ภาคที่ 1 บทที่ 7 สืบข่าว

มู่หนานจือ

ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อนั้น คนหนึ่งพาเหล่านางในที่ถือผ้าเช็ดหน้า สบู่ และอ่างล้างหน้าเข้ามา ส่วนอีกคนพาเหล่านางในไปปูเตียงและจุดกำยานในห้องด้านในของห้องข้างตะวันออก

 

เจียงเซี่ยนเห็นแบบนี้ คืนนี้ฉิงเค่อน่าจะเป็นคนเข้าเวรกลางคืน

 

นางอดที่จะพยักหน้าในใจไม่ได้

 

ชาติก่อนนางยอมให้หลี่เชียนครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายตอนที่หมดหนทางจริงๆ ก็ยกนางในที่หน้าตาโดดเด่นหลายคนให้หลี่เชียนตามคำแนะนำของเฉาเซวียน ตอนแรกเขาเหมือนยังคิดว่าไม่คุ้มที่จะรับไว้ ตอนหลังไม่รู้ทำไมถึงคิดได้ และไม่เพียงแต่รับนางในทั้งหมดเอาไว้ ทว่ายังขอให้มอบไป่เจี๋ยหรือฉิงเค่อเป็นรางวัลแก่เขาด้วย

 

ถึงแม้ตอนนั้นนางจะโกรธ แต่หลังจากใจเย็นลงแล้วก็ครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่นาน

 

ในวังนั้นจิตใจที่จงรักภักดีสำคัญยิ่งกว่าความสามารถ

 

ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อก็เป็นหนึ่งในคนที่จงรักภักดีต่อนางที่สุด

 

ทว่าไป่เจี๋ยขี้ขลาด เจออะไรก็ไม่กล้าเดินแม้แต่ก้าวเดียวหากไม่มีคำสั่งจากนาง ส่วนฉิงเค่อนั้นกลับเป็นคนกล้าหาญ ถ้านางมีธุระอะไรที่ไม่สะดวกจะพูดออกมาอย่างชัดเจน นางจะอยากมอบให้ฉิงเค่อไปทำมากกว่า และฉิงเค่อก็ปรับตัวเข้ากับชีวิตในวังได้มากกว่าไป่เจี๋ยเช่นกัน

 

เจียงเซี่ยนถามความเห็นของไป่เจี๋ย สุดท้ายก็มอบไป่เจี๋ยให้เป็นรางวัลแก่หลี่เชียน

 

ดังนั้นพอถึงตอนกลางคืนที่ทุกคนต่างไปพักผ่อนแล้ว และในห้องเหลือเพียงฉิงเค่อที่เข้าเวร เจียงเซี่ยนจึงสั่งฉิงเค่อเสียงเบา “พรุ่งนี้เจ้าลองไปสืบที่ห้องอุ่นตะวันออกว่าไทเฮาเสด็จมาได้ตรัสอะไรกับไทฮองไทเฮาบ้าง?”

 

ฉิงเค่อแปลกใจมาก

 

ติงเซียงกับเถิงหลัวต่างหากที่เป็นนางในระดับสูงของตำหนักตงซาน ปกติเรื่องลับแบบนี้ท่านหญิงจะสั่งติงเซียงหรือเถิงหลัว

 

ไทเฮาจะฉวยโอกาสพระราชทานอภัยโทษช่วงวันเกิด ท่านหญิงคิดจะปล่อยติงเซียงกับเถิงหลัวออกจากวังอย่างนั้นหรอกหรือ?

 

นางครุ่นคิดอยู่ในใจ ทว่ากลับไม่แสดงออกทางสีหน้า และขานรับเสียงเบาอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ” แล้วลุกขึ้นเขี่ยกำยานในกระถางเบญจรงค์มีหูเคลือบทองและพันรอบด้วยมังกร

 

กลิ่นในห้องหวานขึ้นแล้ว

 

เจียงเซี่ยนลืมตาโต และนานมากกว่าจะหลับ

 

ในความฝัน หลี่เชียนเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างรวดเร็ว แล้วยื่นมือมาเลิกม่านมุกของนางขึ้น

 

ม่านมุกที่ร้อยด้วยไข่มุกตะวันออกขนาดเท่าเม็ดบัวกระทบกัน ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งกรุ๊งกริ๊งน่าฟัง

 

นางอุ้มจ้าวสี่ที่ยังเยาว์วัยเหมือนเด็กที่น่ารักและนั่งแข็งทื่ออยู่บนเตียงไม้จันทน์แดงเตี้ยลายสวัสติกะ โดยที่ในมือถือยาพิษที่หมอหลวงปรุงให้นางอยู่ แม้จะตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ แต่กลับยังคงมองเขาตาโตเช่นเดิม และถามเสียงเฉียบขาดว่า “เจ้าเป็นใคร?”

 

หลี่เชียนไม่ตอบ เขาก้าวมาข้างหน้าหลายก้าวและคุกเข่าข้างเดียวลงตรงหน้านาง แล้วเอ่ยว่า “นางในในวังรับใช้ฮ่องเต้และเป็นผู้หญิงของฮ่องเต้ ไทเฮาพระราชทานเป็นรางวัลแก่กระหม่อมเช่นนี้ กระหม่อมจะกล้าใช้ได้อย่างไร? สรุปแล้วไทเฮาเป็นห่วงทายาทของกระหม่อมหรืออยากทำลายเรือนด้านในของกระหม่อมกันแน่พ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมว่าไทเฮาพระราชทานนางในคนสนิทข้างพระวรกายของไทเฮาเป็นรางวัลแก่กระหม่อมอีกสักคนดีกว่า นอกจากจะช่วยกระหม่อมดูแลเรือนด้านในได้แล้วยังช่วยกระหม่อมสกัดพวกคนที่ไม่หวังดีได้ด้วย…”

 

เสียงของเขาทุ้มต่ำและหนักแน่น พอพูดถึงตอนท้ายยังเหลือบมามองนางครั้งหนึ่งด้วย ช่างเหลาะแหละและหลงระเริง เหมือนจวิ้นอ๋อง[1]ที่เป็นรองเพียงฮ่องเต้ตรงไหนกัน

 

นางโกรธจนตัวสั่นไม่หยุด และลุกขึ้นยืนทันที…

 

แล้วเจียงเซี่ยนก็ตื่น

 

เสาโป๊ยกั้กตั้งอยู่ตรงมุมกำแพง โคมวังหลวง[2]สว่างไสวแวววาวเหมือนพระจันทร์ที่สุกสกาว บนม่านเตียงผ้าทอลายหงส์แดงเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ปรากฏแสงสีฟ้า

 

แต่เจียงเซี่ยนกลับนอนไม่หลับอีกแล้ว

 

นางจึงลืมตามองแสงในห้องและท้องฟ้าที่ค่อยๆ สว่างขึ้น

 

ฉิงเค่อผูกม่านเตียง แล้วสั่งให้นางในน้อยไปเอาเสื้อนอกสองชั้นที่ผิงอยู่บนกระถางไฟมา และช่วยนางลุกจากเตียง

 

เจียงเซี่ยนยังเวียนศีรษะอยู่เล็กน้อย จนตอนที่ไป่เจี๋ยถือกล่องเครื่องประดับให้นางเลือกปิ่นปักผมกับต่างหูที่จะใช้ในวันนี้ นางถึงเห็นว่าไป่เจี๋ยชายตาสังเกตนางอย่างระมัดระวังมากอยู่ตลอดเวลา

 

“เป็นอะไรไป?” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “มีอะไรผิดปกติหรือ?”

 

ไป่เจี๋ยถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านหญิง วันนี้จะทาแป้งสักหน่อยไหมเจ้าคะ?”

 

ตอนที่เจียงเซี่ยนเพิ่งฟื้นคืนชีพนั้น นางไม่กล้านอนตอนกลางคืน เพราะกลัวว่าพอลืมตาก็จะกลับไปยังอดีตอีก กว่าจะรู้ว่าตนเองกลับไปไม่ได้อีกแล้ว ตอนกลางคืนก็เริ่มฝันร้ายว่าตนเองถูกจ้าวสี่วางยาพิษ…วันนี้นางเจอหลี่เชียนก็เริ่มฝันถึงหลี่เชียนอีก…

 

หลี่เชียนคงจะไม่ได้เป็นตัวร้ายในชีวิตของนางจริงๆ ใช่หรือไม่?

 

เพียงแค่เขาปรากฏตัว แม้แต่ฝันร้ายเหล่านั้นก็ไม่กล้ามาก่อกวนนางอีกแล้ว?

 

เจียงเซี่ยนเหมือนอารมณ์หดหู่ทันที นางเลือกเครื่องประดับผมมุกรูปดอกไม้สีปะการังแดงสองชิ้นไปให้ไป่เจี๋ยช่วยนางใส่ และสั่งให้นางทาแป้งให้ตนเองหน่อย “…ไทฮองไทเฮาจะได้ไม่ทราบว่าข้านอนไม่ค่อยหลับ”

 

ถึงเวลานั้นท่านยายจะต้องระดมกำลังเชิญหมอหลวงเถียนจากสำนักหมอหลวงมาตรวจนางอย่างแน่นอน และอาจจะทำให้เฉาไทเฮากับฮ่องเต้ส่งคนมาถามสารทุกข์สุขดิบ จนถึงขนาดให้เฉาเซวียนมาเยี่ยมคนป่วยด้วย

 

ไป่เจี๋ยเหลือบตาลงขานรับ และลงมือแต่งหน้าอ่อนๆ ให้นาง

 

เจียงเซี่ยนให้คนไปเชิญไป๋ซู่ แล้วทั้งสองคนก็ไปคารวะไทฮองไทเฮาที่ห้องอุ่นตะวันออกด้วยกัน จนกระทั่งไทฮองไท่เฟยมา ทุกคนก็รับประทานอาหารเช้าพร้อมกัน แล้วไปจุดธูปบูชาและสวดมนต์ที่หอพระใหญ่ พอกลับถึงห้องอุ่นตะวันออกก็ต่างคนต่างคัดคัมภีร์หลายหน้า แล้วก็รับประทานอาหารเที่ยง คอยดูแลให้ไทฮองไทเฮานอนกลางวัน เจียงเซี่ยน ไป๋ซู่ และไทฮองไท่เฟยถึงจะออกมาจากห้องอุ่นตะวันออก

 

ไทฮองไทเฮาไปวังโซ่วคังที่อยู่ติดกันแล้ว

 

ไป๋ซู่ดึงแขนของเจียงเซี่ยนไปหลังตำหนัก

 

นางถามเจียงเซี่ยนเสียงเบามาก “เมื่อวานเจ้าเจอเฉิงเอินกง เขาพูดอะไรหรือเปล่า?”

 

จุดประสงค์ของเฉาไทเฮานั้น ไม่มีใครในวังฉือหนิงที่ไม่รู้

 

เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “ไม่ได้พูดอะไร! แค่ทักทายกันเท่านั้น ข้าจะคุยอะไรกับเขาได้?”

 

ไป๋ซู่เงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเมินเฉิงเอินกงทุกครั้งที่เจอเขาก็ได้…ข้าได้ยินคนอื่นบอกว่าเขาใช้ได้เลยทีเดียว…ทุกคนต่างก็ทำตามใจตนเองไม่ได้ทั้งนั้น…”

 

เมื่อก่อนไป๋ซู่ก็เคยเตือนเจียงเซี่ยนแบบนี้เหมือนกัน เจียงเซี่ยนรับปาก แต่ในใจกลับไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก นางรู้สึกว่าสายตาที่เฉาเซวียนมองนางไม่มีความกระตือรือร้น เขาไม่ได้ชอบนางด้วยซ้ำ ทว่ายังจะทำเป็นสนใจนางมากให้ได้ ทำเหมือนนางไม่เคยเจอคนโง่ น่าเกลียดมาก ดังนั้นไม่ว่าไป๋ซู่จะเตือนนางว่าเจอเฉาเซวียนแล้วควรทำอย่างไร นางก็ยังทำเช่นเดิมอยู่ดี

 

แต่ชาตินี้ เจียงเซี่ยนคิดถึงความผิดปกติที่ฉายวาบผ่านไปในดวงตาของไป๋ซู่เมื่อวาน ในใจก็คล้ายจะไม่สบายใจเล็กน้อย

 

“เมื่อวานข้าก็ทักทายเขาอย่างดีแล้วไม่ใช่หรือ?” นางมองตาไป๋ซู่แล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้าโตแล้ว จะไม่ก่อความวุ่นวายเหมือนเมื่อก่อนอย่างแน่นอน”

 

“เช่นนั้นก็ดี!” ไป๋ซู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

 

ไม่รู้ทำไมเจียงเซี่ยนถึงรู้สึกว่ารอยยิ้มของไป่ซู่คล้ายจะอ้างว้าง

 

เจียงเซี่ยนขมวดคิ้ว

 

ทั้งสองคนเดินถึงทางแยกของตำหนักตงซานกับตำหนักซีซานแล้ว

 

“เช่นนั้นข้ากลับไปพักผ่อนแล้ว” ไป๋ซู่ไม่ไปที่ตำหนักของเจียงเซี่ยนเหมือนเช่นเคย แต่หาวอย่างเหนื่อยล้าเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ตอนบ่ายพวกเรามาฝึกคัดตัวอักษรกัน”

 

เจียงเซี่ยนพยักหน้า จนกระทั่งเงาร่างของไป๋ซู่หายไปที่ตำหนักซีซานแล้ว นางถึงค่อยๆ กลับไปยังตำหนักของตนเอง

 

ติงเซียงช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้า

 

นางสั่งติงเซียง “ให้ฉิงเค่อเข้ามาทุบขาให้ข้า แล้วพวกเจ้าก็ไปพักเถอะ!”

 

ติงเซียงตอบ “เจ้าค่ะ” แล้วเรียกฉิงเค่อที่ถือไม้ทุบขาอยู่เข้ามา

 

ฉิงเค่อทุบขาให้เจียงเซี่ยนอย่างไม่รีบร้อน

 

นาฬิกาที่บอกเวลาโดยอัตโนมัติของห้องโถงส่งเสียงติ๊กต็อกติ๊กต็อก เสียงที่ดังอย่างมีจังหวะนั้นทำให้เจียงเซี่ยนเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด จึงหลับตาลง

 

ทว่าเสียงของฉิงเค่อที่ลดเสียงให้เบาลงกลับดังขึ้นข้างหูนาง “ท่านหญิง! เฉาไทเฮามาเพื่อเรื่องแต่งงานของท่านหญิงชิงฮุ่ยเจ้าค่ะ ตรัสว่าอยากให้ท่านหญิงชิงฮุ่ยแต่งงานกับหลี่เชียนลูกชายคนโตของหลี่ฉางชิงแม่ทัพฝูเจี้ยน…”

 

————————————

 

 

[1] จวิ้นอ๋อง ตำแหน่งที่มีฐานะรองจากชินอ๋อง ส่วนใหญ่ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้มักเป็นพระโอรสของฮ่องเต้หรือพระโอรสขององค์รัชทายาท

 

[2] โคมวังหลวง คือ โคมหกเหลี่ยมหรือแปดเหลี่ยมที่บุผ้าแพรหรือกระจกทุกด้าน และวาดภาพตกแต่งหลากสีสัน ด้านล่างมีพู่ห้อย เดิมทีใช้ในวังหลวง จึงได้ชื่อนี้มา