ตอนที่ 7 ลูกสาวเจ้าปัญหา

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

พออาจารย์ประจำชั้นพูดจบ ความเงียบก็เข้าปกคลุมห้อง 3/9 

 

 

เด็กหนุ่มที่เพิ่งได้ข่าวมานั่งลง หยิบหนังสือออกมา แล้วสะกิดหลังสวีเหยากวง “อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น ยัยนั่นดันได้มาเรียนห้องเราพอดีเลยเหรอเนี่ย” 

 

 

เด็กท็อปของห้องนั่งกอดอกพิงเก้าอี้  

 

 

เขาเกิดมาหล่อ เพราะฉะนั้นเวลาเขาขมวดคิ้ว สีหน้าจึงดูไม่สบอารมณ์นัก 

 

 

“ทำไมเหรอเฉี่ยวเซิง นายรู้เรื่องเด็กใหม่เหรอ เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะ” เพื่อนโต๊ะข้างๆ ของเด็กหนุ่มกระจอกข่าวเดินมาถามด้วยความสนใจใคร่รู้ 

 

 

ตอนเริ่มปีแรกของมัธยมปลาย บรรดาอาจารย์แต่ละวิชาต่างเอาจริงเอาจริงกับพวกเขามากๆ จนทำให้มีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นอยู่ไม่กี่เรื่อง 

 

 

พอได้ยินคำถามนี้ พวกนักเรียนหลังห้องก็รีบกรูกันไปหาเฉี่ยวเซิงและสวีหยางกวงกันเป็นกลุ่มใหญ่ 

 

 

“เป็นผู้หญิง แต่อย่าไปหวังอะไรกับเด็กนั่นเยอะเลย” เด็กหนุ่มช่างจ้อวางมือเขาบนโต๊ะ แล้วยิ้ม 

 

 

เขาไม่ได้บอกว่าเพื่อนร่วมห้องคนใหม่นี้คือพี่สาวของฉินอวี่ ฉินอวี่เป็นคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันกับพวกเขาจากการชักนำของสวีเหยากวง และเรื่องที่ว่าสวีเหยากวงชอบดาวโรงเรียนคนนั้นก็ไม่ใช่ความลับอะไร 

 

 

“ทำไมเหรอ” พอบอกว่าเด็กใหม่เป็นผู้หญิงเท่านั้นแหละ ทุกคนต่างพากันตื่นเต้นยกใหญ่ 

 

 

“ก็ยัยเด็กใหม่เรียนซ้ำชั้นที่เมืองหนิงไห่น่ะสิ” เด็กหนุ่มช่างจ้อส่ายหน้า “รู้อะไรไหม หนิงไห่น่ะเป็นหนึ่งในเมืองที่ยากจนที่สุดในมณฑลเลยนะ” 

 

 

หลังจากได้ยินแบบนี้ ความฝันของบรรดาวัยคะนองเหล่านี้ก็พลันหยุดลงทันที 

 

 

ทันทีทันใด ความคิดของพวกเขากลับเห็นภาพของเด็กตัวผอมกะหร่อง ผิวเหลืองๆ ที่เคยเห็นตามข่าว 

 

 

จนทำให้ไม่ได้มีความคาดหวังอะไรจากว่าที่เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ 

 

 

“บ้าจริงเฉี่ยวเซิงนี่ ทำไมนายทำแบบนี้ ไม่เหลือที่ให้จินตนาการกันมั่งเลย” วัยรุ่นอีกคนที่อยู่ข้างเขาพูดขึ้น พร้อมเหยียดขาออก 

 

 

อาจารย์เกากำลังจะพูดบางอย่าง แต่เขาเห็นว่านักเรียนคนใหม่ยังไม่เข้ามาในห้อง เลยพยักหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉินหร่าน เข้ามาเร็วๆ” 

 

 

ฉินหร่านยังคงอยู่นอกห้องเรียน เธอถือชุดเครื่องแบบและหนังสือสองสามเล่มไว้ในมือ 

 

 

เด็กสาวถือหนังสือไว้ในมือข้างหนึ่ง เครื่องแบบวางอยู่บนหนังสือ 

 

 

ส่วนมืออีกข้าง เธอถือโทรศัพท์ และกำลังมองมันอยู่ 

 

 

มันเป็นข่าวจากกู้ซีฉือ เด็กสาวคนงามชำเลืองมองก่อนจะรีบยัดมือถือเก็บใส่กระเป๋าด้วยความจำเป็น พอได้ยินเสียงเรียกของอาจารย์ ฉินหร่านก็เดินเข้าห้องพร้อมหนังสือและเครื่องแบบ 

 

 

เฉี่ยวเซิงลดเสียงลง เขาพูดขึ้นคณะควงปากกาเล่น “นายน้อยสวีคิดว่าเด็กนั่นจะกลัวไหม ผมไปหาข้อมูลมา เจอว่าการศึกษาที่หนิงไห่ห่วยเลยล่ะ เธอต้องกล้ามากนะที่มาเรียนที่โรงเรียนอีจง” 

 

 

ผู้เป็นเพื่อนก้มมองโทรศัพท์ตัวเอง จากนั้นเขาก็ดึงเก้าอี้ออกเพื่อยืนขึ้น “ฉันจะไปดูคลาสไวโอลินของฉินอวี่ที่หอประชุมสักหน่อย” 

 

 

เด็กหนุ่มคนเก่งเห็นดาวโรงเรียนครั้งแรกตอนที่เธอขึ้นแสดงไวโอลินตอนพิธีเปิด ฉินอวี่ได้ใจเขาเพราะเสียงไวโอลินอันไพเราะเพราะพริ้งของเธอ 

 

 

เขาเดินออกทางประตูหลังห้อง 

 

 

และสวนกับฉินหร่านพอดี 

 

 

“หึ้ย ฉันละอิจฉาเขาจริงๆ” หนุ่มช่างจ้อพูด เฉี่ยวเซิงไม่ใจกล้าเท่ากับคุณหนูสวี เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “ฉันก็อยากดูแม่ดาวโรงเรียนคนสวยสีไวโอลินเหมือนกันน้า เด็กใหม่จะมีอะไรน่าดูกันเล่า” 

 

 

เขาใช้ขาสะกิดเพื่อนข้างโต๊ะด้วยหวังว่าจะหาคนปรับทุกข์ด้วยเสียหน่อย 

 

 

แต่เพื่อนที่นั่งข้างกันกลับไม่พูดอะไรสักคำ แถมทั้งห้องก็เงียบแปลกๆ จู่ๆ เสียงกระซิบกระซาบก็เงียบกริบ 

 

 

ทุกตนต่างพากันจ้องไปที่โพเดียม เสียงที่เงียบกริบนั้นแสดงถึงความทึ่งของนักเรียนในห้อง 

 

 

“ฉันชื่อฉินหร่าน” เธอเปลี่ยนไปถือหนังสือด้วยมือขวา แล้วใช้มือซ้ายหยิบชอล์กมาเขียนชื่อบนกระดานดำ 

 

 

เด็กใหม่คนนี้สุภาพอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

ทว่าก็มีแววของความดื้อดึงที่ถูกซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดี 

 

 

แต่การเคลื่อนไหวตัวที่กระโดกกระเดก สบายๆ นั้น กลับยังให้ความรู้สึกของความป่าเถื่อนส่งออกมาด้วย 

 

 

 

 

 

ไม่มีใครในห้อง 3/9 พูดอะไรสักคำ 

 

 

ทุกคนเงียบเป็นเป่าสาก 

 

 

อาจารย์เกาชี้ไปยังโต๊ะที่ว่างอยู่ แล้วคลี่ยิ้ม “เธอนั่งตรงนั้นได้เลย หลินซือหราน ช่วยพาเพื่อนใหม่เดินชมรร.หลังเลิกเรียนด้วยนะ” 

 

 

เด็กผู้หญิงที่รวบผมเป็นหางม้าได้สติอีกครั้ง เธอยืนขึ้นอย่างเขินอาย แล้วนำฉินหร่านไปยังโต๊ะข้างๆ เธอ 

 

 

เฉี่ยวเซิงกับเด็กหนุ่มอีกสองสามคนที่นั่งหลังห้องไม่ได้คาดหวังอะไรจากนักเรียนใหม่คนนี้ แต่พวกเขาคงจะร่างภาพเธอปักลงกลางใจพวกเขาเรียบร้อยแล้ว 

 

 

ข่าวบอกมาว่าเด็กใหม่เป็นพวกหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน (บ้านนอก) ผิวพรรณน่าเกลียด กร้านคล้ำ แถมอากัปกิริยาท่าทางไม่มีอะไรเทียบฉินอวี่ติด 

 

 

แต่ตอนนี้ภาพในหัวของพวกเขาพลิกจากหลังเท้าเป็นหน้ามือเลย 

 

 

หลังจากทั้งห้องเงียบไปสองนาที ก็มีเสียงสูดหายใจเข้าดังๆ 

 

 

คำที่อยู่บนกระดานถูกเขียนด้วยเส้นเส้นเดียว มันขยุกขยิกตวัดไปมา แม้ว่าลายมือจะไม่สวย แต่กลับแสดงถึงอุปนิสัยใจคอได้เป็นอย่างดี 

 

 

เช่นเดียวกันกับเจ้าของลายมือ 

 

 

 

 

 

ผมเธอยาวปกไหล่ ผิวพรรณขาวผุดผ่อง ลำขาเรียวยาวและตั้งตรง ดวงตาบ๊วยสุกที่หรุบต่ำคู่นั้นมีสีดำ เป็นประกาย  

 

 

เธอเป็นคนที่เต็มไปด้วยอิสระ 

 

 

แต่ทว่าก็เยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง 

 

 

ทุกคนในห้องต่างจ้องเธอเป็นตาเดียว 

 

 

คิ้วคู่งามดูแสดงถึงแววความร้ายกาจนิดๆ ที่อยู่ระหว่างดวงตาของเด็กสาว มุมปากโค้งได้รูป ที่แน่ๆ เธอเป็นพี่น้องที่น่าประทับใจทีเดียวเชียว  

 

 

ออร่าของเธอโดดเด่นเตะตา และไม่ว่าจะเดินไปไหน บรรดาหนุ่มๆ ต่างรีบหดขาที่เคยเหยียดขวางทาง 

 

 

“คุณพระช่วยกล้วยทอด ยัยนี่ดิบ สวยโหดโคตรๆ เลยว่ะ เฉี่ยวเซิง ข่าวนายไม่เห็นจะจริงเลย!”  

 

 

“คนอะไรจะฮอตขนาดนี้ เห็นทีดาวโรงเรียนจะเปลี่ยนไปก็คราวนี้!” 

 

 

“…” 

 

 

หลินซือหรานอยากคุยและพาเพื่อนใหม่คนนี้ไปเดินทัวร์รอบโรงเรียน แต่เธอกลับนั่งลงที่โต๊ะ เอามือเท้าคางแล้วหันหน้าไปทางอื่นเสียแล้ว 

 

 

หยิ่งชะมัด 

 

 

เพื่อนคนนี้มีรังสีความเป็นบอสใหญ่จนหลินซือหรานไม่กล้าพูดด้วยสักคำ 

 

 

หลังจากหมดคาบ ฉินหร่านก็เปลี่ยนไปใส่เครื่องแบบ แล้วขอแบบฟอร์มเข้าพักหอจากอาจารย์ประจำชั้น เธอยังขอลาโรงเรียนด้วย 

 

 

** 

 

 

สี่สิบนาทีต่อมา ณ ภายในบ้านตระกูลหลิน 

 

 

“ทำไมคุณถึงกลับมาที่บ้านอีกล่ะคะ โรงเรียนยังไม่เลิกไม่ใช่เหรอ” แม่บ้านจางเปิดประตู แล้วทำหน้ามุ่ยเมื่อเห็นแขกที่มาบ้าน เธอมองดูฉินหร่านด้วยสายตาตั้งแง่และตัดสิน 

 

 

เด็กสาวเลิกคิ้ว แล้วพูดห้วนๆ “ออกไป” 

 

 

ดวงตาเธอไม่ได้มีแค่สีขาวกับดำ แต่ยังห้อเลือดจางๆ ในนั้น สายตาที่เย็นชาอยู่แล้วจ้องมองไปที่ป้าจางด้วยความดุดันเข้าไปอีก 

 

 

หัวใจแม่บ้านเต้นตึกตัก จนเธอร่นถอยอย่างไม่รู้ตัว 

 

 

แล้วฉินหร่านก็รีบเดินตรงขึ้นบันไดไป 

 

 

แม่บ้านจางกลับมาได้สติในที่สุด แล้วทำท่าเหยียดปาก 

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะฉินอวี่แล้ว คุณหลินจะยอมตกลงให้รับเด็กคนนี้เข้ามาในตระกูลเหรอ นี่เด็กนั่นคิดว่าตัวเองวิเศษวิโสขนาดนั้นเลยหรือไง 

 

 

ข้างบน ฉินหร่านเห็นประตูห้องหนิงฉิง 

 

 

ประตูอ้าอยู่ครึ่งหนึ่งทำให้ได้ยินเสียงข้างในลอดออกมา 

 

 

สาวน้อยจึงหยุดเดิน 

 

 

มันคือน้ำเสียงที่โมโหโกรธาหงุดหงิดของแม่เธอ “แม่หาว่าหนูลำเอียง แต่จะให้หนูทำยังไงล่ะ อีกไม่กี่วัน พวกพี่สะใภ้ตระกูลหลินก็จะมาที่นี่ จะให้หนูอธิบายยังไงถ้าพวกนั้นถาม” 

 

 

เฉินซูหลานป่วยหนักอยู่จนทำให้เธออ่อนแอมาก “อะไรนะ” 

 

 

“แม่จะให้หนูเที่ยวบอกพวกนั้นว่าฉินหร่านดรอปเรียนเพราะความดื้อด้านจนทำให้ต้องมาซ้ำชั้นที่อวิ๋นเฉิงหรือไง” หนิงฉิงพูดด้วยอารมณ์ขุ่น “จะให้บอกว่าลูกคนโตยังเรียนม.ปลายอยู่ทั้งที่อายุสิบเก้าแล้ว และกำลังเรียนชั้นเดียวกับอวี่เอ๋อร์เหรอ หนูจะพูดเรื่องที่น่าอับอายแบบนั้นได้ยังไง พวกบรรดาพี่สะใภ้จากตระกูลหลินก็ไม่ได้ชอบหนูเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แม่คิดว่าการเป็นเมียคนรวยมันง่ายนักหรือไง”  

 

 

หนิงฉิงยอมรับว่าเธอลำเอียงรักฉินอวี่มากกว่า ก็ลูกคนเล็กของเธอฉลาดเฉลียวตั้งแต่ยังเด็ก แถมยังเป็นหน้าเป็นตาให้เธอได้อีก 

 

 

ภรรยาคนใหม่ของคุณหลินต้องลำบากลำบนเวลาที่อยู่ในครอบครัวผู้มั่งมีนี้ หลินฉีเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า พวกเขาจะไม่มีลูกด้วยกัน เพราะอย่างนั้น เธอจึงทุ่มเททั้งชีวิตให้แก่ลูกสาวคนเดียวที่มีตอนนั้น 

 

 

ฉินอวี่เองก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เธอไม่เพียงแค่โดดเด่น แต่ยังเอาชนะใจหลินฉีได้ด้วย 

 

 

ลูกคนนี้เป็นความหวังของเธอ เพราะฉะนั้นการจะไม่ให้เธอลำเอียงนั้นคงจะเกินจริงไป 

 

 

ด้านนอกประตูบานนั้น เด็กสาวที่แอบฟังยกเท้าขึ้นถีบประตูเปิดออกเต็มแรงด้วยความไม่สบอารมณ์