บทที่ 8 ซื้อภาพ

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

อวี้เหวินรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของตน เมื่อถูกบุตรสาวเค้นถาม เขาจึงอดรู้สึกผิดไม่ได้ ตอบเสียงแผ่วว่า “อาถัง แม้ตอนนี้มารดาเจ้าต้องกินยา แต่ไม่ต้องไปเมืองหลวงแล้ว เงินก้อนนี้ก็ถือว่าเป็นเงินที่ข้าพามารดาเจ้าไปเมืองหลวงก็แล้วกัน อีกอย่าง ท่านลุงหลู่ของเจ้าปฏิบัติต่อสกุลเราเช่นไร เจ้าก็คงเห็นกับตาตัวเองแล้ว แล้วตอนนี้ข้าจะมัวสนใจแต่เรื่องตนเองจนไม่ไยดีความเป็นตายของเขาได้อย่างไร?” 

 

 

อวี้ถังโมโหสุดขีด เอ่ยว่า “ตอนนี้เขาเจอเรื่องคอขาดบาดตายอย่างนั้นรึ? ไม่มีสองร้อยตำลึงก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ?” 

 

 

“ก็ประมาณนั้น!” อวี้เหวินตอบ “ท่านลุงหลู่ของเจ้าไปล่วงเกินคนของสกุลเผย ไม่อาจรั้งตัวอยู่ที่เมืองหลินอันได้แล้ว ปีหน้าจะมีการเปิดสอบเอินเคอ[1]แล้ว หากเขาไม่มีผู้ให้การรับรองอย่างจริงจัง เส้นทางบัณฑิตคงยากจะก้าวหน้าได้” 

 

 

เรื่องประเภทนี้อวี้ถังพอเข้าใจอยู่ 

 

 

ขุนนางที่เกษียณอายุแล้วล้วนยินดีจะสร้างความสุขสงบเพื่อปวงประชา หากในท้องถิ่นมีคนหนุ่มเข้าไปสอบในเมืองหลวง ก็จะเขียนจดหมายแนะนำไปยังขุนนางที่ตนรู้จักหรือสนิทสนม ขอให้พวกเขาช่วยจัดการเรื่องที่พักหรืออาจถึงขั้นช่วยชี้แนะบทเรียน เมื่อผลสอบประกาศออกมาจะได้อยู่ในลำดับที่สูงขึ้น 

 

 

นางแสยะยิ้มเย็น เอ่ยว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด ท่านลุงหลู่มิใช่ยังเป็นแค่ซิ่วไฉหรือเจ้าคะ? สกุลเผยถึงจะเขียนจดหมายแนะนำให้เขา เกรงว่าเขาก็คงไม่ได้ใช้อยู่ดี? อีกอย่าง สกุลเผยแต่ไรก็ชอบช่วยเหลือผู้คนอยู่แล้ว เขาไปทำอันใดถึงได้ล่วงเกินคนสกุลเผยเข้า ท่านพ่อเคยขบคิดอย่างละเอียดดูหรือไม่เจ้าคะ?” 

 

 

เห็นชัดว่าอวี้เหวินไม่ต้องการอธิบายความยืดยาว เพียงตอบว่า “เขาตัดสินใจที่จะย้ายไปอยู่เมืองหลวงแล้ว วันข้างหน้าไม่รู้จะได้กลับมาอีกหรือไม่ ถือเสียว่าข้าช่วยเขาครั้งสุดท้าย ตอบแทนที่เขาช่วยชีวิตมารดาของเจ้าไว้ เจ้าก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก” 

 

 

เรื่องมาถึงขั้นนี้ อวี้ถังยังจะพูดอะไรได้อีก 

 

 

นางเอ่ยเสียงแข็งต่อว่า “ภาพวาดล่ะเจ้าคะ?” 

 

 

ภาพผืนนั้นอย่างไรก็เป็นวัตถุเก่าแก่ นับว่ามีค่าไม่น้อย ต่อไปหากครอบครัวไม่อาจควักเงินมาซื้อยาให้มารดา ก็สามารถนำของไปจำนำได้อยู่ 

 

 

อวี้เหวินส่งม้วนภาพวาดให้อวี้ถังอย่างเอาอกเอาใจ 

 

 

ทางด้านอวี้ถังก็คลี่ม้วนภาพกางออกบนโต๊ะหนังสือ พร้อมกับงึมงำเสียงเบาว่า “มีแต่ท่านที่ใจดีถึงเพียงนี้ เงินตั้งสองร้อยตำลึง หากเขานำภาพไปจำนำ อย่างมากก็ได้แค่หนึ่งร้อยตำลึงเท่านั้น…” 

 

 

วาจานางพูดยังไม่ทันจบดี ดวงตาก็เบิกโตกว้าง 

 

 

นี่ไม่ใช่ภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ผืนนั้นที่นางหยิบมาดูเล่นบ่อยๆ เมื่อชาติก่อน 

 

 

ชาติก่อน หลังจากเกิดเรื่องกับบิดา ภาพผืนนี้ก็ถูกทิ้งไว้ที่เรือน โดนผู้คนหลงลืมไป กระทั่งนางแต่งงาน ท่านลุงใหญ่คำนึงว่าสกุลหลี่ที่นางต้องแต่งเข้าไปเป็นสกุลบัณฑิต อยากจะซื้อภาพวาดพู่กันเพิ่มเพื่อให้ขบวนสินเดิมมีหน้ามีตาไม่อายใคร ภาพผืนนี้ถึงได้ถูกรื้อออกมา และเพราะภาพผืนนี้มีส่วนเกี่ยวกับการจากไปของบิดา นางจึงใช้เป็นของระลึกต่างหน้า เก็บรักษามันไว้อย่างดี และหยิบออกมาดูอยู่บ่อยครั้ง 

 

 

นางจำได้อย่างชัดเจน ภาพผืนนี้มีตราประทับอยู่ยี่สิบสามตรา ตราประทับสองลำดับท้ายสุดมีชื่อว่า ‘ชุนสุ่ยถัง’ และ ‘โซ่วเหมยเวิง’ โดยที่ ‘ชุนสุ่ยถัง’ จะถูกประทับอยู่ด้านข้างของ ‘โซ่วเหมยเวิง’ ทว่าตอนนี้ ตำแหน่งเดิมที่ควรจะมีตราประทับว่า ‘ชุนสุ่ยถัง’ กลับกลายเป็นคำว่า ‘เหมยหลิน’ เสียได้ 

 

 

ภาพผืนนี้เป็นของปลอม! 

 

 

อวี้ถังเดือดดาลสุดขีด เอ่ยว่า “ท่านพ่อ หลู่ซิ่นมันเป็นคนชั่วช้า!” 

 

 

อวี้เหวินเห็นว่าบุตรสาวป้ายสีสหายของตนครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจก็เริ่มไม่ยินดีนัก เขาเดินเข้าไปหา ทางหนึ่งจะม้วนภาพเก็บ ทางหนึ่งก็เอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดพูดจาเช่นนี้เล่า? เกิดเป็นคนใครบ้างไม่มีข้อด้อย เจ้าอย่าได้จับจ้องแต่ส่วนที่ไม่ดีของท่านลุงหลู่อยู่แบบนั้น การมองคน สำคัญอยู่ที่…” 

 

 

“ไม่ใช่นะเจ้าคะ!” อวี้ถังตัดบทแทรกอวี้เหวิน ห้ามไม่ให้บิดาม้วนภาพผืนนั้นไปเก็บ นิ้วชี้ไปที่ตราประทับซึ่งเขียนว่า ‘เหมยหลิน’ แล้วพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านดูสิ ตราประทับตรงนี้สมควรจะเป็น ‘ชุนสุ่ยถัง’…” 

 

 

อวี้เหวินหัวเราะขึ้นมาทันใด ตอบว่า “ปกติให้เจ้าตั้งใจท่องหนังสือเจ้าไม่เคยสนใจ ตอนนี้กลายเป็นเรื่องขบขันไปเสียแล้ว! ‘ชุนสุ่ยถัง’ เป็นตราประทับของใครข้าไม่รู้หรอก แต่ว่า ‘เหมยหลิน’ เป็นตราประทับส่วนตัวของใต้เท้าจั่ว สมัยก่อนข้าเคยศึกษาลายมือและตราประทับของท่านโดยเฉพาะ ภาพผืนนี้ของท่านลุงหลู่ของเจ้านั้น บิดาผู้ล่วงลับของเขาได้รับมอบมาจากใต้เท้าจั่ว ถ้าไม่มีตราประทับนี้สิจึงจะนับว่าแปลก เจ้าดูนะ ‘โซ่วเหมยเวิง’ ตรงนี้ ก็คือฉายาของบิดาของท่านลุงหลู่ของเจ้า” 

 

 

อวี้ถังพลันรู้สึกยุ่งเหยิงไปหมด 

 

 

หรือว่าภาพผืนที่นางเอาออกมาจับเล่นบ่อยๆ เมื่อชาติก่อนจะเป็นของปลอม? 

 

 

อวี้ถังไม่แล้วแก่ใจ นางขอให้อวี้เหวินหาคนมาพิสูจน์ 

 

 

อวี้เหวินกลับไม่เห็นด้วย “บิดาเจ้าอาจเล่าเรียนไม่สำเร็จ แต่ภาพวาดเก่าสมัยราชวงศ์ก่อนมีไม่กี่ผืน อย่างไรก็ไม่มีทางมองพลาดไปได้” 

 

 

ความเคลือบแคลงสงสัยในใจอวี้ถังเริ่มเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

ชาติก่อน หลังจากที่นางแต่งเข้าสกุลหลี่ เรือนนางถูกขโมยขึ้นไปหนึ่งครั้ง ภายหลังทุกคนช่วยกันตรวจนับข้าวของ ก็พบว่าเครื่องประดับทองของนางหายไปเพียงสองสามชิ้น ตอนนั้นนางยังคิดสงสัย สกุลหลี่ที่ใหญ่โตและกำแพงสูงลิบเช่นนี้ เมื่อมีขโมยขึ้นเรือน กลับหยิบของติดมือไปเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นหรือ? 

 

 

หรือว่าภาพผืนนี้ได้ถูกคนขโมยไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว? 

 

 

ช่วงเวลาที่อยู่ในสกุลหลี่ อวี้ถังไม่ใคร่อยากจะนึกถึงมากนัก ปฏิเสธไม่ได้ว่าในใจนางมีปมอยู่กระจุกหนึ่ง โดยเฉพาะความเจ็บแค้นที่มีต่อคนสกุลหลี่ หากแตะต้องเพียงนิดเดียวก็ทำให้นางสะท้านสั่นด้วยความชิงชัง เจ็บแค้นจนพูดอะไรไม่ออก 

 

 

ไม่ได้! 

 

 

นางไม่อาจทำเลอะเลือน ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ 

 

 

อวี้ถังขอภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ มาจากอวี้เหวินไปชื่นชมอย่างละเอียด ก่อนจะแอบเอาภาพนั้นไปที่โรงจำนำสกุลเผยอย่างเงียบเชียบ 

 

 

สกุลเผยเปิดโรงจำนำที่หลินอันเพียงแห่งเดียวเท่านั้น 

 

 

ตั้งอยู่ที่สี่แยกถนนด้านหน้าท่าเรือหลินอัน 

 

 

เถ้าแก่ก็ยังเป็นคนที่ร่างท้วมๆ ขาวๆ นามว่าถงกุ้ย 

 

 

ชาติก่อน อวี้ถังนำสินเจ้าสาวมาจำนำกับเขาจำนวนไม่น้อย 

 

 

นางโพกศีรษะ แต่งตัวเป็นหญิงชาวบ้านที่ออกเรือนแล้ว เดินเข้าไปในโรงจำนำอย่างเงียบๆ 

 

 

เถ้าแก่ถงไม่อยู่ร้าน ผู้ที่เฝ้าอยู่ตรงโต๊ะคือบุตรชายของเถ้าแก่ถง นามว่าถงไห่ 

 

 

เขาเหมือนกับเถ้าแก่ถงทุกกระเบียด หน้าตาขาวผ่อง ดูท้วมๆ แม้ปีนี้อายุยังไม่ถึงยี่สิบดี แต่เจอคนก็มีรอยยิ้มประดับเต็มหน้า เห็นแล้วน่าคบหาอย่างยิ่ง 

 

 

อวี้ถังส่งภาพผืนนั้นให้เขา เอ่ยเสียงเบาไปคำหนึ่งว่า “จำนำชั่วคราว” 

 

 

ถงไห่รับของไปพร้อมยิ้มตาหยี ค่อยๆ คลี่ม้วนภาพออกอย่างไม่ร้อนใจ ทว่าวินาทีที่เห็นภาพม้วนนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที แม้ภายหลังจะกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว แต่ความแตกตื่นบนหน้าเขากลับถูกอวี้ถังจับได้เสียแล้ว 

 

 

เห็นได้ชัดว่าถงไห่ในตอนนี้ฝึกฝนจนมีสายตาที่คมกริบแล้ว 

 

 

“แม่นางโปรดรอสักครู่ เชิญท่านไปดื่มชารอที่โถงด้านในก่อนขอรับ” เขายิ้มแล้วเหมือนกับพระสังกัจจายน์ยิ่งนัก “สิ่งที่ท่านนำมาจำนำเป็นภาพวาดพู่กันเก่าแก่ ต้องให้ผู้ประเมินของร้านเราตรวจสอบก่อนจึงจะตีราคาได้ขอรับ” 

 

 

เหตุใดถึงบอกว่าโรงจำนำของสกุลเผยเที่ยงตรงเป็นธรรมน่ะหรือ? โรงจำนำหลายแห่งพอเห็นผู้อื่นนำของมาจำนำ ก็เริ่มต้นหลอกลวงคนก่อนแล้ว ถามว่าอยากจะจำนำเท่าไร ทั้งไม่ว่าผู้อื่นจะตอบจำนวนมากน้อยเพียงไร พวกเขาก็จะลดค่าของสิ่งนั้นจนไม่เหลือราคา โน้มน้าวให้คนจำนำถาวรไปเสีย 

 

 

อวี้ถังพยักหน้า ความร้อนรนที่สุมอกตั้งแต่บิดาซื้อภาพนี้มาค่อยๆ คลายลงไปได้ 

 

 

ชะตาของนางนับว่าประหลาดนัก เรื่องใดๆ ล้วนเปลี่ยนไปเสียหมด แต่อย่างน้อยโรงจำนำสกุลเผยที่นางคุ้นเคยแห่งนี้ เถ้าแก่น้อยและเถ้าแก่ใหญ่ของร้านล้วนยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน 

 

 

นางเดินตามเถ้าแก่น้อยถงเข้าไปที่โถงด้านใน 

 

 

ลมพัดผ่านมาวูบหนึ่ง ต้นการบูรในลานร้านโบกไหวจนเกิดเสียง เป็นผลให้ปลาจิ๋นหลี่[2]หลายตัวที่เลี้ยงไว้ในสระใต้ต้นการบูรต้องโผล่หน้าออกมาจากใต้ใบของต้นบัวสาย 

 

 

อวี้ถังชะลอฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว นางจ้องมองอยู่หลายที กระทั่งได้ยินเสียงคนพูดคุยดังลอดออกมาจากด้านหลังประตูกั้นเคลือบสีที่อยู่ตรงหน้า 

 

 

นางหันไปมองตามทิศทางเสียง 

 

 

นางมองไม่เห็นหน้าคน เห็นเพียงเงาร่างของบุรุษสองคนผ่านรอยต่อของประตู 

 

 

คนที่อวบอ้วนผู้นั้นก็คือ ถงกุ้ย นางเห็นแวบเดียวก็จำได้ทันที ส่วนอีกคนรูปร่างสูงใหญ่ อยู่ในชุดต้าวผาว[3] สีเขียวครามเรียบตัดจากผ้าไหมหังโจว แผ่นหลังยืดตรง สองมือไพล่หลัง แม้จะมองจากที่ไกลๆ ทั้งถูกกั้นด้วยประตูอีกชั้นหนึ่ง ก็ยังรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายภูมิฐาน ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ 

 

 

คงจะเป็นลูกค้าคนพิเศษของร้านกระมัง 

 

 

อวี้ถังมาจำนำสิ่งของโดยไม่เปิดเผยตัวตน เพราะกลัวจะถูกจับได้ จึงไม่กล้ามองหลายที แต่อดจะเก็บไปขบคิดต่อในใจไม่ได้ 

 

 

ท่าทางโดดเด่นเพียงนี้ แต่กลับมาจำนำของ ไม่รู้ว่าเป็นคุณชายจากสกุลไหน… 

 

 

นางสะบัดศีรษะไปมา จู่ๆ รู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล 

 

 

นางดื่มน้ำชาไปสองถ้วยแล้ว ในที่สุดเถ้าแก่น้อยและเถ้าแก่ใหญ่ก็เดินออกมาพร้อมกัน 

 

 

“แม่นางท่านนี้” เถ้าแก่ใหญ่ถงถือม้วนภาพวาดที่นางส่งให้เถ้าแก่น้อยถงไปก่อนหน้านี้ไว้ในมือ ปาดเหงื่อเล็กน้อยพลางพูดว่า “ภาพวาดผืนนี้ของท่านเป็นงานคัดลอกขอรับ” 

 

 

ภาพปลอม?! 

 

 

นางกระเด้งตัวลุกขึ้นมาทันที 

 

 

นางรู้อยู่แล้ว หลู่ซิ่นผู้นี้ไม่ใช่คนดีอะไร! 

 

 

ชาติก่อน บิดาไม่ได้ปฏิเสธและซื้อภาพของเขามา ดีชั่วอย่างไรเขาก็ยังขายภาพจริงให้กับบิดานาง ชาตินี้ บิดานางไม่ยินดีจะซื้อภาพของเขา เขาถึงกับขายภาพปลอมให้บิดานางเชียวรึ? 

 

 

อวี้ถังได้แค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน 

 

 

แต่ในใจก็อดจะยอมรับไม่ได้ หากมิใช่ว่านางสอดมือเข้าไปยุ่ง ชาตินี้ก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น 

 

 

ในเมื่อนางเป็นคนก่อเรื่อง แน่นอนว่านางต้องเป็นคนเก็บกวาดเรื่องยุ่งๆ นี้เอง 

 

 

ถ้าไม่เอาภาพจริงในมือของหลู่ซิ่นคืนมา ก็ต้องเอาเงินในมือของเขากลับมาแทน! 

 

 

อวี้ถังพลันแย่งภาพผืนนั้นมาจากมือเถ้าแก่ใหญ่ถง เอ่ยเสียงแข็งว่า “ขอบคุณเถ้าแก่ใหญ่ถงมาก รบกวนท่านแล้ว” 

 

 

เถ้าแก่ใหญ่และเถ้าแก่น้อยล้วนมองนางอย่างตกตะลึง คล้ายกับถูกทำให้ตกใจ 

 

 

อวี้ถังทำได้เพียงฝืนยิ้มออกมาบางๆ 

 

 

นางจะเคียดแค้นหลู่ซิ่นก็เคียดแค้นไปสิ แต่ไม่สมควรจะพาลใส่เถ้าแก่ใหญ่ถงไปด้วย 

 

 

“ขอประทานโทษด้วย!” นางเอ่ยขอขมา “ข้าคิดไม่ถึงว่านี่จะเป็นภาพปลอม ทำให้พวกท่านต้องเสียเวลาแล้ว” 

 

 

เถ้าแก่ใหญ่และเถ้าแก่น้อยล้วนถูกอบรมมาเป็นอย่างดี หากว่าเปลี่ยนเป็นผู้อื่น การถือภาพปลอมมาจำนำ คงถูกคนของโรงจำนำโยนออกไปกลางถนนให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเพราะคิดว่าเป็นนักต้มตุ๋นตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

“มิใช่ขอรับ!” เถ้าแก่น้อยพูดจาติดๆ ขัดๆ “ท่าน ผ้าคลุมท่านร่วงน่ะขอรับ” 

 

 

ผ้าคลุมร่วงแล้วเป็นอย่างไรเล่า? 

 

 

ผ่านไปพักหนึ่งอวี้ถังถึงเพิ่งคิดออก 

 

 

เพราะต้องการเอาของมาจำนำ นางจึงจงใจเลือกเสื้อผ้าเก่าๆ ของซวงเถามาชุดหนึ่ง นางยังหวีผมทรงหญิงออกเรือน เสียบด้วยดอกไม้สีแดงบานเย็นดอกหนึ่ง เดิมยังคิดว่าต้องผัดแป้งสักหน่อยหรือไม่ เพื่อให้ดวงหน้าดูอ่อนล้าซีดเซียว แต่ตอนที่หาตลับแป้งของซวงเถาเจอ นางก็เดียดฉันท์ว่าแป้งผัดหน้าที่ซวงเถาใช้ไม่เนียนละเอียดพอ ซวงเถาบอกว่าจะไปที่ร้าน ‘เซี่ยฟู่เซียง’ เพื่อซื้อตลับใหม่ให้ แต่นางก็รู้สึกอีกว่าช่างไม่คุ้มเงินสองตำลึงที่ต้องจ่ายไปเสียเลย…เงินสองตำลึงนั่นมากพอให้มารดาซื้อยาได้ตั้งครึ่งเดือน 

 

 

อวี้ถังนึกย้อนไปถึงชาติก่อน นางเพียงโพกศีรษะอย่างลวกๆ เข้าไปที่ร้านก็ไม่เห็นมีใครจำได้ จึงได้ใจกล้าโพกศีรษะออกไปอีกครั้ง กลับลืมไปว่าตอนนี้ตนเพิ่งจะถึงวัยปักปิ่น ดวงหน้ายังละอ่อนราวกับต้นอิงเถาที่แตกยอดออกผลได้สามเดือน ปิดบังความน่ารักอ่อนหวานไม่มิด มองอย่างไรก็เหมือนเด็กคนหนึ่งที่เอาชุดผู้ใหญ่มาใส่เล่น ต่อให้คนตาบอดก็ยังมองออกว่านางเจตนาปลอมตัวมา 

 

 

ดวงหน้าอวี้ถังขึ้นสีแดงเรื่อ มือก็วุ่นวายกุมศีรษะไว้ แล้วกำม้วนภาพหมุนตัวออกจากโรงจำนำ 

 

 

กลางวันช่วงฤดูร้อนแสงตะวันสาดส่องแรงกล้า แผดเผาจนคนลืมตาแทบไม่ขึ้น 

 

 

บนท่าเรือไร้ซึ่งผู้คน ใต้ชายคาของร้านค้าข้างๆ กัน มีเถ้าแก่นอนเปิดเสื้อท่อนบนอยู่บนเก้าอี้โยกพลางโบกพัดใบกกไปมา สุนัขของร้านนอนขดตัวอย่างเบื่อหน่ายอยู่ข้างเก้าอี้โยก มันร้องครางไปเรื่อยอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ทำให้ช่วงบ่ายที่เงียบเหงาน่าอึดอัดยิ่งกว่าเดิม 

 

 

อวี้ถังได้สติกลับมา 

 

 

นางถามไปแค่ว่าภาพนี้เป็นของจริงหรือของปลอม แต่กลับลืมถามให้ชัดเจนว่ามันปลอมที่ตรงไหน? 

 

 

หากว่าหลู่ซิ่นพลิกลิ้นขึ้นมา นางควรจะพูดอย่างไรต่อเล่า? 

 

 

อวี้ถังลังเลอยู่พักหนึ่ง นางกัดฟันแน่น แล้วย้อนกลับไปที่โรงจำนำอีกครั้ง 

 

 

ภายในโรงจำนำ บุรุษชุดเขียวครามที่นางเห็นก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าออกมาตั้งแต่เมื่อใด กำลังยืนพูดกับเถ้าแก่ใหญ่ถงว่า “อายุเท่านี้ก็รู้จักหลอกลวงคนแล้ว ต่อไปหากมีเรื่องทำนองนี้อีก ห้ามปล่อยไปง่ายๆ เด็ดขาด!” 

 

 

เถ้าแก่ใหญ่ถงยืนค้อมหลังผงกศีรษะอยู่เบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น ขณะกำลังเอ่ยตอบ ก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นอวี้ถังเสียก่อน 

 

 

เขาอ้าปากค้าง ทำหน้ากระอักกระอ่วน 

 

 

————————————————————- 

 

 

 

 

 

[1]เอินเคอ ก็คือการสอบเคอจวี่ประเภทหนึ่ง ‘เอิน’ แปลว่า บุญคุณ เป็นการจัดสอบเฉพาะกิจในช่วงเวลาพิเศษ เช่น เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนม์พรรษาของไทเฮา เป็นต้น 

 

 

[2]ปลาจิ๋นหลี่ หรือก็คือปลาคาร์พ นิยมเลี้ยงไว้เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล 

 

 

[3]ชุดต้าวผาว เป็นชุดเสื้อยาวทรงตรง คอเสื้อป้ายทับกัน จะคาดด้วยเข็มขัด เชือกหรือใช้แถบผ้าผูกทับก็ได้