ตอนที่ 6 รื้อฟื้นความทรงจำ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

“เจ้าอย่าโกรธเลย!” เฉิงอี้ถูจมูกอย่างเดือดดาล พลางกล่าว “เขาบอกว่าพอทราบว่าเจ้าไม่สบาย ก็ไปที่หุบเขาฉางชุนเพื่อขอให้ส่งยาสำหรับรักษาโรคหวัดมาเป็นพิเศษแล้วให้บ่าวชายส่งเข้ามาให้ ใครจะรู้ว่าจะทำให้เจ้าโกรธเคือง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เลยอยากขอโทษเจ้า…” ขณะที่พูด เขาเห็นว่าสีหน้าของโจวเสาจิ่นหนักอึ้ง ก็รีบอธิบาย “ข้าก็รู้ว่าเช่นนี้มันไม่เหมาะสม ทว่าเขานั้นพูดอย่างจริงจังและจริงใจมาก ยิ่งอยู่ต่อหน้าพวกเฉิงนั่วแล้ว ข้าเกรงว่าคงไม่ดีนักหากจะปฏิเสธ จำต้องแบกศีรษะมาที่นี่ครั้งหนึ่ง” 

 

 

โจวเสาจิ่นนิ่งเงียบ 

 

 

ตระกูลเฉิงมีทั้งหมดห้าจวน เฉิงลู่เป็นสาขาย่อยของจวนห้า กับหัวหน้าตระกูลของจวนอื่นๆ ล้วนถือได้ว่าห่างกันค่อนข้างมากแล้ว เขากำพร้าบิดาตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงแม้ว่าสถานะทางการเงินของครอบครัวจะอยู่ในขั้นดี ทว่าระบบส่วยภาษีอากรกลับโหดร้ายยิ่งกว่าเสือ ต่งซื่อมารดาของเฉิงลู่นั้นมีพื้นเพมาจากตลาดในเมือง ทางบ้านเดิมไม่มีผู้ใดที่พอจะให้ความช่วยเหลือได้ เบื้องต้นจำต้องพึ่งพาจวนห้า ทว่าจวนห้านั้นแม้แต่ตัวเองก็แทบจะดูแลไม่ไหว แล้วจะสามารถช่วยจัดการเรื่องของครอบครัวเฉิงลู่ได้อย่างไร ต่งซื่อไม่มีทางเลือก หันมาพึ่งพิงจวนสี่ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่ต้องเป็นหม้ายมาตั้งแต่อายุยังน้อย เห็นต่งซื่อที่ต้องเป็นหม้ายตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นเดียวกัน ก็อดไม่ได้เกิดความเห็นอกเห็นใจ ให้นำที่ดินทรัพย์สินของครอบครัวเฉิงลู่ใส่รวมภายใต้ชื่อของจวนสี่ ยกเว้นไม่ต้องจ่ายส่วยภาษีอากร ทั้งยังสนับสนุนให้เฉิงลู่ได้เข้าศึกษาที่สำนักศึกษาแห่งตระกูลเฉิง 

 

 

ต่งซื่อซาบซึ้งในความใจกว้างของฮูหยินผู้เฒ่ากวน หมั่นเข้าออกจวนสี่อยู่เสมอๆ ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว เฉิงลู่เป็นผู้รักเรียนผู้หนึ่ง ตั้งแต่อายุยังน้อยก็สอบผ่านข้อสอบระดับอำเภอและระดับเมืองติดต่อกัน ต่งซื่อคิดว่าในวันข้างหน้ายังมีเรื่องให้ต้องขอร้องจวนสี่เพื่อบุตรชายอีกมาก ฮูหยินผู้เฒ่ากวนมองสองแม่ลูกคู่นี้แล้วก็ให้นึกถึงความยากลำบากของครอบครัวตัวเองในกาลก่อน จึงเน้นย้ำกับบุตรชายบุตรสะใภ้ให้ช่วยกันดูแลครอบครัวเฉิงลู่ให้มากหน่อย ด้วยเหตุนี้เฉิงเก้าและเฉิงอี้ก็ช่วยดูแลเฉิงลู่เป็นอย่างดี ฝ่ายหนึ่งก็มีใจ อีกฝ่ายหนึ่งก็มีความปรารถนาดี ครอบครัวเฉิงลู่และจวนสี่จึงไปมาหาสู่กันอย่างสนิทชิดเชื้อยิ่งขึ้น 

 

 

เพราะเหตุนั้นเฉิงอี้เลยไม่กล้าปฏิเสธเฉิงลู่? 

 

 

ที่แท้ต้นเหตุมาจากคำพูดของนางที่ฝากซงชิงไปบอกแก่เฉิงลู่ 

 

 

หากว่านางไม่ได้กล่าวถ้อยคำนั้นออกไป ก็คงจะไม่เกิดเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ขึ้นใช่หรือไม่ 

 

 

โจวเสาจิ่นอารมณ์ขุ่นมัว ทว่าก็รู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสืบสวนเรื่องนี้ “จริงๆ แล้วท่านไม่ได้มาเยี่ยมข้า ทว่ามาส่งสารให้เฉิงลู่? หลอกให้ข้าดีใจเปล่าไปแล้วรอบหนึ่ง” 

 

 

“ไม่ใช่ๆ” เฉิงอี้รีบโบกมือพัลวัน พลางกล่าว “ข้าตั้งใจมาเยี่ยมเจ้าจริงๆ เช้านี้ยามที่พี่ชายไปคารวะยามเช้าท่านยายยังถามถึงอาการป่วยของเจ้า ยามได้พบกับพี่หญิงใหญ่ก็ยังถามถึงอีกรอบ ส่วนธุระของเฉิงลู่นั้นเป็นการถือโอกาสมาถามพร้อมกันเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ” 

 

 

ขณะทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือด ทันใดนั้นมีบ่าวมาเคาะประตู “คุณหนูรองเจ้าคะ ชุ่ยหวนบ่าวข้างกายของคุณหนูเจียมาเจ้าค่ะ” 

 

 

เฉิงอี้สะดุ้งโหยง ลุกขึ้นมองหาที่ซ่อน ปรากฏว่ากวาดตามองหนึ่งรอบแล้วก็ยังหาที่ซ่อนไม่ได้ เขาลนลานขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ พลางบ่น “เฉิงเจียผู้นี้ ทำไมคิดจะโผล่มาก็มา รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าไม่สบาย นางยังจะให้คนมาหาเจ้าทำไมกัน และไม่รู้จักบอกกล่าวก่อน!” 

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ได้กล่าวอะไร 

 

 

ความรู้สึกของนางที่มีต่อเฉิงเจียค่อนข้างซับซ้อน มีบางครั้งที่หลอกตัวเองว่า หากตนเองไม่คิดถึงมัน ก็จะสามารถทำเสมือนว่าเรื่องพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

 

 

โดยเฉพาะในความทรงจำของนางนั้น เฉิงเจียถูกแต่งออกไปอยู่ห่างไกล ทั้งยังถูกห้ามไม่ให้กลับมาที่ตระกูลเฉิงอีก สำหรับคนประเภทที่ยึดถือชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเพื่อความมีเกียรติอย่างเฉิงเจียแล้ว บทลงโทษเยี่ยงนี้น่ากลัวว่าจะทำให้นางเจ็บปวดยิ่งกว่าการตายเสียอีก? 

 

 

นางชี้ไปยังเก้าอี้ไม้มีเท้าแขนในห้อง กล่าวกับเฉิงอี้ว่า “ท่านนั่งเงียบๆ ก็พอ ข้าจะออกไปดูสักหน่อย” 

 

 

“อย่างนั้นดียิ่งๆ” เฉิงอี้สงบเงียบลง 

 

 

โจวเสาจิ่นออกมาจากห้องหนังสือ ก็เห็นชุ่ยหวนที่มีซือเซียงอยู่ด้วยนั้น ยืนอยู่ใต้แผงต้นองุ่น 

 

 

“คุณหนูรอง!” ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ทั้งสองคนรีบก้าวมาข้างหน้าคำนับทำความเคารพ 

 

 

โจวเสาจิ่นมองสำรวจชุ่ยหวนอย่างละเอียดถี่ถ้วน 

 

 

เสื้อกั๊กปี๋เจี่ย [1] สีเขียวอ่อนที่ทำจากไหมหังโจวสีซีด กระโปรงจีบสีขาว บนหูประดับด้วยเครื่องประดับเงินทรงดอกติงเซียง [2] เล็กๆ สวมใส่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน เสมือนกับดอกอวี้จาน [3] ที่บานอยู่ตรงริมกำแพง 

 

 

ทว่าในความทรงจำที่ฝังอยู่ในใจของนางนั้น ชุ่ยหวนในวัยย่างเข้าปีที่สามสิบนั้น ร่างอุ้ยอ้าย ผิวพรรณเหลืองแห้ง ห่อหุ้มไว้ด้วยเสื้อคลุมผ้าไหมลู่โจวสีเขียวนกแก้ว คุกเข่าอยู่หน้าประตูเรือนชั้นในของนาง ยืดลำคอขึ้นตรงกล่าวว่า ท่านรู้สึกได้รับความไม่ยุติธรรม นั่นเป็นสิ่งที่ท่านเลือกเอง คุณหนูของพวกข้าจะไม่เสียหายได้อย่างไร การที่ท่านไม่ไปหาอู๋เป่าจางผู้นั้นเพื่อคิดบัญชี แล้วมาโกรธเกลียดคุณหนูของพวกข้าอยู่เช่นนี้จะให้คิดว่าอย่างไร? หากว่าไม่ใช่ความต้องการสุดท้ายของคุณหนู ต่อให้ข้าเดินผิดทางก็ไม่มีวันมาเยือนถิ่นของฮูหยินหลินเช่นท่าน 

 

 

สำหรับตนเองแล้วนางคือบ่าวชั่ว ทว่าสำหรับเฉิงเจียแล้วนางคือบ่าวผู้ซื่อสัตย์! 

 

 

การแสดงออกของโจวเสาจิ่นค่อนข้างคลุมเครือยากจะเข้าใจ ทว่าเมื่อไปตกอยู่ในสายตาของชุ่ยหวนและซือเซียงแล้วมันดูกระสับกระส่ายและกระวนกระวายเล็กน้อย 

 

 

ชุ่ยหวนและซือเซียงแลกเปลี่ยนสายตากัน ตะโกนขึ้นพร้อมกันว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ” 

 

 

โจวเสาจิ่นดึงสติกลับมา สูดหายใจเข้าลึกลมหายใจหนึ่ง ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

นางเอ่ยถามชุ่ยหวน “คุณหนูของพวกเจ้าให้เจ้ามาทำอะไรหรือ” 

 

 

ถ้อยคำนี้ดูเหมือนว่าจะถามออกไปอย่างไม่ค่อยสุภาพนัก ทว่าโจวเสาจิ่นและเฉิงเจียนั้นเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ เสมือนกับพี่น้องแท้ๆ วันนี้ทะเลาะกันพรุ่งนี้ก็ดีกัน พรุ่งนี้ดีกันวันมะรืนก็ทะเลาะกันอีก ไม่ว่าอย่างไรก็หมุนไปไม่ถึงการยุแยงของพวกบ่าวที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายสักที 

 

 

ชุ่ยหวนยิ้มพลางกล่าว “คุณหนูของพวกข้าได้ยินว่าคุณหนูรองไม่สบาย ไม่สามารถออกนอกเรือนได้ คิดว่าท่านอยู่แต่ในเรือนจะต้องเบื่อหน่าย เมื่อหลายวันก่อนคุณชายใหญ่เจิ้งและสหายอีกหลายคนไปที่เขาอู่ไถใช่หรือไม่เจ้าคะ กลางดึกของเมื่อวานกลับมาถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูของพวกข้าเห็นคุณชายใหญ่เจิ้งนำพัดหน้าสีขาวเปล่าที่มีโครงสีทองกลับมาด้วยหลายกล่อง ก็เลยขอไว้สองกล่อง กล่องหนึ่งเก็บเอาไว้ใช้เอง อีกกล่องหนึ่งให้บ่าวนำมาส่งที่นี่ ให้ท่านระบายด้านหน้าของพัดเล่นยามที่ไม่มีอะไรทำเจ้าค่ะ รออีกไม่กี่วันก็จะเข้าฤดูร้อนแล้ว จะได้ทันใช้พอดีเจ้าค่ะ” 

 

 

ผู้ที่นางเอ่ยถึงว่า ‘คุณชายใหญ่เจิ้ง’ ก็คือเฉิงเจิ้ง พี่ชายร่วมมารดาของเฉิงเจีย ผู้สืบทอดตระกูลของจวนสาม 

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้ารับ ให้ซือเซียงรับพัดมา พลางกล่าว “เจ้าไปบอกคุณหนูของพวกเจ้า อีกสองสามวันข้าถึงจะหายดี รอให้ข้าหายดีแล้ว จะไปเที่ยวหานางด้วยตัวเอง” 

 

 

ชุ่ยหวนยิ้มพลางย่อเข่าลงคำนับ ได้ซูเซียงนำออกไปส่ง 

 

 

โจวเสาจิ่นหมุนกลับไปยังห้องหนังสือ 

 

 

เฉิงอี้ที่อยู่ข้างในห้องจับหูข่วนแก้มอย่างยินดี กล่าวขึ้น “น้องสาวที่แสนดี เจ้าแบ่งพัดพวกนั้นมาให้ข้าสักสองสามเล่มเถอะนะ! เช้าวันนี้พอข้าไปที่ห้องเรียนก็ได้ยินเขาพูดกันแล้ว ท่านพี่เจิ้งได้ผูกมิตรกับสหายสูงศักดิ์ผู้หนึ่งอยู่ที่เขาอู่ไถ คนผู้นั้นมอบพัดหน้าสีขาวของ ‘เย่ว์เฉ่าถัง’ ให้เขาหลายกล่อง ลื่นราวกับน้ำแข็งในฤดูร้อน บางเบาราวกับรังไหม รอเข้าฤดูร้อนแล้ว ข้าก็จะได้นำไปฝากคนได้” 

 

 

โจวเสาจิ่นหมุนตัวไปหยิบพัดเข้ามา ยัดทั้งหมดไปไว้ในอกของเขา กล่าวว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนยกให้ท่าน พอใจแล้วนะ?” 

 

 

“เจ้าจะไม่เก็บไว้สักสองสามเล่มหรือ” เฉิงอี้ตะลึงงัน 

 

 

“ไม่ให้ท่าน ท่านก็หาว่าข้าใจแคบ ให้ท่าน ท่านก็บ่นว่ามากไป” โจวเสาจิ่นพูดพลางเดินไปจะหยิบพัดพวกนั้น “ตกลงท่านจะเอาหรือไม่เอากันแน่” 

 

 

“เอาๆๆ” เฉิงอี้หมุนตัวกลับไป กอดพัดเอาไว้แน่น “น้องสาวที่แสนดี ข้ากับเจ้าพูดคุยกันจบแล้ว พี่ชายถือโอกาสนี้ขอบใจเจ้า ต่อไปหากเจ้ามีเรื่องอะไรเพียงบอกพี่ชาย พี่ชายจะยอมบุกน้ำลุยไฟ ต่อให้ต้องตายหมื่นครั้งก็ไม่ถอย!” 

 

 

คนไม่มีสมองผู้นี้ เพียงอ้าปากก็กล่าวไร้สาระ 

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างมีโทสะว่า “ ‘ตายหมื่นครั้งก็ไม่ถอย’ นั้นไม่กล้ารบกวน เพียงต้องการให้ท่านอย่าประจบสอพลอเฉิงลู่ผู้นั้น เป็นธุระแทนให้เฉิงลู่ผู้นั้นอีกก็พอแล้ว” 

 

 

เฉิงอี้หัวเราะอย่างเขินอาย หาทางลงให้ตัวเองด้วยการกล่าวว่า “ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ปากของน้องสาวแปรเปลี่ยนเป็นพูดได้คล่องเยี่ยงนี้? ข้าเถียงไม่ชนะเจ้าแล้ว ยอมแพ้แล้วได้หรือไม่” กล่าวไปด้วย กอดพัดไปด้วยเตรียมจากไป 

 

 

โจวเสาจิ่นมึนงงแน่นิ่ง 

 

 

จริงด้วย ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ปากของนางแปรเปลี่ยนเป็นพูดได้คล่องเยี่ยงนี้! 

 

 

ถ้อยคำที่นางพูดหลังจากที่ตื่นขึ้นในหลายวันมานี้รวมกันยังไม่มากเท่ากับที่นางพูดกับเฉิงอี้ในวันนี้ 

 

 

โจวเสาจิ่นเดินไปส่งเฉิงลู่ 

 

 

เพิ่งจะออกมาจากประตูห้องหนังสือ ก็เห็นซือเซียงพร้อมด้วยหญิงชราผู้มีผมสีดอกเลา ทว่าร่างกายยังแข็งแรงผู้หนึ่ง กำลังเดินมาทางนี้อยู่ไกลๆ 

 

 

โจวเสาจิ่นและเฉิงอี้ชะงักด้วยความตกใจ 

 

 

หญิงชราผู้นั้นดูเหมือนกับว่าจะเป็นหวังมามา…รอให้พวกเขาเดินเข้ามาใกล้อีกสองสามก้าวแล้วมองดูอีกที เสื้อคลุมผ้าไหมหังโจวลายสมบัติทั้งแปดสีมะกอกอ่อน เข็มกลัดผมทองที่ขึ้นมันเงาเล็กน้อย สร้อยประคำข้อมือไม้จันทน์แดง รอยเ**่ยวย่นเต็มใบหน้า หากไม่ใช่หวังมามาแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้ 

 

 

เฉิงอี้วิ่งหนีในทันที “ที่นี่มอบให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน!” 

 

 

เขาผลุบหายเข้าไปที่ด้านข้างของป่าไผ่ รวดเร็วราวริ้วควัน มองไม่เห็นเงาแล้ว 

 

 

โจวเสาจิ่นจะทันจัดการกับเขาได้อย่างไรกัน 

 

 

รีบเดินไปข้างหน้า ย่อเขาลงคำนับหวังมามา 

 

 

หวังมามายื่นมือมาประคองโจวเสาจิ่นให้หยุด ทว่าสายตากลับหันไปชำเลืองมองตามเสียงที่ดังกรอบแกรบมาจากป่าไผ่ พลางกล่าว “คุณหนูรอง ท่านทำให้ยายแก่ผู้นี้ท่วมท้นไปด้วยความซาบซึ้งแล้ว!” 

 

 

“มามาเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ!” กลางหลังของโจวเสาจิ่นชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น คำนับไปได้ครึ่งหนึ่งก็ย่อลงไม่ได้อีก ถูกหวังมามาจับให้หยุด 

 

 

นางจำต้องยืนขึ้นมา 

 

 

หวังมามายิ้มตาหยีมองนาง ริ้วรอยบนใบหน้ายิ่งลึกขึ้น “คุณหนูรอง ฮูหยินผู้เฒ่าให้ข้านำความมาแจ้งท่าน ให้ท่านไปพบสักหน่อย” 

 

 

โจวเสาจิ่นยากจะปกปิดความประหลาดใจ 

 

 

หวังมามาเป็นแม่นมของท่านยาย ในปีนั้นได้ติดตามท่านยายมาจากเมืองจิงโจวยามที่แต่งเข้ามาที่จินหลิง ภายหลังจากที่นายท่านผู้เฒ่าจากไปด้วยความเจ็บป่วย นางช่วยดูแลงานต่างๆ ภายในจวนเคียงข้างท่านยาย ดูแลเอาใจใส่เด็กๆ จัดการเรื่องทั่วไปภายในจวน เป็นผู้ที่มีคุณูปการต่อตระกูลเฉิงจวนสี่ ไม่ต้องพูดฮูหยินผู้เฒ่ากวนและท่านลุงทั้งสอง แม้กระทั่งนายท่านใหญ่แห่งจวนหลักยามพบนาง ก็ยังยืนขึ้นแสดงความเคารพเรียกนางเสียงหนึ่งว่า ‘หวังมามา’ 

 

 

นางเลยวัยเจ็ดสิบปีมาแล้ว โดยปกติควรจะออกไปพักผ่อนตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อนานมาแล้วในอดีต บุตรชายคนเดียวของนางได้เสียชีวิตจากไปตั้งแต่ยังเด็ก จวนจึงไม่อาจปล่อยให้นางจากไปได้ นางจึงรับใช้ท่านยายอยู่ในจวนมาโดยตลอด สองสามีภรรยาอยู่ร่วมกันน้อยจากกันเสียมาก ไม่มีอะไรให้ต้องปรารถนาอีก สามีก็เสียชีวิตไปแล้ว ออกจากจวนไปก็ไม่มีใครดูแลเอาใจใส่ ท่านยายให้นางรับบุตรบุญธรรม นางก็บอกว่าเกรงจะยุ่งยาก ไม่ยินยอม ท่านยายจึงแบ่งพื้นที่สวนฝั่งตะวันตกสร้างเรือนขนาดประมาณสองถึงสามหมู่ [4] ให้นาง ให้บ่าวเด็กหนึ่งคนและป้าอีกหนึ่งคนคอยรับใช้ดูแลนาง ทั้งยังสั่งเอาไว้ว่า ในวันข้างหน้าหากถึงเวลาที่นางต้องขี่กระเรียนกลับสู่แดนสุขาวดี ให้เฉิงอี้สวมผ้าฝ้ายขาวนำนางไปส่งยังปลายทาง 

 

 

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ยามพบเจอนางเฉิงอี้ก็จะวิ่งหนี 

 

 

หวังมามามักจะอยู่แต่ในเรือนไม่ออกมา เหตุใดวันนี้ถึงได้มาส่งข่าวให้ท่านยาย? 

 

 

โจวเสาจิ่นกดความรู้สึกสงสัยนั้นเอาไว้ ยิ้มพลางเชิญหวังมามาให้นั่งลงภายในห้องโถง ให้ซือเซียงและชุนหว่านช่วยแต่งตัว เลือกเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีแดงกุหลาบที่คนมีอายุค่อนข้างโปรดปรานมาตัวหนึ่ง กระโปรงบานไม่มีลวดลายสีถั่วเขียว ที่คาดผมไข่มุกขนาดเมล็ดถั่วเขียว และต่างหูทองขนาดเท่าเมล็ดข้าว 

 

 

เพียงก้าวออกมาจากด้านในของห้องก็ได้รับคำชมจากหวังมามา “คุณหนูรองช่างสง่าและงดงามยิ่งนัก ในภายภาคหน้าไม่รู้ว่าตระกูลใดจะมีวาสนารับแต่งเข้าไป” 

 

 

โจวเสาจิ่นประหลาดใจยิ่ง 

 

 

หวังมามาถึงแม้ว่าอายุจะมากแล้ว ทว่าตลอดชีวิตก็เป็นคนที่รอบคอบและระมัดระวัง ที่ผ่านมาไม่เคยกล่าวคำพูดที่ไม่เหมาะสม อยู่ๆ เวลานี้กลับกล่าวถ้อยคำเยี่ยงนี้ออกมา…หรือว่ามีใครเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานของนางขึ้นมากัน? 

 

 

นางคิดถึงต่งซื่อ มารดาของเฉิงลู่ ยามที่จับมือของนางเอาไว้แล้วกล่าวถึงนางอะไรทำนองว่า ‘คู่ควรกับเหย้ากับเรือน [5] ’ 

 

 

หรือว่าต่งซื่อมาเยี่ยมท่านยาย? 

 

 

ภายในใจของโจวเสาจิ่นฉับพลันราวกับถูกกดทับด้วยหินก้อนใหญ่ บีบคั้นให้รู้สึกหายใจไม่ค่อยออก ทว่ายังต้องก้มหน้าก้มตาลงต่ำ แสดงท่าทีเขินอายออกมาพลางกล่าวเสียงเบาว่า “มามากล่าวล้อเล่นแล้ว” 

 

 

หวังมามาหัวเราะร่าไปหลายที ไม่ได้กล่าวอะไรอีก 

 

 

คนกลุ่มหนึ่งออกมาจากเรือนสวนดอกไม้หอมอย่างเงียบเชียบนอบน้อม มุ่งหน้าไปทางเรือนไม้งามที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนอาศัยอยู่ 

 

 

ระหว่างทาง ผู้ที่พบพวกนางล้วนถอยออกไปคำนับทำความเคารพ มือที่บิดผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ของโจวเสาจิ่นยังคงบิดไว้ไม่คลายออก 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] เสื้อกั๊กปี๋เจี่ย (比甲) เป็นเสื้อแขนกุดมีชายเสื้อยาวเลยเข่า สวมใส่เป็นเสื้อนทับข้างนอกเ 

 

 

[2] ดอกติงเซียง (丁香) เป็นดอกที่มีขนาดเล็ก หนึ่งดอกมีสี่กลีบ สีม่วงอ่อน อยู่รวมกันเป็นพวงหรือช่อ 

 

 

[3] ดอกอวี้จาน (玉簪花) ดอกไม้ชนิดหนึ่งมีสีขาว ลักษณะดอกคล้ายดอกลิลลี่ 

 

 

[4] หมู่ (亩) หน่วยวัดพื้นที่ในสมัยโบราณ หนึ่งหมู่เทียบเท่ากับ 667.73 ตารางเมตรโดยประมาณ 

 

 

[5] คู่ควรกับเหย้ากับเรือน (宜家宜室) หมายถึงสามีภรรยาที่แต่งงานกันแล้วครอบครัวสมัครสมานรักใคร่สามัคคี