บทที่ 5 นายท่านสี่

คู่ชะตาบันดาลรัก

บทที่ 5 นายท่านสี่ Ink Stone_Romance

ชายผู้นี้มีอายุประมาณสามสิบหกสามสิบเจ็ดปี แม้จะเข้าวัยกลางคนแล้วแต่ก็ยังดูหนุ่มแน่น ใบหน้าขาวสะอาด หนวดเหนือริมฝีปากตัดจัดทรงเป็นอย่างดี ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นจนสามารถจินตนาการได้ถึงความหล่อเหลาในวัยเยาว์ของเขาได้เลย

อย่างไรก็ตามใบหน้าของเขาในตอนนี้บ่งบอกว่ากำลังไม่พอใจ สาวเท้าเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็วดั่งพายุ แล้วยังนำเด็กรับใช้กลุ่มหนึ่งเข้ามาในสวนอวี๋ฟาง เดินตรงไปที่แท่นสักการะ

“นายท่านสี่!” แม่นมถงตกใจ ชำเลืองมองฮูหยินสามด้วยความตื่นตระหนก

จบแล้ว นายท่านสี่รู้เรื่องนี้แล้ว!

ในบรรดานายท่านในตระกูลหมิง นายท่านสี่เป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรงที่สุด อีกทั้งไม่สามารถทนต่อสิ่งที่ไม่มีเหตุผลและไม่ยุติธรรมได้ ซึ่งถ้าเรื่องมาถึงหูเขาเมื่อใด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่กล้าที่จะยื่นหน้าไปอธิบาย

นายท่านสี่ผู้นี้ไม่สนใจสิ่งใด เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ สายตาเหลือบมอง จากนั้นก็ชี้ไปที่โต๊ะกระถางธูปที่เพิ่งช่วยกันจัดเสร็จแล้วตะโกนสั่ง “ทุบมัน!”

เด็กรับใช้ตอบรับคำสั่งแล้วก้าวไปข้างหน้าผลักหญิงรับใช้ออกไปและเริ่มทุบโต๊ะกระถางธูปอย่างไม่ใยดี เสียงอุทานและเสียงทุบดังขึ้นผสมกันไป

แม่นมถงกระวนกระวาย “นายท่านสี่ เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ! เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าอนุญาตแล้วนะเจ้าคะ!”

นายท่านสี่หันกลับมากวาดสายตาอันแหลมคมกวาดไปทั่วใบหน้าของฮูหยินสาม มองไปยังแม่นมถงแล้วยิ้มเย้ยหยัน “นี่คิดจะใช้ฮูหยินผู้เฒ่ากดดันข้ารึ”

แม่นมถงไม่กล้าสบตาเขา นางรีบก้มศีรษะหมอบตัวลง “ข้าน้อยมิกล้าเจ้าค่ะ! เพียงแต่เรื่องนี้มีเรื่องราวภายในได้โปรดนายท่านสี่…”

“จะมีเรื่องราวภายในอันใดกัน!” นายท่านสี่ไม่ต้องการฟังจึงพูดตัดคำพูดของนาง “เจ้าเป็นสาวใช้ของตระกูลหมิง ไม่รู้กฎภายในตระกูลหมิงหรืออย่างไร ถึงได้กล้าพูดจาเป่าหูเจ้านายให้ทำเรื่องคาถาหมอผีเช่นนี้ คนที่สมควรโดนโบยเป็นคนแรกก็คือเจ้า!”

พูดจบเขาก็โบกมือ “จับหญิงแก่ผู้นี้ไปโบยซะ!” เด็กรับใช้ตอบรับแล้วเดินมาดึงแม่นมถงขึ้น

พอเห็นแบบนั้นฮูหยินสามก็ทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ นางพูดเสียงดัง “ช้าก่อน! ” นางเดินออกจากศาลามาหยุดห่างจากนายท่านสี่ประมาณสิบก้าว “น้องสี่ ท่านเป็นน้องสามี ข้าเป็นพี่สะใภ้ ไม่ว่าข้าจะทำผิดแค่ไหนก็ไม่มีเหตุผลที่ท่านจะมาทุบตีแม่นมคนสนิทของข้า! ”

สายตาที่เฉียบคมของนายท่านสี่แห่งตระกูลหมิงหยุดลงบนใบหน้าของนาง เขาพูดอย่างเย็นชา “พี่สะใภ้สามรู้ตัวด้วยหรือว่าตัวท่านทำผิด”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮูหยินสามก็ขมวดคิ้วแน่น “น้องสี่ ท่านไม่จำเป็นต้องพูดจาข่มเช่นนี้หรอก หากท่านไม่พอใจพวกเราก็มาคุยด้วยเหตุผลกันได้ พาคนบุกเข้ามาทั้งตีทั้งทุบในสวนของแม่หม้ายเช่นนี้ ฟังดูดีแล้วหรือ”

“เหตุผลงั้นหรือ!” นายท่านสี่พยักหน้า “ดี งั้นพวกเรามาคุยกันด้วยเหตุผล พี่สะใภ้สาม ท่านเป็นหญิงที่เก่ง มีความสามารถ ท่านจำกฎของตระกูลหมิงได้หรือไม่”

“แน่นอนว่าจำได้ แต่…”

นายท่านสี่ไม่ให้โอกาสนางพูด “ท่านบอกว่าจำได้ แล้วทำไมถึงได้ละเมิดกฎอย่างเปิดเผยเช่นนี้เล่า ไม่เพียงแต่เชิญแม่หมอเท่านั้น แต่ยังตั้งแท่นบูชาอีกด้วย! การกระทำเช่นนี้ มันต่างกับสาวชาวบ้านไร้การศึกษาตรงไหนกัน!”

“ข้ารู้ว่ามันผิด แต่เสี่ยวชีนางหวาดกลัวจนเป็นแบบนั้น ข้า…”

“เสี่ยวชีควรไปหาหมอถ้านางกลัว” นายท่านสี่ตัดบทอีกครั้งและมองไปยังหมิงเวยที่อยู่ข้างหลังนาง “นางก็ดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ”

ฮูหยินสามขมวดคิ้ว “ครั้งนี้เสี่ยวชีดีขึ้น แต่ต้นตอของอาการป่วยยังไม่หายไป ข้าไม่อยากให้นางตกใจกลัวอีก”

รอยยิ้มเยาะปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของนายท่านสี่ “ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ยินมา คิดว่าพวกเด็กรับใช้พูดจาซี้ซั้วที่แท้พี่สะใภ้สามก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน บอกว่าเสี่ยวชีเจอผี เหลวไหลสิ้นดี! ผีมีอยู่จริงที่ไหนกัน พวกเจ้านายบ่าวช่างหูเบา น่าขันเสียจริง!”

“ไม่ใช่นะเจ้าคะ!” แม่นมถงทนไม่ไหว อธิบายแทนฮูหยินสาม “เมื่อสักครู่ท่านเทพธิดาหลิวทำพิธีแล้วพวกเราก็เห็นผีจริงๆ ทุกคนเป็นพยานได้เจ้าค่ะ!”

นางพูดจบหญิงรับใช้หลายนางก็บอกเป็นเสียงเดียวกัน “จริงเจ้าค่ะ นายท่านสี่ พวกเราทุกคนเห็นมัน มีผีจริงๆ เจ้าค่ะ”

นายท่านสี่ทำได้แค่หัวเราะ มองแม่นางหลิวที่ไม่กล้าพูดอะไรด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม “เจ้าเชื่อในกลอุบายของคนโกหกด้วยหรือ! หยดเลือดบนกระดาษก็คงทาน้ำยาอะไรสักอย่างลงไปก่อนหน้านี้ที่พ่นไฟออกจากปากได้ ก็คงซ่อนวัตถุติดไฟอยู่ข้างใน วิธีอำพรางนี้มีเอาไว้หลอกพวกคนโง่! ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เอาของไร้สาระพวกนี้ออกไปจากที่นี่ให้หมด! หลังจากนี้แจ้งให้ข้าทราบด้วย แต่คงไม่จบด้วยดีเช่นนี้หรอก”

พอสั่งการเสร็จ นายท่านสี่ก็จ้องไปที่ฮูหยินสามอีกครั้ง “ถ้าพี่สะใภ้สามคิดว่าข้าผิดก็ไปฟ้องกับท่านป้าได้เลย! มีอุบายอะไรข้าก็จะรับมัน! แต่ข้าขอเตือนท่าน พี่สะใภ้ช่วยฟังให้ขึ้นใจ ท่านเป็นหญิงครองตัวเป็นหม้ายเพื่อชายที่รัก เห็นแก่ชื่อเสียงของพี่สาม โปรดดูแลตัวเองให้ดีและอย่าทำลายประเพณีตระกูลหมิงของพวกเราด้วย!”

พูดจบนายท่านสี่แห่งตระกูลหมิงก็พาเด็กรับใช้แบกโต๊ะบูชาและสิ่งของอื่นๆ เดินจากไป แม่นมถงตัวสั่นด้วยความโกรธ

คนเป็นน้องสามีพูดกับพี่สะใภ้แบบนี้ได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่เขาก็ควรจะสุภาพกับหญิงหม้ายมิใช่หรือ มาชี้หน้าหาว่าทำลายประเพณีของตระกูลเช่นนี้ ถ้าเกิดฮูหยินสามเป็นคนจิตใจอ่อนไหว นางมิต้องฆ่าตัวตายเลยหรืออย่างไร

โชคดีที่ฮูหยินสามสงบอารมณ์ได้นานแล้ว ตอนถูกน้องสามีต่อว่าต่อหน้าเด็กรับใช้นางจึงทำได้แค่ยิ้มอย่างใจเย็น “เก็บข้าวของพวกนี้เถอะ อะไรควรทำก็ทำไป”

นางปลอบโยนแม่นางหลิว “ทำท่านเทพธิดาตกใจเสียแล้ว แม่นมพาท่านเทพธิดาไปพักดื่มชาให้หายตกใจที่นั่นเถิด”

“เจ้าค่ะฮูหยิน” แม่นมถงเข้าใจดีจึงเข้าไปคุยกับแม่นางหลิว “ท่านเทพธิดา เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”

รอพวกนางเดินจากไป ฮูหยินสามจึงหันไปมองบุตรสาวอย่างละเอียดแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เสี่ยวชีอย่ากลัวไปเลย ท่านอาสี่จริงๆ แล้วเป็นคนดี เขาแค่เป็นคนขี้หงุดหงิด”

หมิงเวยไม่อยากให้นางเป็นกังวลจึงพยักหน้า

ฮูหยินสามยืนยันกับบุตรสาวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่เป็นอะไร จากนั้นจึงหันไปอีกทางแล้วพูดว่า “ตัวฝู พาคุณหนูไปพักผ่อน” พอนึกได้ว่าตัวฝูเองก็ตกใจกับเรื่องเมื่อสักครู่ด้วยจึงเรียกสาวใช้อีกสองนาง “พวกเจ้าคอยไปเฝ้าดูหน่อย”

เด็กรับใช้ที่สวนอวี๋ฟางจัดการทุกอย่างเป็นอย่างดี เพียงสั่งไม่กี่คำ อะไรที่ควรเก็บก็เก็บหมด ใครควรออกไปก็ไป

ฮูหยินสามเดินกลับห้องแล้วไปนั่งรอในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของห้องซึ่งใช้เป็นห้องอ่านหนังสือ เวลาผ่านไปไม่นาน แม่นมถงก็เดินเข้ามา

“ฮูหยินเจ้าคะ นายท่านสี่…” ฮูหยินสามโบกมือ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล พูดแค่เรื่องของท่านเทพธิดาเถอะ”

แม่นมถงทำได้เพียงอดทนและรายงานให้นางฟัง “ท่านเทพธิดาบอกว่าผู้คนในลัทธิเต๋านั้นลึกลับนางเองก็ไม่รู้ว่าจะไปหาได้ที่ไหน”

ฮูหยินสามครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “สิ่งนั้นจะอยู่ได้นานแค่ไหน”

“การผนึกหยินชี่มักจะอยู่ได้ประมาณสามถึงห้าเดือนเจ้าค่ะ” ฮูหยินสามพยักหน้า “แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะไปเสวียนตูกวาน[1]ที่เมืองหลวง”

“เจ้าค่ะ” แม่นมถงยังกังวล “ก่อนหน้านี้เราเชิญท่านเทพธิดา ฮูหยินผู้เฒ่าอนุญาตพวกเราจึงทำ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินไป ต้องให้พวกนายท่านออกหน้าให้ แต่กฎของตระกูลที่ตั้งเอาไว้แบบนั้นแล้วยังท่าทีของนายท่านสี่อีก เกรงว่านายท่านคนอื่นๆ จะไม่อนุญาต”

จริงๆ แล้วตระกูลหมิงแบ่งออกเป็นสองเรือน

เรือนใหญ่เป็นของท่านใหญ่ผู้เป็นบุตรชายคนโตของนายท่านหมิงเซียง ซึ่งล่วงลับไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้เรือนนี้จึงเป็นของนายท่านทั้งสี่ซึ่งก็คือนายท่านหนึ่ง นายท่านสอง นายท่านห้าและนายท่านหก

ส่วนนายท่านรองและฮูหยินได้ล่วงลับไปเมื่อสามสิบปีก่อน ทิ้งสองฝาแฝดไว้ซึ่งก็คือนายท่านสามและนายท่านสี่ไว้

ในเวลานั้นนายท่านทั้งสองมีอายุเพียงหกเจ็ดปี ซึ่งไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยปละละเลยพวกเขาทั้งสองคน นายท่านทั้งสองจึงตกอยู่ในความดูแลของผู้เป็นท่านลุงและท่านป้า จนกระทั่งพวกเขาเติบโตขึ้นจึงแยกออกเป็นสองเรือน แต่ก็ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากกว่าลุงหลานธรรมดา

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะใกล้ชิดกันมากเพียงใด แต่ก็แยกเรือนกันแล้ว ตอนนี้นายท่านสามก็ไม่อยู่แล้ว นายท่านสี่จึงเป็นเจ้าบ้านของเรือนรอง หากใครต้องการมีส่วนร่วมในเรือนนี้ก็ต้องถามนายท่านสี่ก่อน

เวลาผ่านไปชั่วครู่ ฮูหยินสามจึงบอกว่า “เรื่องนี้ข้าจะหาทางเอง ก่อนอื่นเรียกให้ท่านเทพธิดามาผนึกหยินชี่ก่อนเถอะ”

…………………………………..

[1] เสวียนตูกวาน : วัดลัทธิเต๋า