ตอนที่ 9 พี่ใหญ่ต้องการพบเจ้า

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 9 พี่ใหญ่ต้องการพบเจ้า

หัวใจอันชอบธรรมของเจียงหยุนชานเอนเอียงไปหาน้องสาวอย่างไม่มีเงื่อนไขเสียแล้ว อย่างไรน้องสาวของเขาก็น่าสงสารกว่าคนพวกนี้

เจียงป่าวชิงลูบตรงบริเวณรอยแดงบนใบหน้าของเจียงหยุนชานอย่างเจ็บปวดใจ “พี่ชาย พี่เจ็บไหมเจ้าคะ ?”

เจียงหยุนชานเกาศีรษะเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มให้ผู้เป็นน้อง “ข้าไม่เจ็บเลย ไม่เป็นไร ๆ” เขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นอีกครั้ง “เมื่อสักครู่กางจื่อร้องไห้อย่างน่าเวทนาแบบนั้น ข้าคิดว่า…”

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เจียงหยุนชานรู้สึกละอายใจเล็กน้อย “ข้าไม่คิดว่ากางจื่อที่ดูร่างกายแข็งแรงมากขนาดนั้นจะทนเจ็บไม่ได้เช่นนี้ นั่นเกือบทำให้ข้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าก็เป็นกังวลอยู่สักพักว่าเจ้าจะทำร้ายใครเสียอีก…”

เด็กที่ชื่อว่ากางจื่อนั้นร่างกายแข็งแรงบึกบึน น้องสาวเขาเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งหายจากอาการป่วย นางจะขว้างหินจนทำให้แขนของเขาหักได้อย่างไร ?

เจียงป่าวชิงยกยิ้มมุมปาก จากนั้นก็พูดขึ้น “พี่เชายเข้าใจถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ เขาสู้เด็กผู้หญิงไม่ได้แม้แต่น้อย”

ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน เจียงป่าวชิงได้ฝึกฝนเทคนิคการฝังเข็มเป็นประจำ และรู้เรื่องตำแหน่งบนร่างกายมนุษย์เป็นอย่างดี เมื่อสักครู่เจียงป่าวชิงหยิบก้อนหินและปาไปที่จุดชวีฉือของกางจื่อ ตำแหน่งนั้นเป็นจุดที่ทนเจ็บไม่ได้มากที่สุดจุดหนึ่งของมนุษย์เลยก็ว่าได้

ถ้าหากว่าร่างนี้มีแรงอีกนิด หรือเปลี่ยนจากก้อนหินเป็นเข็ม รับรองได้เลยว่ากางจื่อผู้นั้นจะต้องเจ็บกว่านี้แน่  แต่ถึงแม้ว่าจะเจ็บเล็กน้อยก็ไม่ได้มีผลร้ายต่อร่างกาย เป็นแค่การสั่งสอนเขาเท่านั้นเอง

เจียงป่าวชิงพยักหน้าอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  สองพี่น้องพูดคุยกันทว่าก็ไม่หยุดฝีเท้าลง ไม่นานก็มาถึงสถานที่ที่มีสมุนไพรอุดมสมบูรณ์

เจียงหยุนชานไม่รู้จักสมุนไพรชนิดใดเลย เขาคิดเพียงอยากจะเด็ดผักป่ากลับไปทำอาหารให้น้องสาวก็เท่านั้นเอง  ใช่แล้ว ในกระเป๋ากางเกงของเขายังเหลือทองแดงอยู่สองเหรียญ ถึงตอนนั้นเขาจะไปซื้อหนังหมูชิ้นเล็ก ๆ มาต้มเอาน้ำของมันออก…

เจียงหยุนชานกำลังคิดในใจ เมื่อเขาหันกลับมามองพลันชะงักไปทันที น้องสาวของเขาเด็ดผักป่าจำนวนมากที่เขาไม่รู้จัก ในอ้อมกอดก็แทบจะกอดไม่ไหวแล้ว แต่นางยังคงตั้งใจขุดตั้งใจเด็ดต่อไป

เจียงหยุนชานรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย แต่ก็ไม่อยากขัดความกระตือรือร้นของน้องสาว

“ป่าวชิง ที่เจ้าขุดอยู่นั้นคืออะไรหรือ ? มันกินได้ใช่ไหม ?”

เจียงป่าวชิงเงยหน้าเล็ก ๆ ที่ผอมซูบของนางขึ้น จากนั้นก็ออกแรงพยักหน้า “กินได้สิพี่ชาย อันนี้เรียกว่าหมาหวาง เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินคนในหมู่บ้านบอกว่าถ้านำรากของมันมาต้มเป็นซุป มันจะช่วยขับเหงื่อในร่างกายด้วยนะ ”

เจียงหยุนชานได้ฟังดังนั้นเขาก็รู้สึกดีใจ “อ้อ นี่เป็นของดี วันนี้เจ้าเป็นไข้หวัด กลับไปข้าจะต้มให้เจ้าดื่ม ดื่มแล้วเจ้าจะได้ขับเหงื่อ”

เจียงป่าวชิงเห็นเจียงหยุนชานเอาแต่นึกถึงนางอยู่ตลอด จึงลืมไปเสียสนิทว่าตัวนางเองก็กำลังป่วยเป็นไข้หวัด  นางจึงถอนหายใจในใจและเกิดความจริงใจต่อเจียงหยุนชานมากขึ้นมาอีกเล็กน้อย “พี่ชาย ต้มเยอะ ๆ เลย พี่จะได้ดื่มด้วย”

“ได้ ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนเจ้า” ใบหน้าของเจียงหยุนชานเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู

เจียงหยุนชานลาเรียนเพียงแค่วันเดียว เดิมทีตอนบ่ายเขาต้องกลับไปที่โรงเรียนแล้ว และตอนนี้ก็สายแล้วด้วย ถ้าหากเจียงหยุนชานกลับไป กว่าจะถึงก็คงจะกลางดึก  อีกอย่าง เจียงหยุนชานไม่วางใจที่เจียงป่าวชิงอยู่บ้านคนเดียว เขาจึงถือโอกาสอยู่ต่อเสียเลย และคิดไว้ว่าตอนกลับไปถึงโรงเรียน ก็ค่อยไปอธิบายกับบุคลากรในโรงเรียนอีกครั้ง

ถึงการเรียนจะสำคัญ แต่น้องสาวเพียงคนเดียวของเขาสำคัญกว่าการเรียนมาก

มื้อค่ำ ทั้งสองกินข้าวต้มผักป่าที่ใส่น้ำมันหมูคนละถ้วย และดื่มซุปหมาหวางที่มีรสค่อนข้างขมต่ออีกหนึ่งถ้วย

สองพี่น้อง คนหนึ่งนอนบนเตียงอิฐ อีกคนปูเสื่อนอนข้างเตียงอิฐ ทั้งบนและล่างเตียงล้อมด้วยผ้าห่มขาด ๆ ที่เผยให้เห็นใยฝ้ายสีขาว   ตกดึก สองพี่น้องเหงื่อออกอย่างต่อเนื่องและรู้สึกผ่อนคลายที่เท้าไม่น้อยเลย

อันที่จริงเจียงป่าวชิงอยากให้เจียงหยุนชานนอนบนเตียงอิฐด้วยกันแต่เจียงหยุนชานเด็ดเดี่ยวมาก  น้องสาวของเขาโตเป็นสาวแล้ว ตอนนี้อาการป่วยก็หายแล้วด้วย ผ่านไปสองสามปีก็คงจะต้องหาชายดี ๆ ให้นางสักคน เขาเป็นพี่ชาย  ต้องมานอนห้องเดียวกับน้องสาวก็เป็นสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกพอแล้ว  หากขึ้นไปนอนบนเตียงเดียวกันจนเป็นการสร้างชื่อเสียงที่ไม่ดีให้กับน้องสาวเขาล่ะ จะทำเช่นไร ?!

ถึงแม้ว่านิสัยของเจียงหยุนชานจะค่อนข้างนุ่มนวลไปสักหน่อย แต่กับบางเรื่อง เขากลับเป็นคนหัวแข็งที่ไม่ประนีประนอมกับสิ่งใดเลยก็ว่าได้

เจียงป่าวชิงจึงทำได้เพียงล้มเลิกความคิดนี้

ทั้งสองคนนอนหลับสบายตลอดทั้งคืน ทว่าตอนเช้ากลับถูกหลีโผจื่อทำให้ตื่นด้วยการเคาะประตูเสียงดัง

ปัง ๆ ๆ!

หลีโผจื่อก่นด่าอยู่ด้านนอกประตู “เมื่อก่อนเป็นเจ้าปัญญาอ่อนไม่ทำงานในบ้านแล้ว คนในบ้านเลี้ยงจนโตมาขนาดนี้โดยที่ไม่ได้ค่าตอบแทนอะไรสักอย่าง ให้นางไปแต่งงานก็กลับเลือกที่จะไม่ยอมแต่ง นางเปราะบางที่สุดในบ้านรึอย่างไรจึงไม่ออกมาทำงานทำการ ?!  อีกอย่าง ตอนนี้ไม่ปัญญาอ่อนแล้ว เหตุใดยังไม่รีบลุกขึ้นมาทำงานอีก ? หญิงสาวบ้านไหนเขาไม่ทำงานกันบ้าง ?!  ทำไม หรือต้องรอให้คนอื่นมาอัญเชิญก่อน ข้าว่าเจ้าเป็นเจ้าเท้าเล็กที่คุ้นชินกับนิสัยเกียจคร้านมากกว่ากระมัง!”

ประตูเปิดออกทันที เจียงหยุนชานในสภาพผมกระเซอะกระเซิงยืนอยู่หลังประตู สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก แต่เขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่ใช้เคารพผู้ใหญ่

“ท่านย่าสอง ป่าวชิงเพิ่งหายจากอาการป่วย เมื่อวานก็ตากลมจนเป็นไข้หวัด นางต้องทำงานอะไรบ้างหรือ ? ข้าจะทำแทนนางเอง”

เดิมทีหลีโผจื่อเตรียมคำด่าหยาบคายไว้แล้ว แต่เมื่อเห็นเจียงหยุนชาน นางก็เก็บคำด่าลงท้อง  ทว่าเอาเข้าจริงแล้ว ในเวลานี้นางก็ไม่ค่อยพอใจเจียงหยุนชานสักเท่าไหร่นัก

นางดูออกว่าสองพี่น้องคู่นี้ไม่มีใครดีเลยสักคน คนในบ้านเลี้ยงเจียงป่าวชิงมาเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นให้นางเสียสละเพื่อครอบครัวสักนิดจะเป็นอะไรไป ?!

หลีโผจื่อส่งเสียงอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ใครจะกล้ารบกวนปัญญาชนอย่างเจ้าล่ะ ?!” นางผลักเจียงหยุนชานและเดินเข้าไปในห้องอย่างถือวิสาสะ

เจียงหยุนชานอ้าปาก เขาเห็นหลีโผจื่อเข้าไปในห้องแล้ว และรู้ว่าขวางไว้ไม่ทันแล้วจึงถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด

เมื่อเจียงป่าวชิงได้ยินเสียงเคลื่อนไหว นางก็รีบเขยิบตัวหลีกและลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นนิ้วที่เหี่ยวย่นของหลีโผจื่อคงจะทิ่มลงไปบนหน้าของนางแล้ว

“นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว เจ้ายังนอนอยู่อีกรึ ?!” หลี่โผจื่อก่นด่าชุดใหญ่ “หมูยังขยันกว่าเจ้าอีก ไป! รีบไปตัดหญ้าหมูแล้วกลับมาให้อาหารหมูประเดี๋ยวนี้!”

เจียงป่าวชิงไม่รู้สึกโกรธแม้สักนิด นางขานรับยิ้ม ๆ “ได้เลยเจ้าค่ะ ได้ยินมาว่าตอนเช้าน้องอาซิ่งก็จะไปตัดหญ้าหมูเช่นกัน  เช่นนั้นก็พอดีเลย เราจะได้ไปเป็นเพื่อนกัน ถ้าหากนางรู้ว่าข้าหายแล้ว ก็คงจะดีใจมากแน่ ๆ ข้าอยากรีบไปพูดคุยกับนางเสียตอนนี้เลยเจ้าค่ะ”

คำว่า ‘พูดคุย’ ทำให้หางตาของหลีโผจื่อกระตุกอย่างรุนแรง  เมื่อนึกว่าถึงตอนนั้นเจ้าเท้าเล็กคนนี้อาจนำเรื่องอาการผิดปกติของเจียงต้ายาไปคุยเล่นกับหวังอาซิ่ง… อยู่ ๆ สีหน้าของหลีโผจื่อก็กลายเป็นสีเขียวคล้ำเข้ม

เจียงป่าวชิงยังอยากแหย่หลีโผจื่ออีกเล็กน้อย นางมองหลีโผจื่อด้วยสีหน้าแววตาบริสุทธิ์ “ท่านย่าสองเจ้าคะ ทำไมอยู่ ๆ ท่านถึงไม่พูดอะไร ?  ท่านย่าสองเป็นอะไรหรือเจ้าคะ ? …ถ้าหากท่านไม่พูดอะไร งั้นข้าออกไปตัดหญ้าหมูกับน้องซิ่งแล้วนะเจ้าคะ ?”

ใบหน้าของหลีโผจื่อในเวลานี้เขียวจนใกล้จะเปลี่ยนเป็นสีม่วงอยู่รอมร่อ  ผ่านไปสักครู่ นางก็เค้นคำสองสามคำออกมาจากในลำคอ “ไม่! เจ้าไม่ต้องไปแล้ว”

“ท่านย่าสอง ท่านพูดว่าอะไรนะเจ้าคะ ?” เจียงป่าวชิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและเดินเข้าไปหาหลีโผจื่อด้วยดวงตาที่สดใส “เมื่อสักครู่ข้าได้ยินไม่ชัด ท่านย่าว่ามาอีกครั้งได้ไหมเจ้าคะ ?”

หลีโผจื่ออยากฉีกหน้าของเจ้าเท้าเล็กคนนี้ออกเป็นชิ้น ๆ  นางตะคอกขึ้นเสียงดัง “ข้าบอกว่าเจ้าไม่ต้องไปแล้ว หูหนวกหรืออย่างไรห๊ะ ?!” พูดจบนางก็หมุนตัวด้วยความโกรธและเดินออกไปทันที

เจียงป่าวชิง ‘จุ๊ปาก’ สองครั้ง จากนั้นก็หันไปพูดกับเจียงหยุนชานที่กำลังงุนงง “ท่านย่าสองนี่ยิ่งแก่ก็ยิ่งแข็งแรงจริง ๆ เห็นท่าทางแบบนี้ของท่านย่าแล้ว ทำงานอีกสักยี่สิบปีท่านก็คงจะไม่มีปัญหา”

……

หลีโผจื่อทำอะไรเจียงป่าวชิงไม่ได้ จึงเอาความโกรธไปลงกับเจียงเหมยฮัวลูกสาวคนเล็กแทน  นางด่าเจียงเหมยฮัวจนเสียงดังไปทั่ว

มิใช่ว่าหลีโผจื่อไม่กล้าด่าเจียงต้ายา แต่นางกลัวว่าตนเองจะเผลอด่าทุกอย่างออกไปจนทำให้คนอื่นได้ยินเรื่องที่เจียงต้ายาไปมีอะไรกับใครบางคน ทั้งยังท้องเชื้อพันธุ์ป่าเถื่อนเข้าให้อีก

ผ่านไปไม่นานเจียงเหมยฮัวก็แบกตะกร้าออกมาด้วยน้ำตานองหน้า และดูเหมือนว่าหลีโผจื่อคงจะเอางานตัดหญ้าหมูไปลงที่เจียงเหมยฮัวแทน

เจียงหยุนชานเห็นเช่นนั้นเขาก็รู้สึกไม่ดีเล็กน้อย “ท่านป้าเล็กก็เป็นคนหนึ่งที่น่าสงสาร…” เขาพึมพำ

เจียงป่าวชิงยกยิ้มมุมปากแต่ไม่ได้พูดอะไร …น่าสงสารอย่างนั้นหรือ ?

ไม่!  ต่อให้เจียงเหมยฮัวจะน่าสงสารมากเพียงใด อย่างน้อยครอบครัวของนางก็ไม่ได้ขายนางให้ไปเป็นเมียคนง่อยวัยสี่สิบปี

คนที่น่าสงสารที่สุดคือเจียงป่าวชิง เด็กผู้หญิงที่เป็นเจ้าของร่างเดิมนี้ต่างหากล่ะ นางถึงกับเสียสละสิ่งที่มีค่าที่สุดเพื่อการนี้… นั่นก็คือชีวิต

……

หลังจากที่กินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจียงหยุนชานก็หยิบหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง จากนั้นเขาพูดกำชับเจียงป่าวชิงอีกครั้ง “ป่าวชิง เจ้าพักผ่อนอยู่ในบ้านนะ ข้าอ่านหนังสืออยู่ด้านนอก มีอะไรตะโกนเรียกข้าก็ได้”

เจียงป่าวชิงพยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู ทว่าเมื่อเจียงหยุนชานออกมาได้ไม่นาน ในห้องดินเหนียวของพวกเขาก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือน  แขกคนนี้เว้นเวลาได้อย่างพอดิบพอดี เห็นได้ชัดว่ากำลังรอให้เจียงหยุนชานออกไปจากห้องก่อน

เจียงเอ้อยาก้าวเข้ามาในห้องดินเหนียวด้วยท่าทางรังเกียจ จากนั้นนางก็มองเจียงป่าวชิงอย่างสังเกต

นางเพียงแค่สังเกตด้านใน แต่แววตาแฝงไปด้วยความตึงเครียดและการหยั่งเชิง “เจ้าปัญญาอ่อน อาการป่วยของเจ้าหายดีแล้วหรือ ?”

เจียงป่าวชิงมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม จึงรู้ว่าเจียงเอ้อยาคนนี้เป็นคนเช่นไร   นางเม้มริมฝีปาก จากนั้นก็ถามขึ้นอย่างนิ่งสงบ “เจ้ามาที่นี่ทำไม ?”

เมื่อเจียงเอ้อยาเห็นเจียงป่าวชิงไม่มีท่าทีปัญญาอ่อนแล้วจริง ๆ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เจียงป่าวชิงสบตากับนาง

เจียงเอ้อยารู้สึกเหมือนกำลังถูกดูถูก จึงทำให้ความโกรธของนางทะลักขึ้นมาบนใบหน้าของนางทันที

นางทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค “พี่ใหญ่ต้องการพบเจ้า” จากนั้นก็ผลักประตูและเดินออกไปทันที