บทที่ 6 ดาบดั้นเมฆ
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะเฉินเฉียงในตอนนี้มีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าใครมากกว่านะ สายเลือดของเขายังไม่มีร่องรอยการตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย”
หมอลีทำได้เพียงส่ายศีรษะไปมาพลางถอดถอนลมหายใจ
“เป็นไปไม่ได้” ผู้การหลิงพูดออกมาด้วยความไม่เชื่อในผลการทดสอบ “เป็นไปไม่ได้ที่คนทั่วไปจะสามารถแบกกระต่ายสายฟ้าที่มีน้ำหนักกว่าสองตันแบบนั้นมาได้กว่าร้อยไมล์แบบนี้”
“แถมก่อนหน้านี้ กัปตันฉียังบอกออกมาเองว่าเขาได้เห็นเฉินเฉียงมีวิ่งด้วยความเร็วที่แม้แต่ผู้มีสายเลือดนักรบระดับต้นก็ยังเทียบไม่ติด แค่นั้นก็เห็นได้ชัดแล้วว่าสายเลือดของเขาต้องตื่นขึ้นมาแล้วสิ”
“เป็นไปได้รึเปล่าว่าสารทดลองนี้มีอะไรผิดพลาด” ผู้อาวุโสซุนที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างๆ ได้เอ่ยขึ้นมาเพื่อหาสาเหตุที่พอจะเป็นไปได้
“ไม่ใช่ อาณานิคมของเรานั้นใช้สารทดสอบนี้มาโดยตลอด และไม่เคยมีความผิดพลาดเลยสักครั้ง”
“ลี ดูเหมือนว่าเจ้าจะพูดอะไรตามอำเภอใจอีกแล้วสินะ”
ชายแก่คนหนึ่งได้เดินแทรกเข้ามาในระหว่างที่คนอื่นๆกำลังออกความเห็นเกี่ยวกับผลการทดสอบ
“ท่านอาจารย์ ท่านจะหมายความว่าสารทดสอบของพวกเรานั้นมีข้อผิดพลาดจริงๆหรือคขอรับ” หมอลีที่ได้ยินเสียงได้ทำการโค้งคำนับอย่างนับถือเมื่อได้เห็นชายแก่ที่เดินเข้ามา
“หมอลู ท่านมีความเห็นว่ายังไง”
ถึงแม้ผู้การหลิงผู้นี้จะอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดในอาณานิคมแห่งนี้ แต่เขาเองก็ยังต้องให้ความเคารพเมื่อได้เห็นหมอลู
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าบุคลากรทางการแพทย์นั้นเป็นสิ่งสำคัญต่ออาณานิคมของเผ่าพันธุ์มนุษย์
หมอลูได้ฉวยหลอดทดสอบมาจากมือของหมอลีและนำมาจ่อที่หน้าตัวเอง “ผู้การหลิง อย่าว่าอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะ แต่เป็นเพราะว่าอาณานิคมเขาหมางแห่งนี้นั้นมีข้อจำกัดหลายๆอย่าง ทำให้สารทดสอบที่พวกเราใช้อยู่นั้นตรวจสอบได้เฉพาะผู้ที่มีการตื่นสายเลือดประเภททั่วไปเท่านั้น”
“สำหรับสายเลือดที่หายากนั้น เท่าที่ข้ารู้มีที่เดียวที่สามารถตรวจสอบได้นั้นอยู่ในเมืองใหญ่อย่างเมืองเหมันต์จันทราที่ตึกของนายพลเท่านั้น”
“และเท่าที่ฟังมาก็ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนี่จะมีสายเลือดที่หายากพวกนั้น”
“ข้าขอออกความเห็นว่าเรานั้นควรจะส่งเขาไปยังตึกนายพลแห่งเมืองเหมันต์จันทราเพื่อทดสอบสายเลือดของเขาในภายภาคหน้า”
“เฮ้ออออ ตึกนายพลแห่งเมืองเหมันต์จันทราเหรอ….ยากเลยนะนั่น”
ผู้การหลิงได้ถอดถอนลมหายใจออกมาในทันทีที่ได้ยิน เขาได้ตบบ่าของเฉินเฉียงไปทีหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม อย่างน้อยๆสมรรถนะของเจ้าในตอนนี้นั้นก็เชื่อได้ว่าสายเลือดของเจ้าได้ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว”
“และในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วเจ้าไม่ควรจะจมจ่อมอยู่กับทีมเก็บกู้อีกต่อไป เจ้าต้องเข้าร่วมกับทีมสำรวจของพวกเรา ผู้อาวุโสซุนคิดว่ายังไง”
“แน่นอนสิ”
ผู้อาวุโสซุนแสดงท่าทางมีความสุขออกมาเมื่อได้ยินว่าเฉินเฉียงนั้นได้เข้าร่วมทีมสำรวจ แต่เขาไม่นึกฝันว่าเฉินเฉียงนั้นไม่ได้มีความต้องการอย่างนั้น
“ปู่ซุน ข้าขออยู่กับปู่ต่อไม่ได้เหรอ”
“ไร้สาระ” ปู่ซุนตอบกลับในทันทีที่ได้ยินพลางตบหัวของเฉินเฉียงเล่นอย่างเอ็นดู “เจ้าจะมีอนาคตไปไกลแน่ถ้าได้อยู่ทีมสำรวจ แล้วเจ้าจะมีอยู่กับข้าเพื่อ?”
“อีกอย่าง เจ้าในตอนนี้มีความสามารถเทียบเท่ากับสายเลือดนักรบ ความสามารถของเจ้านั้นสมควรที่จะนำไปใช้ปกป้องอาณานิคมของมนุษย์มากกว่า สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นเกียรติยศสูงสุดแล้ว”
“สำหรับคนที่มีความสามารถนั้น สิ่งที่ต้องแบกรับก็ต้องมากกว่าใครเป็นธรรมดา หรือเจ้าจะบอกว่าการได้มาอยู่กับข้าแล้วจะหลบเลี่ยงเรื่องพวกนั้นได้รึไงกัน สิ่งนี้ถูกตัดสินใจแล้วอย่าได้พูดจาไร้สาระอะไรอีก”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินคำพูดกล่าวสั่งสอนนี้ก็ถึงกับพูดไม่ออก ก็จริง เขานั้นเข้าใจเหตุผลของผู้อาวุโสซุนได้เป็นอย่างดี แต่ประเด็นคือการที่เขาอยู่กับทีมเก็บกู้ซากศพนั้นมีโอกาสที่จะทำให้เขานั้นแข็งแกร่งได้มากกว่า
ถึงแม้ความจริงจะเป็นแบบนั้นแต่เขาเองก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ นี่ทำให้ตัวเขานั้นทำได้เพียงฟังการอบรมสั่งสอนอยู่นิ่งๆเท่านั้น
“ก็ดีไม่ใช่เหรอ ดูเหมือนว่าเฉินเฉียงนั้นจะเป็นคนที่เห็นคุณค่ากับสายสัมพันธ์นะ”
“เอาแบบนี้ดีรึเปล่า เฉินเฉียงนั้นไม่จำเป็นต้องออกจากทีมเก็บกู้ซากศพหรอก ถ้าเขาทำงานของแต่ละวันเสร็จแล้วก็สามารถกลับไปทำงานของทีมเก็บกู้ซากได้ แบบนี้ดีไหม”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินดังนั้น ดูเหมือนว่านี่จะดีที่สุดในตอนนี้เขาจึงรับข้อเสนอนี้ไป
ไม่นานนัก ชายร่างสูงคนหนึ่งได้เดินเข้ามาภายในห้องและได้ถือหีบห่อบางอย่างในมือมา
“ผู้การ พวกเราได้สิ่งนี้มาจากกระต่ายสายฟ้าครับ”
ผู้การหลิงได้หันไปมองหีบห่อนั้นพร้อมทั้งแก่นคริสตัลที่มีขนาดใหญ่กว่าลูกปิงปอง เขาส่งทั้งสองอย่างนี้ให้เฉินเฉียงและพูดออกมาว่า “เฉินเฉียง นี่คือแก่นคริสตัลระดับกลาง สิ่งนี้ถือว่าเป็นรางวัลของเจ้าในการรอดชีวิตกลับมาแล้วกัน”
“แก่นนี้มีมูลค่ามาก จำเอาไว้ให้ดีว่าในอนาคตหลังจากฆ่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้ได้แล้ว สิ่งแรกที่เจ้าต้องทำคือการนำพวกมันออกมาจากร่าง”
“อ้อ แล้วก็พรุ่งนี้ไปหากัปตันจางแห่งทีมสำรวจด้วย ในตอนนี้ทุกๆเดือนเจ้าจะได้รับแก่นคริสตัลจากอสูรระดับต่ำ 5 ชิ้นต่อเดือน”
เฉินเฉียงได้หยิบแก่นคริสตัลมาในมือ ระบบเองก็ได้ทำการดูดซับพวกมันไปอย่างรวดเร็ว
แก่นคริสตัลระดับกลางชิ้นนี้ทำให้เขาได้รับพลังงานของระบบเพิ่มเติมอีก 20 หน่วย ทำให้ตอนนี้เขามีพลังอยู่ทั้งหมด 100 หน่วยแล้ว
“ท่านผู้การ ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวก่อน”
ผู้อาวุโสซุนได้นำเฉินเฉียงเดินจากไปอย่างภาคภูมิใจ
ในบ้านพักของทีมเก็บกู้ซากศพ ผู้กองหลิงได้ให้ใครบางคนส่งเนื้อกระต่ายสายฟ้ามาก่อนแล้วกว่า 20 กิโลกรัม ยิ่งไปกว่านั้นคือ เจ้าอ้วนและคนอื่นๆได้ทำการใช้เนื้อนี้ทำสตูวไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อทั้งสองได้กลับมาถึง กลิ่นหอมหวนของเนื้อกระต่ายสายฟ้าได้ฟุ้งกระจายไปทั่ว และในตอนนี้มันถูกตั้งไว้บนโต๊ะรอตักให้ทั้งสองคนเมื่อกลับมาเป็นที่เรียบร้อย
“หึหึหึ ลูกพี่ใหญ่เฉินเฉียง ต้องขอบคุณลูกพี่จริงๆที่ทำให้พวกเราได้ลิ้มรสของดีๆแบบนี้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ชาตินี้ทั้งชาติพวกเราคงไม่มีหวังได้ลิ้มรสมัน”
เจ้าอ้วนพูดออกมาก่อนที่จะตักเนื้อก้อนหนึ่งจากหม้อเข้าปากไปเคี้ยวตุ้ยๆอย่างละมุน
“โฮ่….. เป็นรสชาติที่ละมุนลิ้นจริงๆ นี่ทำให้ข้าเกือบจะเคี้ยวลิ้นของตัวเองไปตั้งหลายรอบแน่ะ”
เจ้าอ้วนเป่าลมปากออกมาด้วยความร้อนและเอร็ดอร่อย เด็กคนๆอื่นๆเองก็ได้ทำตามและมีสภาพไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่
“ไอ้ซาลาเปาหมูตอนเอ๊ย ตักกินดีๆไม่ได้รึไงกันวะ เอ้านี่รับไปแล้วก็ออกไปกินข้างนอกเลยไป” ผู้อาวุโสซุนดุออกมาก่อนที่จะยื่นชามที่เต็มไปด้วยเนื้อกระต่ายสายฟ้าแทบจะพูนแล้วไล่ส่งทุกคนให้ออกไป
“ปู่ซุน ไหนไวน์ล่ะ มาถึงขนาดนี้แล้วคงไม่ต้องเก็บไว้แล้วนา…”
“ไอ้เด็กเวรนี่ ข้าไม่ยอมให้แกใช้เนื้อกระต่ายพวกนี้มาแลกไวน์ข้าไปเฉยๆหรอก แกต้องหาไวน์มาเติมให้ข้าด้วยล่ะ”
“เอาเถอะ ยังไงซะนี่ก็ขวดสุดท้ายแล้ว” “เห็นแก่ว่าวันนี้เป็นวันดีหรอกนะ งั้นมาดื่มไวน์นี่ด้วยกันก็แล้วกัน”
ผู้อาวุโสซุนพูดจบก็ได้เดินไปนำไวน์ของตนที่ซุกซ่อนเอาไว้อย่างไม่รังเกียจรังงอน
“เอาน่าปู่ ไม่เกินวันสองวันนี้เดี๋ยวข้าจะซื้อมาเติมให้”
“เหอะ ได้จริงก็ดีสิ ไวน์ขวดนี้แลกมาด้วยแก่นคริสตัลเกือบทั้งก้อนเลยทีเดียว”
“ไอ้หนู ตอนนี้ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้เข้าร่วมทีมสำรวจ แต่เจ้าก็ได้แก่นคริสตัลนี้เพียงห้าชิ้นต่อเดือนเท่านั้น อย่าใช้มันอย่างสูญเปล่าจะดีกว่า”
“อีกอย่าง ตอนนี้เจ้าก็เป็นผู้ตื่นของสายเลือดแล้ว แก่นคริสตัลทั้งห้านี้แค่เพียงพอให้เจ้าใช้ในการบ่มเพาะได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น”
เมื่อพูดถึงการบ่มเพาะ เฉินเฉียงก็พลันนึกได้ว่าเขานั้นยังไม่มีวิธีการบ่มเพาะ
หากว่าไม่มีวิธีการบ่มเพาะแล้ว พลังภายในร่างกายยามปกติย่อมไม่เพียงพอต่อการใช้งานอย่างแน่นอน
“ปู่ซุน พรุ่งนี้ตอนที่ข้าเข้าไปในทีมสำรวจ พวกเขาจะให้วิธีการบ่มเพาะข้าด้วยรึเปล่า”
ผู้อาวุโสพยักหน้า “แน่นอนว่าต้องมอบให้” “แต่อย่าได้พลาดไปเรียนวิธีการบ่มระดับต่ำซะล่ะ ถ้าทำอย่างนั้นเจ้าจะแข็งแกร่งได้ช้ามาก”
เมื่อพูดแบบนั้นออกมา ผู้อาวุโสซุนราวกับคิดอะไรบางอย่างได้ เขายกมือขึ้นมาราวกับจะขอหยุดพักการพูดคุย ก่อนที่จะเดินไปหยิบกล่องที่ถูกปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา เขาได้โยนหนังสือที่มีลวดลายออกมาสองเล่มให้เฉินเฉียง
มันเขียนไว้ว่า ดาบทำลายวิญญาณ และตำราหลอมเลือดทำลายล้าง
“ไอ้หนู ในเมื่อเจ้าในตอนนี้เป็นผู้ที่มีการตื่นของสายเลือดแล้ว ดังนั้นจงบ่มเพาะให้ดี เมื่อถึงวันนั้น อย่าได้หลงลืมที่จะนำป้ายตำแหน่งของผู้การเทียนเว่ยแห่งเมืองเหมันต์จันทรามาให้ข้าได้เห็นซะล่ะ”
ผู้อาวุโสซุนได้กำมือแน่นอย่างมั่นใจราวกับว่าใช้กำลังทั้งหมดที่มือในตอนนี้
แค่ดูก็รู้ว่ากำลังของผู้อาวุโสซุนนั้นอยู่เหนือกว่าคนแก่ชราที่อยู่รุ่นราวเดียวกันมากมายนัก
เฉินเฉียงได้รับหนังสือทั้งสองเล่มมาและลองเปิดพลิกอ่านดู หลังจากนั้นเขาก็ได้พยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก “ปู่ซุน ข้าจะขยันฝึกแน่นอน”
เมื่อได้เห็นว่าเฉินเฉียงนั้นดูไม่ค่อยจะใส่ใจในหนังสือทั้งสองเล่มนี้สักเท่าไหร่ ผู้อาวุโสซุนก็ได้นำดาบหักสีดำออกมาจากกล่องและโยนลงพื้นในทันที
ปัง
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเพียงดาบหัก แต่กว่าที่เฉินเฉียงจะรู้ตัวก็พบว่าดาบเล่มนี้ได้ปักอยู่ที่พื้นตรงหน้าเขาแล้ว
ดาบนี้ได้ฝังลึกลงไปในพื้นกว่าครึ่งเมตร
“ปู่ซุน นี่ปู่มีสมบัติกี่อย่างอยู่ในกล่องนั่นกันแน่เนี่ย ทำไมไม่เอาออกมาให้หมดเลยล่ะ”
เฉินเฉียงได้มองไปยังกล่องแตกที่อยู่บนหัวเตียงของผู้อาวุโสซุน ก่อนที่จะเดินไปหยิบดาบหักขึ้นมาดู
“เฉินเฉียง ข้ามีให้เจ้าแค่นั้นแหล่ะ ข้ามอบพวกมันให้เจ้า ส่งดาบนั่นมาให้ข้าหน่อยสิ”
“ได้”
เฉินเฉียงได้ตรงไปยังดาบหักก่อนที่จะก้มไปจับดาบเล่มนั้น
“….ค่อนข้างหนักเลยแหะ”
เฉินเฉียงได้ดึงดาบหักที่ปักอยู่ที่พื้นขึ้นมา และมองมันอย่างสนใจ
ดาบนี้มีความยาวประมาณหนึ่งเมตรกว้างประมาณสิบห้าเซนติเมตร หนักประมาณแปดกิโลกรัม
ในตอนแรกเขานั้นคิดว่ามันเป็นเพียงดาบหัก แต่ก็พึ่งจะรู้ว่าเข้าใจผิดไปเมื่อได้เห็นตัวอักษรที่ได้สลักไว้
“ดาบ…ดั้นเมฆ…เหรอ?”
เฉินเฉียงได้สัมผัสกับตัวอักษรสองตัวที่สลักเอาไว้ลงบนตัวดาบที่ใกล้กับด้ามจับและพูดชื่อของมันออกมาเบาๆ
“ปู่ซุน ดาบนี้มีที่มายังไงครับ”
จากการที่ปู่ซุนเก็บไว้อย่างดีนี้ทำให้เขานั้นรู้สึกได้ทันทีว่าดาบเล่มนี้มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา
ผู้อาวุโสซุนเองก็น่าจะรักใคร่ดาบเล่มนี้ไม่น้อย ยามที่เขาสัมผัสมันนั้น ดวงตาของเขาได้มีท่าทีเปียกชื้นออกมา
“ไอ้หนู ดาบดั้นเมฆเคยสังหารนายพลของศัตรูและสัตว์ประหลาดในการต่อสู้มามากมายอย่างนับไม่ถ้วน”
“ทักษะที่แฝงเอาไว้ในดาบนี้นั้นจะเปล่งประกายออกมาก็ต่อเมื่อผู้ถือนั้นปลุกพลังสายเลือดขึ้นมาได้ถึงระดับวิญญาณแล้วเท่านั้น”
“หรือจะบอกว่ามันคือดาบแห่งฮีโร่ก็ว่าได้”
“เมื่อเจ้าใช้ดาบนี้ในการฝึกเพลงดาบทำลายวิญญาณได้สำเร็จสักส่วนสองส่วน เมื่อนั้นข้าจะบอกประวัติของดาบเล่มนี้”
เมื่อได้ยินดังนี้ เฉินเฉียงก็อดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เขาได้เปิดตำราดาบทำลายวิญญาณดูอีกครั้ง เมื่อเขาลองได้ร่ายรำดาบนี้ดูก็ได้บังเกิดความรู้สึกว่าดาบเล่มนี้เองยังด้อยประสบการณ์เช่นเดียวกับตัวเขาในยามนี้
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทักษะที่แฝงอยู่ในดาบเล่มนี้จะทรงพลังขนาดไหน แต่เขานั้นกลับพบข้อมูลนี้จากร่องรอยความทรงจำของร่างนี้
สัตว์ประหลาดโดยทั่วไปนั้นมีระดับแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ที่ปลุกสายเลือดนักรบขึ้นมาได้ ส่วนระดับวิญญาณนั้นเทียบเท่าได้กับสุดยอดสัตว์ประหลาดเลยทีเดียว
นี่ทำให้เขานั้นอดที่จะคาดหวังกับดาบหักนี้ไม่ได้ และอยากจะเห็นความทรงพลังของมันอย่างช่วยไม่ได้เลยทีเดียว
ผู้อาวุโสซุนได้ใช้มือข้างหนึ่งปาดตาทั้งสองของตนก่อนที่จะหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งกัดเข้าปากไป “ไม่เลว เฉินเฉียง เจ้าต้องกินเนื้อพวกนี้ให้เยอะๆซะล่ะ สำหรับสายเลือดนักรบแล้ว การได้กินเนื้อสัตว์ประหลาดพวกนี้เข้าไป มันจะช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายได้”
“ปู่ซุนกินได้เต็มที่เลย ข้ากินมาเต็มที่ตั้งแต่ตอนอยู่ในป่าแล้ว”
เฉินเฉียงตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจ เขาวางดาบดั้นเมฆไว้ข้างๆก่อนที่จะยกถ้วยไวน์ดื่ม ก่อนที่จะยกซดรวดเดียวหมด
เฉินเฉียงสำลักไวน์ออกมา
“ฮ่าฮ่า ไอ้เวรตัวเหม็นนี่ ไม่มีสายเลือดนักรบที่ไหนที่ดื่มไม่เป็นหรอกนะโว้ย เอ้า ดื่มมมม..”
ผู้อาวุโสซุนในตอนนี้แสดงท่าทางออกมาราวกับเป็นหนุ่มน้อยเลือดร้อน เขาได้ยกชามไวน์ยกซดรวดเดียวหมดในหนึ่งครา