายทองก็ถูกริบกลับคืน

 

แต่ว่า

 

“ต่อให้โง่ขนาดไหนก็เถอะ ทำอีท่าไหนถึงได้ทำให้ตระกูลล่มสลายได้ในเวลาแค่สองปี! ”

 

สองปีก่อน เจ้าตระกูลคนก่อน รูลลัก ลอมบาร์เดียเสียชีวิตลงบุตรชายคนโตอย่างเบเจอร์ ลอมบาร์เดียได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนถัดมา

 

และนั่นก็คือจุดเริ่มต้น

 

เบเจอร์เป็นเพียงแค่ผีร้ายที่ดีแต่พูดจาลื่นไหลเสนาะหูเท่านั้น จึงไม่มีความสามารถพอที่จะนำตระกูลใหญ่ที่ไม่ต่างจากแคว้นหนึ่งได้ และเมื่อไม่มีเจ้าตระกูลคนก่อนที่คอยควบคุมเชื้อสายตรงของลอมบาร์เดียผู้ชื่นชอบในการใช้เงิน และยังเห็นแก่ตัวเป็นที่สุดเอาไว้ พวกเขาก็กระโดดโลดเต้นราวกับลูกม้าที่ถูกปล่อยสายบังเหียน

 

ไม่ต้องมองก็เห็นได้อย่างชัดเจน

 

เหตุผลที่เธอรู้ไส้รู้พุงของพวกนั้นดีขนาดนี้ก็ง่ายมาก

 

เพราะช่วงหนึ่งเธอเองก็เคยเป็นลอมบาร์เดียยังไงล่ะ

 

กล่าวให้ละเอียดมากขึ้นอีกหน่อยก็คือ เธอใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเกาหลีใต้อยู่ดีๆ แล้วก็ดันตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ก่อนจะมาเกิดใหม่ในโลกใบนี้

 

เกิดมาในฐานะสายเลือดของตระกูลลอมบาร์เดีย

 

ตอนแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในร่างเด็กทารก เมื่อได้เห็นสภาพแวดล้อมที่ดูงดงามตระการตา เธอถึงกับร้องอุทานออกมาแทนเสียงร้องไห้ด้วยซ้ำไป

 

ในที่สุดก็ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดกับเขาบ้างเสียที!

 

ได้ตื่นขึ้นมารับอรุณยามเช้าในคฤหาสน์หลังใหญ่นั่นทุกวัน ตอนกลางคืนก็เหม่อมองภาพวาดบนเพดานสูงก่อนจะหลับใหล เธอเองก็ได้มีวันแบบนี้กับเขาบ้างแล้ว

 

แต่น่าเศร้าที่เธอเป็นพวกเลือดผสม

 

บิดาเป็นบุตรชายคนที่สามของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคนก่อน แต่มารดาที่คลอดเธอแล้วเสียชีวิตไปนั้นเป็นเพียงสามัญชน ทั้งยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีของตระกูลอันแสนเคร่งครัด

 

ตัวเธอที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากสายสัมพันธ์ดังกล่าว หากพูดให้ชัดเจนก็คือเป็นบุตรนอกสมรส โชคดีที่ได้รับอนุญาตจากท่านปู่จึงได้มีสิทธิ์ใช้นามสกุลลอมบาร์เดียอย่างถูกต้อง

 

อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการยอมรับในฐานะสมาชิกตระกูลลอมบาร์เดียไปด้วย

 

ตลอดเวลา ถึงแม้จะไม่ได้เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ แต่เธอก็เป็นเพียงแค่เด็กที่อยู่ในตำแหน่งหมิ่นเหม่ที่ได้ใช้นามสกุลลอมบาร์เดียเท่านั้นเอง

 

อาจจะฟังดูดี แต่ช่วงเวลาอันแสนสุขของเธอนั้นช่างแสนสั้น

 

วันก่อนหน้าวันเกิดอายุครบสิบเอ็ดขวบ

 

ท่านพ่อของเธอจากไปด้วยโรคร้ายที่ไม่อาจรักษาได้ และหลังจากกลายเป็นเด็กกำพร้า เธอก็ถูกคนในตระกูลลืมเลือน

 

เมื่อไม่มีสายสัมพันธ์เพียงหนึ่งเดียวที่เชื่อมเธอกับตระกูลเข้าไว้ด้วยกันอย่างท่านพ่อ เธอก็ไม่ใช่ลอมบาร์เดียอีกต่อไป

 

ผ่านไปได้ไม่นาน เธอก็ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมแม้กระทั่งงานเลี้ยงครอบครัว แล้วค่อยๆ เสียตำแหน่งของตัวเองไป

 

แต่ถึงยังไงก็ไม่อาจเงียบหายตายจากไปแบบนี้ได้ตลอด นับตั้งแต่อายุสิบห้าปีซึ่งร่างกายเริ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เธอก็เริ่มต้นทำงาน

 

เริ่มต้นจากการดูแลห้องสมุดภายในคฤหาสน์

 

เมื่อตอนที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ สถานที่ที่ท่านพ่อเคยใช้เวลาบ่อยครั้งมากที่สุดก็คือที่นี่ และยังเป็นสถานที่ที่เธอแวะเวียนมาบ่อยครั้งราวกับเป็นห้องของตัวเองเวลาว่างไม่มีอะไรให้ทำ

 

แต่จู่ๆ บรรณารักษ์ก็ลาออกไปด้วยป่วยไข้ทำให้มีตำแหน่งว่างลงเธอจึงได้รับหน้าที่ดังกล่าวแทน

 

การฝากฝังงานดูแลห้องสมุดทั้งหมดให้เด็กอายุเพียงสิบห้าปีรับผิดชอบเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ชื่อของลอมบาร์เดียก็มีประโยชน์กับเธอในตอนนั้นมากทีเดียว

 

หน้าที่จัดเรียงหนังสือและสั่งซื้อหนังสือตามที่คนอื่นๆ ร้องขอมันเป็นงานที่เธอชอบ และก็ไม่ได้ยากลำบากอะไรนัก

 

ผลลัพธ์ของการทำงานอย่างหนักด้วยความสนุกสนานช่วยทำให้ห้องสมุดค่อยๆ ดูดีขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เธอได้รับการยอมรับเป็นครั้งแรก

 

เป็นเช่นนั้น ทีละนิด ทีละนิด

 

ผลของการเริ่มลงมือทำงานต่างๆ ของคฤหาสน์

 

เมื่อผ่านวันเกิดอายุครบสิบแปดปี เธอก็ได้รับหน้าที่ดูแลคฤหาสน์ลอมบาร์เดียโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมันเป็นหน้าที่ที่ค่อนข้างหนักหนาเอาการ

 

พี่น้องทั้งหลายของพ่อเธอต่างก็เป็นชนชั้นสูงหัวสูงที่ใช้ชีวิตอย่างเย่อหยิ่งตามความชอบของตัวเองกันทั้งสิ้น บรรดาลูกพี่ลูกน้องของเธอ หรือพวกคนโง่ของตระกูลลอมบาร์เดียพวกนั้นเองก็เอาแต่ก่อเรื่องไม่เว้นวัน

 

และปีที่เธออายุได้สิบเก้า ท่านปู่ก็ป่วยจนหมดสติ เธอจึงต้องคอยช่วยงานอยู่เคียงข้างกายท่าน

 

มันเป็นเรื่องแน่นอนที่คงไม่มีใครรู้เรื่องงานของตระกูลดีเท่ากับเธออีกแล้วแตกต่างจากลูกพี่ลูกน้องที่ในหัวสมองต่างขาวโพลนโล่งโจ้งเหมือนกระดาษเปล่า ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นงานอะไรเธอก็สามารถเรียนรู้และจัดการได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ท่านปู่ตกใจเป็นอย่างมาก

 

“ถ้าหากรู้ก่อนหน้านี้หลายปีหน่อยว่าเจ้าเป็นเด็กเช่นนี้ละก็!”

 

อาการป่วยเริ่มเรื้อรังหนักขึ้นเรื่อยๆ ท่านปู่ของเธอที่เริ่มเป็นห่วงอนาคตของวงศ์ตระกูลรูลลัก ลอมบาร์เดีย มักจะถอนหายใจเช่นนี้จนติดเป็นนิสัย

 

“ข้าคงจะมอบตระกูลนี้ให้แก่เจ้าไปแล้ว…”

 

ทุกครั้งที่ท่านกล่าวเช่นนั้น เธอมักจะถอนหายใจพลางหัวเราะ

 

“ต่อให้เป็นแบบนั้นก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรอกค่ะ ท่านปู่”

 

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

 

“ข้าเป็นเพียงแค่เลือดผสมนะคะ ข้าที่เกิดจากมารดาสามัญชน จะเป็นเจ้าตระกูลได้ยังไงกันล่ะคะ”

 

“ไม่หรอก ฟีเรนเทีย”

 

เสียงของท่านปู่ที่ส่ายศีรษะไปมาค่อนข้างหนักแน่น

 

“เจ้าคือลอมบาร์เดีย ในเมื่อเจ้าเป็นผู้สืบสายเลือดของตระกูล เจ้าย่อมมีสิทธิ์มากพอ”

 

แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความเสียใจที่เพิ่งตระหนักขึ้นมาได้ทีหลังเท่านั้น บุตรชายคนโตของท่านปู่อย่างเบเจอร์กำลังตั้งหน้าตั้งตานับวันรอที่จะได้ขึ้นเป็นเจ้าตระกูล