ตอนที่ 5 ไปกับข้าเถอะ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 5 ไปกับข้าเถอะ

วันรุ่งขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนยังคงตื่นเช้าดังเดิม

เขาออกกำลังอยู่ชั่วครู่ และออกท่าหมัดมวยภายในจวนอยู่ 2 รอบ หลังจากนั้นก็ออกไปนอกจวน และเริ่มออกตัววิ่งรอบนอกบริเวณจวนที่มีพื้นที่กว้างขวาง

มีองครักษ์พบเห็นเขา และรู้สถานะของชายหนุ่ม จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

ด้วยเหตุนี้สายตาที่มองมาทางฟู่เสี่ยวกวนจึงค่อนข้างมาก แต่เขากลับไม่รู้สึกตัว วิ่งไปตามทางของตัวเอง ปล่อยให้ผู้อื่นมองไป

ดังนั้นเขาจึงวิ่งไปถึงด้านหลังจวน จึงได้เห็นสนามฝึกซ้อมวิทยายุทธ์

สนามฝึกเปิดโล่ง มีดาบ หอก กระบี่และง้าววางเรียงรายอยู่ทั้งสองด้าน แต่สายตาของฟู่เสี่ยวกวนกลับตกอยู่ที่ร่างของบุรุษที่ยืนอยู่ใจกลางสนาม เขาจึงหยุดเท้าอยู่ที่ตรงนั้น

บุรุษผู้นั้นดูอายุยี่สิบกว่า ๆ สวมใส่ชุดดำทั้งร่าง อีกทั้งในมือยังถือดาบยาวอยู่อีก 1 ด้าม

เขาก้าวถอยหลังยกแขนและไหล่ขึ้นเพื่อออกดาบ ทันใดนั้นบุรุษผู้นั้นก็เคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับกระต่าย ราวกับว่าดาบในมือนั้นมีชีวิต แสงสีเงินส่องประกายวาบ และท้องฟ้าก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ

ฟู่เสี่ยวกวนมองอย่างตั้งใจ ดูเหมือนว่าบุรุษผู้นั้นจะรับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมาที่ตน ปลายเท้าของเขาสะกิดกับพื้นเล็กน้อย ก่อนที่ร่างจะทะยานขึ้นมาและพลิกตัวกลางอากาศ ดาบนั่นเคลื่อนไหวไปพร้อมกับร่างกายของเขา ก่อนจะฟาดดาบลงมา

ในระยะ100 เมตร บุรุษผู้นั้นมาถึงตัวของฟู่เสี่ยวกวน ดาบเองก็มาถึงเช่นกัน

เมื่อดาบมาถึงเหนือศีรษะ ลมดาบพัดผมของฟู่เสี่ยวกวนกระจาย

หัวใจของฟู่เสี่ยวกวนร่วงหล่นทันพลัน แต่เขาไม่ได้ขยับไปไหน

บุรุษผู้นั้นร่อนลงบนพื้น หนึ่งมือไพล่ไปทางด้านหลัง หนึ่งมือกำดาบ ดาบเล่มนั้นอยู่ห่างจากศีรษะของฟู่เสี่ยวกวนเพียงหนึ่งฉื่อ

“เหตุใดจึงไม่หลบ ? ”

“ไร้จิตสังหาร มิจำเป็นต้องหลบ”

บุรุษผู้นั้นคล้ายกับคิดไม่ถึงว่าจะตอบแบบนี้ หัวคิ้วของเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเก็บดาบ มือขวาที่ไพล่อยู่ด้านหลังขยับมาด้านหน้า ในมือนั้นถือกาเหล้า

บุรุษผู้นั้นเงยหน้ากระดกสุรา และโบกมือ “ใจกล้าไม่เลว แต่ความรู้ยังไม่มากพอ มือสังหารระดับสูงไร้จิตสังหาร เจ้าไปเสียเถอะ”

ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้จากไป และเอ่ยขึ้นมาว่า “ไป๋ยู่เหลียนรึ ? ”

ชายคนนั้นเอียงหน้า เหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน ก่อนจะพยักหน้า

“ขอข้าลิ้มรสสุรา”

ไป๋ยู่เหลียนส่งกาสุราไปให้ ฟู่เสี่ยวกวนรับมาและยกดื่มไปหนึ่งคำ คิ้วขมวดนิ่ว แล้วเอ่ยถาม “รสชาติอ่อนขนาดนี้เลยรึ”

ไป๋ยู่เหลียนตะลึงไปอึดใจ “สุราใต้หล้าต่างก็มีรสชาติเช่นนี้ทั้งสิ้น แน่นอนว่าสุราของหงซิ่งจาวอาจจะเข้มข้นกว่าเล็กน้อย นอกจากนั้นก็มีสุราของตระกูลเจ้าที่ไม่เลวทีเดียว”

ฟู่เสี่ยวกวนคืนกาเหล้าให้ไป๋ยู่เหลียน จากที่สังเกตแล้ว โลกนี้ยังไม่มีสุราที่ดีกรีสูง

“ต่อจากนี้ไป เจ้าจงติดตามข้า”

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวจบก็หันหลังกลับ และออกตัววิ่งเบา ๆ

ไป๋ยู่เหลียนหัวเราะ “ข้ามิใช่บ่าวรับใช้ของจวนฟู่”

ฟู่เสี่ยวกวนไม่หยุดฝีเท้า เขากล่าวว่า “สุรานี้ไร้รสชาติ มากับข้า ข้ามีสุราที่เข้มข้น”

“จริงรึ”

“จริง”

นี่คือการพบหน้ากันครั้งแรกระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียน เรียบง่ายและตรงไปตรงมา

ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชอบวิทยายุทธ์ของไป๋ยู่เหลียน ไป๋ยู่เหลียนก็เชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนมีสุราที่เข้มข้น

……

…..

วันนี้ฟู่ต้ากวนไม่ได้พาฟู่เสี่ยวกวนออกไปข้างนอก แต่พาไปยังโรงกลั่นที่อยู่ทางตอนใต้ของเรือนซีซาน

โรงกลั่นไม่ได้ใหญ่โต แต่โถงตากแห้งไม่ได้เล็กเลย

นี่คือมาตรฐานของโรงกลั่นในยุคนี้ มีเตาอิฐตั้งริมกำแพง 5 เตา มีหม้อไม้ใหญ่วางอยู่บนเตาอิฐ อีกด้านหนึ่งมีโถดินเผาวางเอาไว้ ภายในโถดินเผาเต็มไปด้วยธัญพืชกึ่งสุก

ถึงแม้จะเช้าตรู่ แต่โรงกลั่นเหล้าก็ได้เปิดทำงานแล้ว ไฟในเตาลุกช่วง เหนือหม้อไม้มีควันสีขาวพวยพุ่ง คนงานเล็ก ๆ หลายสิบคนกำลังยุ่งอยู่ ณ ที่นี้ และนายช่างทั้งห้ากำลังปรับส่าเหล้าของตนเอง

ฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลา 1 ชั่วยามในการดูกระบวนการ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

“ใครเป็นคนรับผิดชอบโรงกลั่นเหล้า ? ”

“อาจารย์หลิวขอรับ” พ่อบ้านจางเช่อตอบกลับ

“กลับไปในจวน แล้วตามอาจารย์หลิวมาพบข้า”

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวตามอำเภอใจ แต่ในสายตาของฟู่ต้ากวนแล้ว คำพูดของบุตรชายทำให้เขาพึงพอใจอย่างมาก

สงบเยือกเย็น แต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของผู้ที่อยู่เหนือกว่า

แต่สิ่งที่จางเช่อได้ยินนั้น กลับเป็นคำสั่งที่โต้แย้งหรือปฏิเสธมิได้

จางเช่อคือพ่อบ้านเก่าแก่ของเรือนซีซาน ทุกปีจะไปจวนหลักที่หลินเจียงสองถึงสามครั้ง แน่นอนว่าเขาคุ้นชินกับฟู่เสี่ยวกวน แต่ในเวลานี้เขากลับรู้สึกไม่คุ้นเคยขึ้นมาเสียอย่างนั้น

มองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนที่จากไป ทันใดนั้นเขาถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองยังไม่ได้ถามถึงความตั้งใจของเจ้าบ้าน

จากการที่ได้เห็นในครานี้ เสียงลือที่ว่าหลังจากที่คุณชายถูกทำร้ายแล้วจะกลายเป็นคนโง่… เห็นทีจะเป็นเรื่องเท็จอย่างแน่นอน

คุณชายต้องการพบอาจารย์หลิว เขาต้องการจะทำอันใดกัน

เป็นไปได้ไหมที่เขาจะบ่มสุราได้

จางเช่อยิ้มเงียบ ๆ ก่อนจะส่ายศีรษะ

บิดาและบุตรชายนั่งลงในศาลาด้านในจวน เมื่อชุนซิ่วส่งน้ำชาให้แล้ว ก็ยืนอยู่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวนอย่างเงียบ ๆ

ฟู่ต้ากวนยกถ้วยชาขึ้นมาเป่าและกล่าวขำ ๆ “เรื่องการบ่มสุรา ส่งให้ลูกน้องทำก็พอแล้ว นั่นมิใช่กิจการหลักของตระกูลเรา ส่งมอบให้พวกเขาทำเสีย เจ้าเรียนรู้ไปก็มิมีประโยชน์”

“มิใช่ วิธีการบ่มสุรานั้นสามารถปรับปรุงได้ หาได้ยุ่งยากไม่” ฟู่เสี่ยวกวนหันไปกล่าวกับชุนซิ่ว “ช่วยไปนำกระดาษและพู่กันมาให้ข้าหน่อย”

เขากล่าวต่อไปว่า “ด้วยวิธีการในตอนนี้จะทำให้ดีกรีของสุราออกมาต่ำ ไม่อร่อย”

“ดีกรี… คือสิ่งใด ? ”

“อ้อ ก็คือรสชาติอ่อนและจางของเหล้า ข้าอยากลองว่าจะทำให้เข้มข้นและหอมได้ยิ่งกว่านี้หรือไม่”

“เจ้าเรียนสิ่งนี้มาจากที่ไหน ? ” ฟู่ต้ากวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

“ไม่ได้ศึกษา เพียงมองโรงกลั่นเหล้า ทันใดนั้นในหัวก็นึกบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ เพียงแค่อยากลองดูเท่านั้น”

ชุนซิ่วฝนหมึก ฟู่เสี่ยวกวนจับพู่กัน ตอนนี้เองเขาถึงได้พบว่าพู่กันนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยเลย

ดังนั้นเขาจึงวางพู่กันลง เดินออกจากศาลามาหักกิ่งไม้ และย่อตัวลงนั่งที่พื้นและเริ่มวาดรูป

จางเช่อพาอาจารย์หลิวเดินเข้ามา ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้เงยหน้า และเอ่ยว่า “มา มาดูด้วยกัน”

ดังนั้นวันนี้จึงมีฉากเยี่ยงนี้เกิดขึ้นมา อาจารย์หลิวย่อตัวลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน จางเช่อย่อตัวลงข้าง ๆ อาจารย์หลิว ฟู่ต้ากวนก็เริ่มนั่งไม่ติด เขาจึงเดินเข้ามา ย่อตัวลงนั่งที่ด้านขวาของฟู่เสี่ยวกวน ชุนซิ่วรู้สึกประหลาดใจนัก แต่ก็อายเกินกว่าจะย่อตัวลงตาม จึงยืนอยู่ทางด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวน และยืดคอยาวมองไปที่พื้น

ราวกับกลุ่มเด็กที่กำลังมองมดบนดินย้ายบ้าน

ฟู่เสี่ยวกวนใช้กิ่งไม้วาดภาพไปบนพื้นพร้อมอธิบายไปด้วย

“ข้าคิดเยี่ยงนี้ ของสิ่งนี้เรียกว่าหม้อสวรรค์ แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างของหม้อนั้นใส่หัวสุรา… หรือก็คือสุราที่ทำการบ่มออกมาได้ในตอนนี้ ส่วนด้านบนนั้นใส่น้ำเย็น และส่วนด้านบนสุดนั้นเป็นท่อ”

“รูปร่างประมาณนี้ ไฟในเตาควรลุกโชน เพิ่มความร้อนให้หัวสุรา เมื่อหัวสุราเดือด จะกลั่นก๊าซที่มีแอลกอฮอล์และถูกควบแน่นด้วยน้ำเย็น และไหลไปตามท่อนี้ นี่คือวิธีการกลั่นสุราที่ง่ายที่สุด”

“ดีกรี… หมายถึงระดับความเข้มข้นของเหล้าจะยิ่งสูงกว่าตอนนี้ มันยังมีวิธีที่ดียิ่งกว่านี้อยู่อีกมากมาย แต่นี่คือวิธีการที่ง่ายที่สุด พวกเจ้าลองทำดูก่อน”

ฟู่เสี่ยวกวนโยนกิ่งไม้ในมือทิ้ง เขาใคร่ครวญก่อนจะเสริมประโยค “น้ำเย็นภายในหม้อสวรรค์นี้ห้ามหยุดเปลี่ยนเป็นอันขาด ทางที่ดีที่สุดคือหาวิธีทำท่อน้ำเข้าและท่อถ่ายน้ำออก แบบนี้จะช่วยประหยัดแรง”

“อาจารย์หลิว ท่านมีความคิดเยี่ยงไรบ้าง”

อาจารย์หลิวนวดขมับ “ท่อนี้ ทำได้เยี่ยงไร”

“ใช้ไม้ไผ่ ทุบให้เปิดออก นำปล้องไม้ไผ่ออกมาและประกบปิดอีกครั้ง”

อาจารย์หลิวพยักหน้า “วิธีการของคุณชายดูง่ายดาย แต่กลับทะยานข้ามฟ้า[1]… ข้าจะลองดู”

“เป็นไปได้หรือ” จางเช่อเอ่ยถาม

“สมเหตุสมผล เป็นไปได้แน่” อาจารย์หลิวตอบกลับ

“ง่ายดายเพียงนี้เลยรึ ? ” ฟู่ต้ากวนเอ่ยถาม

“นี่ไม่ได้ง่ายดายเลยนายท่าน วิธีการบ่มสุรานั้นสืบทอดมานานนับพันปีจนถึงวันนี้ หากง่ายดายเพียงนั้นจริง เหตุใดพันปีที่ผ่านมาจึงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงกัน ? แต่อย่างไร ข้าน้อยจะขอลองดูก่อน เมื่อทดลองแล้วจะแจ้งให้ทราบในภายหลัง”

“รอประเดี๋ยว”ฟู่เสี่ยวกวนเรียกอาจารย์หลิวที่กำลังจะหันหลังเดินจากไป “ไม่สามารถเผยแพร่วิธีนี้ออกไป โปรดจำไว้”

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”

จางเช่อประหลาดใจอย่างยิ่ง แล้วก็เดินไปยังโรงกลั่นเหล้ากับอาจารย์หลิว

ความจริงเรื่องนี้หากมีนายช่างสุราแห่งใดสนใจขึ้นมา เยี่ยงไรก็ต้องแพร่กระจายออกไปในไม่ช้า แต่ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้กังวลใจ เพราะวิธีการนี้ง่ายดายเกินไป หากสัดส่วนเหล้าไม่สูง สุราเองก็ไม่เข้มข้นพอ

เขาจำวิธีบ่มสุราของบ้านเกิดในโลกก่อนได้แล้ว อื้อ ต้องทำห้องเก็บสุราขนาดใหญ่ด้วย ตลอดการเดินทางนี้ยังมิเห็นข้าวโพดข้าวฟ่างซึ่งเป็นสิ่งที่ควรมี เมื่อทำอู่เหลียงเย่ไม่ได้ เยี่ยงนั้นก็ทำซื่อเหลียงเย่แทน

วางเรื่องนี้ลงแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้หันมากล่าวกับฟู่ต้ากวน “ท่านพ่อ ข้าได้พบไป๋ยู่เหลียนแล้ว ข้าต้องการคนผู้นั้น”

“ลูกชาย เขามิใช่บ่าวในเรือนของตระกูลเรา ตัวพ่อเคยเทียบเชิญเขาไปที่หลินเจียง แต่เขามิไป หากเขาอยู่ที่หลินเจียง เจ้าจะทนลำบากเช่นนั้นได้รึ”

“เขารับปากข้าแล้ว”

ฟู่ต้ากวนถือถ้วยชา แล้วมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวยิ้ม ๆ “เขาชื่นชอบสุรา ข้าบอกเขาว่าข้าสามารถผลิตสุราที่แรงยิ่งกว่าได้ เขาจึงรับปากมากับข้า”

“หากเป็นเช่นนั้น รูปวาดเล่นบนพื้นของเจ้า… จะเป็นจริงได้หรือ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “อาจจะลวก ๆ ไปบ้าง แต่ทำออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง”

“เยี่ยงนั้นพ่อต้องทำสนธิสัญญา หากสุรานี้มีความเข้มข้นเทียบเท่าสุราเทียนเซียงได้จริง มูลค่าของมันจะสูงมาก เหล่านายช่างจะต้องลงนามในสนธิสัญญาฉบับหนึ่ง จึงจะเก็บเป็นความลับได้”

ฟู่ต้ากวนกล่าวจบก็เดินออกไปด้วยอารามรีบร้อน ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้สนใจนัก

ที่ทำสิ่งนี้นอกจากเพื่อไป๋ยู่เหลียนแล้ว ก็เป็นการทำเพื่อหยู๋ฝูจี้เช่นกัน

ไป๋ยู่เหลียนค่อนข้างยึดมั่นในคุณธรรม เมื่อจับกุมความชอบของเขาไว้ได้ จากนี้ไปก็ค่อยตะล่อมเขาทีหลัง เขาต้องเรียนรู้ทักษะนั้นให้ได้ แน่นอนว่าทักษะดาบของไป๋ยู่เหลียนนั้นก็ดึงดูดสายตาของเขาเช่นกัน

ในเมื่อมีวิชาตัวเบา เยี่ยงนั้นย่อมมีกำลังภายในเป็นแน่

เพียงแค่ไม่รู้ว่ากำลังภายในนั้นจะร้ายกาจขนาดไหน จะสามารถต้านทานปืนได้หรือไม่

เมื่อนึกถึงปืน เขาก็นึกไปถึงกล่องดำนั้น

น่าเสียดายไม่น้อย ตัวเขาทะลุมาเพียงจิตวิญญาณ คาดว่ากล่องดำนั่นน่าจะไม่ได้ข้ามมาด้วยกัน

เมื่อถึงช่วงเวลากลางวัน ดวงอาทิตย์ร้อนแรงยิ่งขึ้น เสียงจักจั่นที่น่ารำคาญกรีดร้องอยู่ในป่า แต่จิตใจของฟู่เสี่ยวกวนหาได้ถูกรบกวนไม่ เขานั่งอยู่ในศาลาและกำลังอ่านหนังสือเล่มเล็ก

นั่นไม่ใช่เพียงหนึ่งเล่ม แต่เป็นหนึ่งกล่อง

บิดากล่าวไว้ว่า ตระกูลได้ครอบครองทุ่งนาที่อุดมสมบูรณ์ แต่ดูเหมือนจะยังมีมากกว่านั้น บิดายังกล่าวอีกว่า โฉนดที่ดินทั้งหมดถูกแยกเก็บไว้สองที่

อยู่ที่จวนหลินเจียงหนึ่งแห่ง และอยู่ที่เรือนซีซานอีกหนึ่งแห่ง

กิจการของตระกูล… ช่างใหญ่โตเสียจริง!

เมื่อมองจากตอนนี้ การป้องกันที่อยู่ในการดูแลของไป๋ยู่เหลียนนั้นไม่เลวเลยทีเดียว แต่ว่าจวนฟู่ที่หลินเจียงกลับด้อยกว่า

ก่อนที่โลกจะวุ่นวาย ทุกอย่างจะดูเหมือนตะกร้าใบใหญ่ที่ไม่มีอะไร แต่ถ้าหากโลกมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเล่า? ถึงแม้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่การกันไว้ดีกว่าแก้ก็เป็นเนื้อแท้ของฟู่เสี่ยวกวน

เขาต้องการไป๋ยู่เหลียน ไม่เพียงเพื่อฝึกวรยุทธ์เท่านั้น แต่ยังต้องการไป๋ยู่เหลียนเพื่อสร้างกองกำลังติดอาวุธของจวนฟู่

หลังจากนี้เขาจะต้องทำความเข้าใจเรื่องไฟและยาว่าจะพัฒนาต่อไปเยี่ยงไร หากทำปืนคาบศิลาออกมาได้ แม้ว่าคุณภาพของมันจะแย่ แต่ก็เป็นอาวุธสังหารที่ยิ่งใหญ่

ฟู่เสี่ยวกวนวางหนังสือลง และนวดที่ขมับ

เหนื่อยยิ่งนัก!

[1] ทะยานข้ามฟ้า หมายถึง ความคิดที่ไร้ขอบเขต