พอจางจิ่งหลินได้รับคำตอบจากเริ่นเสี่ยวซู่แล้วถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว แต่เขาไม่รู้เลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่ก็กำลังงุนงงเหมือนกัน เขาก็สอนทุกคนเรื่องที่เขารู้แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมภารกิจยังไม่สำเร็จอีกล่ะ
หรือว่ามีอะไรผิดพลาดกับองค์ความรู้ที่เขาถ่ายทอดไป
“อาจารย์ครับ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างจริงจังยิ่ง “ท่านอาจจะไม่เคยเห็นฝูงหมาป่าที่ข้างนอกนั่นมาก่อน คนในเมืองส่วนใหญ่ก็ยังไม่เห็นหรือเคยรับมือมันเหมือนกัน แต่ผมเคยแล้ว ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงฝูงหมาป่าเสียด้วยซ้ำ เจอหมาป่าแค่ตัวเดียว ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกันมากหรอก หาที่ฝังศพตัวเองได้เลย”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าตนคงถูกจางจิ่งหลินตำหนิแน่ เพราะอย่างไรคำตอบเขาก็กระทบต่อภาพลักษณ์ของอาจารย์พอควร
ทว่าจางจิ่งหลินกลับตกอยู่ในภวังค์พักใหญ่ก่อนจะพูด “ต่อไปเวลาเรียนเธอมานั่งในห้องได้ และจะสอนวิชาการเอาตัวรอดตั้งแต่ตอนนี้ไป”
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่โรงเรียนในเมืองนอกป้อมปราการ 113 มีอาจารย์สอนแทน
เริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่ทันได้อธิบายเลยว่า ตอนเขาเจอหมาป่าหลงฝูงหรือหมาป่าทั้งฝูงนั้นตัวเองเอาตัวรอดอย่างไร!
[ภารกิจสำเร็จ รางวัลพละกำลัง 1.0 แต้ม]
……
พอหมดวัน เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังหาโอกาสใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานไม่ได้ เขาหวังจะไปโรงเรียนเพื่อได้รับความรู้เพิ่ม แต่ความรู้ที่จางจิ่งหลินมีนั้นไม่ได้ช่วยให้การเอาตัวรอดง่ายขึ้นนักสำหรับในตอนนี้
ความสำคัญลำดับแรกของเริ่นเสี่ยวซู่คือจะมีชีวิตรอดต่อไปอย่างไร
ดังนั้นหากเขายังใช้คัมภีร์วิเศษนี่ไม่ได้ เขาก็ไม่อาจพิสูจน์ได้เสียทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวนั้นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเพียงแค่จินตนาการของตนเองกันแน่
ถึงอย่างนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังเฝ้ารอต่อไป เพราะเขารู้สึกว่าเดี๋ยวต้องมีภารกิจใหม่มอบมาให้แน่นอน
ตอนนี้เขาทำสำเร็จไปอีกหนึ่ง และได้รับรางวัลเป็นพละกำลังเพิ่มขึ้น 1.0 แต้ม มันเป็นตัวเลขแบบตรงๆ เลย และเริ่นเสี่ยวซู่สามารถสัมผัสถึงร่างกายได้อย่างชันเจน กล้ามเนื้อใต้ร่มผ้านั้นหนาแน่นขึ้นเล็กน้อย เป็นความรู้สึกเหนือธรรมชาตินัก เพราะไม่มีทางที่จะมีใครสามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้ภายในเพียงสิบวินาทีหรอก
คิดถึงตรงนี้แล้ว เริ่นเสี่ยวซู่พอมั่นใจได้ว่าพระราชวังนั้นเป็นพลังพิเศษจำพวกหนึ่ง
นี่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ยินดีสุดๆ อันที่จริงคือเขายินดีมานานแล้วแหละ ก็แค่กลัวว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นเพียงภาพมายา ไม่ใช่เรื่องจริงอันใด
นักล่ามือฉมังต้องเข้าใจร่างกายตนเองเป็นอย่างดี ต้องรู้ว่าว่าสามารถออกหมัดได้เร็วและแรงเท่าไร ต้องรู้ว่าสามารถยกมีดแทงออกไปเร็วและแรงเท่าไรด้วย
ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงทดสอบพละกำลังที่ได้มาใหม่ของตน ถ้าผู้ใหญ่เพศชายมีพละกำลังโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.0 แล้วละก็ เริ่นเสี่ยวซู่ก็มีพลังที่ 2.5 แต้ม
เขาอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น เป็นเรื่องธรรมดามากที่จะอ่อนแอกว่าผู้ใหญ่ การที่เขาสามารถมีชีวิตรอดในเมืองนี้ได้ไม่ใช่เพราะพละกำลังของตน แต่เป็นเพราะว่าเขาโหดร้าย ระมัดระวัง และใจเย็นพอ
หากพละกำลังเขาเหนือกว่าผู้ใหญ่เพศชายโดยเฉลี่ยได้ ก็หมายความว่าโอกาสที่เขาจะอยู่รอดในแดนรกร้างจะเพิ่มขึ้นมากทีเดียว
หลังเลิกเรียน เหยียนลิ่วหยวนพูดอย่างตื่นเต้น “ตอนนี้พี่เป็นอาจารย์สอนแทนแล้ว บางทีต่อไปพี่อาจจะเข้ามาเป็นอาจารย์ของเมืองแทนคุณจางก็ได้นะ?”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป “คงงั้น อาจารย์จางเองก็เริ่มจากการเป็นอาจารย์สอนแทนก่อน พออาจารย์คนเก่าเสียชีวิตไปก็ขึ้นมาสอนแทน”
“อื้อ! ทุกคนในเมืองต่างรู้กันทั้งนั้นว่าใครมาเป็นอาจารย์สอนแทน ก็จะได้เข้ามาดูแลโรงเรียนในสักวันหนึ่ง คิดดูสิ คุณจางให้พี่เข้ามาเรียนในห้องแล้ว แถมยังให้เป็นอาจารย์สอนแทนอีก เขาต้องคิดอยากให้พี่มาแทนที่เขาในอนาคตแน่นอน” เหยียนลิ่วหยวนยิ้ม พลางว่า “ถ้าคนในเมืองรู้ ต้องปฏิบัติต่อพวกเราด้วยความเคารพกว่าเดิมแน่”
“อาจจะไม่เป็นงั้นก็ได้” เริ่นเสี่ยวซู่คิด ก่อนพูดว่า “ฉันว่าเขาอาจจะอยากได้บุหรี่ไปสูบเพิ่มมั้ง”
“…” เหยียนลิ่วหยวนมองเริ่นเสี่ยวซู่ “พี่ ถามจริง?”
“อันที่จริงแล้ว เป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนก็ไม่แย่นะ” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “พอฉันได้รับตำแหน่งนั้นแล้ว ก็ส่งให้นายต่อ แบบนี้นายก็จะกลายเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนแทนไง”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยคิดอยากเป็นอาจารย์ ไม่ใช่ว่าเขาดูหมิ่นอาชีพนี้ เพราะถ้าดูหมิ่นคงไม่คิดอยากจะส่งมอบให้เหยียนลิ่วหยวนหรอก
ทว่าเขากลับคิดว่าตนเองไม่เหมาะกับอาชีพนี้ ถ้าในอนาคตเขาไม่มีโอกาสได้เข้าไปในป้อมปราการ แดนรกร้างภายนอกคงเป็นสถานที่เดียวที่เขาจะอยู่ได้
ขณะพวกเขาเดินกันไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็นึกจินตนาการภาพอนาคตยามตนเองส่งมอบหน้าที่อาจารย์ให้เหยียนลิ่วหยวนไปด้วย เขาไม่ทันสังเกตเลยว่าเหยียนลิ่วหยวนชะลอฝีเท้าลง แล้วมองหลังเริ่นเสี่ยวซู่ เกิดความรู้สึกยากจะบรรยายขึ้นมา
พอเริ่นเสี่ยวซู่หันมามอง แล้วเห็นว่าเหยียนลิ่วหยวนรั้งท้ายไปไกลไม่น้อย ก็เรียกเสียงดัง “ทำอะไรน่ะ มาเร็ว!”
“มาแล้ว มาแล้ว!”
ควันขาวลอยล่องออกจากปล่องโรงงานนอกป้อมปราการ ตะวันลับฟ้าสาดแสงทาทาบแผ่นหลังทั้งคู่ ราวกับชีวิตนี้ไร้ซึ่งข้อกังวลใจใด
……
ระหว่างทางกลับบ้าน เริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนพลันเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากป้อมปราการ พวกเขามีกันราวสิบสี่คน ครึ่งหนึ่งในนั้นสวมใส่เสื้อผ้าหลากสีสัน ส่วนที่เหลือใส่ชุดเครื่องแบบกองกำลังส่วนตัวของผู้ปกครองป้อมปราการ 113 ดูแล้วการเดินทางของพวกเขาคงมีพวกทหารไปด้วย ถึงว่าทำไมถึงกล้ามุ่งผ่านไปยังสถานที่อย่างเขาจิ้งซาน
ชัดเจนว่าคนพวกนี้ไม่ต้องการคนนำทางที่มีทักษะต่อสู้ ต้องการเพียงแค่คนรู้ทางเท่านั้น
อย่างไรเสียเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่คิดว่ากองกำลังส่วนตัวของผู้ปกครองป้อมปราการ 113 จะแข็งแกร่งอะไร ที่จริงแล้วน้อยมากนักที่เขาจะเห็นกองกำลังส่วนตัวจะออกมาจากป้อม ไม่รู้จะมีทักษะต่อสู้จริงหรือเปล่า เคยเห็นเลือดหรือเปล่ายังไม่รู้เลย
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นพวกทหารกำลังสูบบุหรี่แบบมีก้นกรอง ซึ่งหายากมากในเมือง
กลิ่นบุหรี่โชยมา เริ่นเสี่ยวซู่ได้กลิ่นแปลกประหลาดอย่างชัดเจน เขาจำได้ว่า เหล่าหวังเล่าว่า ส่วนใหญ่บุหรี่ที่ทางโรงงานแจก จะใส่สารเสพติดที่ทำให้คนอารมณ์ดี
เริ่นเสี่ยวซู่ข้องใจมากว่าทำไมทหารซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องตื่นตัวตลอดเวลาถึงสูบอะไรแบบนี้
เขาเคยเห็นคนเป็นบ้าจากพวกบุหรี่นี่มาก่อน และดูเหมือนว่าพวกเขาแค่สูบบุหรี่คุณภาพสูงกว่า ไม่ได้สูบบุหรี่ที่ปลอดภัยกว่าอะไรเลย
ไม่นานนักฝูงคนในเมืองก็มารวมกลุ่มกัน เพราะคนในป้อมพวกนี้ใบหน้าสะอาดสะอ้าน ผิดกับใบหน้าของคนในเมืองอย่างเห็นได้ชัด
“พี่ ในป้อมนี่น้ำมากขนาดเอามาใช้ล้างหน้าได้ทุกวันเลยเหรอ” เหยียนลิ่วหยวนกะพริบตาปริบๆ ด้วยประกายสดใส
“ไม่ต้องอิจฉาไปหรอก ความมันบนใบหน้าเราก็มีเพื่อปกป้องผิวเรานั่นแหละ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดปลอบใจไปอย่างคร้านจะสนใจ
ทันใดนั้นเขาก็สังเกตได้ถึงตัวตนพิเศษในกลุ่มคน เป็นเด็กสาวใส่หมวกกดลงปิดหน้า จนเขาไม่อาจทราบแน่ชัดว่าเธออายุเท่าไรกันแน่ เธอใส่ชุดค่อนข้างธรรมดา ดูหลวมแต่เข้ากับรูปร่าง
ที่เริ่นเสี่ยวซู่เพ่งไปที่เธอนั้น เพราะยามเห็นเธอ ก็รู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้าสัตว์ร้ายแห่งแดนรกร้าง
เริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนหยุดเดิน เฝ้ามองจากไกลๆ พวกเขาพอเห็นได้ว่าคนกลุ่มนี้กำลังถามอะไรบางอย่างจากเหล่าหวังร้านขายของชำ
ทั้งคู่ได้ยินเสียงเหล่าหวังดังลั่นว่า “พวกนายอยากข้ามเขาจิ้งซาน งั้นก็ต้องการเริ่นเสี่ยวซู่ หากไม่มีเขา ก็เลิกคิดเรื่องจะข้ามเขาไปได้เลย แถมในแดนรกร้างนั่นยังมีฝูงหมาป่าอีก ขอเสนอว่าอย่าใช้เส้นทางนี้ดีกว่า”
ทหารนายหนึ่งแค่นเสียง “เจ้าหมาป่าพวกนั้นได้ยินเสียงปืนพวกเราก็เตลิดไปไกลแล้ว ทำไมต้องไปสนใจอะไรพวกมันด้วย”
เริ่นเสี่ยงซู่ผงะไป พวกหมาป่ากลัวเสียงปืนงั้นเหรอ นี่คงเป็นสัญชาตญาณตามธรรมชาติของสัตว์ป่า เนื่องจากเขาไม่เคยเห็นอาวุธปืนมาก่อน ทำให้ไม่มั่นใจนักว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือเปล่า จึงยังคงเกิดความสงสัยไม่สร่าง
ทหารอีกนายถาม “เริ่นเสี่ยวซู่คือใคร เราไม่สนหรอกว่าเขาต่อสู้เก่งแค่ไหน เอาแค่ให้รู้ทางก็พอ”
“อ้อ เริ่นเสี่ยวซู่รู้จักกันดีว่าเป็นนักล่าฝีมือดีที่สุดในเมือง รู้จักเส้นทางเกือบหมด ถ้าให้เขานำทางคงไม่มีปัญหาแน่” เหล่าหวังยิ้ม “แต่จำคำฉันไว้นะ เขาอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ว่าหัวของเจ้าเด็กนั่นไม่ค่อยปกติ…”
ได้ยินแบบนี้ เริ่นเสียงซู่ก็กลับหลังหันนำเหยียนลิ่วหยวนจากไป “ลูกชายเหล่าหวังอยู่ในชั้นเรียนเดียวกับนายสินะ เจ้าเด็กอ้วนนั่น?”
เหยียนลิ่วหยวนสูดลมหายใจเย็นเยียบ “พี่ ไม่ต้องเอาครอบครัวเขามาเอี่ยวก็ได้…”
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วแน่น เดิมทีอยากหลีกหนีจากปัญหา แต่ไม่คิดเลยว่าเหล่าหวังจะแนะนำตนกับกลุ่มคนที่ความเป็นมาไม่แน่ชัดแบบนี้เสียได้!