บทที่ 5 วรยุทธ์อาจหาญ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

“ฝึกวรยุทธ์หรือ”

ลู่เฉวียนอันขมวดคิ้ว

“เจ้าไฉนเริ่มฝึกฝนวรยุทธ์แล้ว” เขาคิดจะดุด่าสักหลายประโยค แต่พอคิดถึงเหล่านายน้อยที่ออกไปหาความสำราญเหล่านั้น เทียบกันแล้ว การกระทำของเด็กน้อยลู่เซิ่งยังดีกว่าคนเหล่านั้นมากนัก

พอคำดุด่ามาถึงมุมปาก เขาก็ถอนใจเฮือกหนึ่ง

“ฝึกวรยุทธ์ต้องไปเรียนกับลุงจ้าวของเจ้า อย่าได้ฝึกฝนส่งเดชคนเดียว จะเกิดเรื่องได้ง่าย”

เขาส่ายหน้า หมุนตัวเดินไปนอกประตู เดินไปถึงครึ่งทาง ก็หยุดนิ่งแล้วพูดอีกครั้ง

“ทางห้องยา หากเจ้าอยากได้ยาอันใดก็ไปขอได้เลย ข้าจะให้เงินเจ้าสองพันตำลึงต่อเดือน”

พอพูดจบก็สาวเท้าจากไปแล้ว

หลิวชุ่ยอวี้ มารดารองใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อให้ลู่เซิ่งเบาๆ

“บิดาเจ้าใจอ่อนแล้ว”

นางถอนใจยาว

“นายท่านผู้เฒ่าตระกูลสวีกับเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ตอนนี้เกิดเรื่องอย่างนี้ เขาก็เศร้าเสียใจยิ่งเช่นกัน

“เจ้าฝึกวรยุทธ์เป็นเรื่องดี เพียงแต่คนอื่นฝึกวรยุทธ์ล้วนเริ่มปรับรากฐานมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เจ้าอายุปูนนี้แล้ว สุดท้ายยังสายไปก้าวหนึ่ง…”

นางบ่นอันใดไป ลู่เซิ่งฟังไม่เข้าหูโดยสิ้นเชิง

ความสนใจของเขารวมอยู่บนวิชาดาบพยัคฆ์ดำที่ได้มาใหม่

‘อัศจรรย์จริงๆ…’

ลู่เซิ่งหยีตาเล็กน้อย เปลือกนอกคล้ายกำลังฟังคำพูดของมารดารอง ความจริงกลับกำลังสัมผัสกับสภาพร่างกายของตัวเอง

เขาเกร็งกล้ามเนื้อที่แขน

‘กล้ามเนื้อที่สองมือยังเหมือนเดิม แต่ว่าความรู้สึกคุ้นเคยนั้น ความชำนาญจากวิชาดาบที่เหมือนฝึกฝนมาหลายปีแล้วนั้น เป็น…’

เขาทดลองเกร็งกล้ามเนื้อขาสองข้างอีกรอบ

กล้ามเนื้อส่วนขาออกแรงได้ง่ายกว่าก่อนหน้าอย่างชัดเจน

เขาสัมผัสได้อย่างแจ่มแจ้งว่า พละกำลังของตัวเองไหลจากสองเท้าไปถึงส่วนเอว ไปถึงสองแขนอีกครั้ง

ความปลอดโปร่งของการส่งพละกำลังชนิดนี้ บรรยายไว้อย่างละเอียดยิ่งบนวิชาดาบพยัคฆ์ดำ

นี่เรียกพลังปลอดโปร่ง

‘ถ้ายึดตามที่วิชาดาบว่าไว้’ ผู้ที่ฝึกวรยุทธ์ทั่วไปล้วนมีวิธีการปรับพลังปราณส่วนใหญ่บนร่าง

สามารถปรับพลังปราณทั่วร่างได้ห้าส่วน นับว่าเป็นมือดีแล้ว ผู้ที่ปรับพลังปราณได้แปดส่วน สามารถเข้าสู่ขอบเขตที่เรียกว่าพลังปลอดโปร่ง’

ลู่เซิ่งไตร่ตรอง ตามความทรงจำส่วนหนึ่งในตอนแรกของร่างนี้ ในอดีตเขาเคยได้ยินลุงจ้าวกับอาจารย์สอนวรยุทธ์คนอื่นพูดถึงเรื่องนี้

ขอบเขตพลังปลอดโปร่ง ไม่ต่างจากยอดฝีมือระดับหนึ่ง ระดับสองในเมืองเก้าประสานมากนัก

สามารถรวมพลังปราณแล้วโจมตีออกไปได้ ขอบเขตเช่นนี้ ต่อให้เป็นแค่คนทั่วไป ฟันออกหนึ่งดาบ จะสามารถแสดงพละกำลังและความเร็วที่น่ากลัวเหนือคนธรรมดาได้เช่นกัน

‘ลุงจ้าว มีขอบเขตพลังปลอดโปร่งแล้วกระมัง…’

ลู่เซิ่งถอนใจ ผลของเครื่องมือปรับเปลี่ยนนี้ไม่ด้อยลงแม้แต่น้อย ทำให้ความกังวลในใจของเขาหายไปมาก

‘น่าเสียดายสิ่งที่เครื่องมือปรับเปลี่ยนเผาผลาญไป เป็นการรวมกันของพลังกาย ปราณ และจิต การเปลี่ยนครั้งนี้ยังมิใช่วิชาที่มีปราณกำลังภายในเหมือนในเรื่องเล่าเหล่านั้น เป็นแค่วิชาดาบกำลังภายนอกที่ธรรมดาวิชาหนึ่ง ถึงกับเกือบทำให้เราเสียเลือดลมจนต้องนอนติดเตียง’

ลู่เซิ่งเข้าใจคุณสมบัติของเครื่องมือปรับเปลี่ยนอย่างเลือนรางแล้ว

ของสิ่งนี้คล้ายเป็นเครื่องมือปรับสมดุล สามารถปรับประสบการณ์ ความทรงจำ ความสามารถ และวรยุทธ์บนร่างได้

แต่ว่าการปรับสมดุลนี้จำเป็นต้องใช้พลังงาน สิ่งที่สูญเสียไป คือพลังกาย ปราณ และจิตของเขา

มิหนำซ้ำการปรับสมดุลร่างกายและความทรงจำ ยังไม่ใช่สามารถกระทำได้ในคราเดียว

‘ร่างกายเหมือนวัสดุกองหนึ่ง เครื่องมือปรับเปลี่ยนสมควรใช้ประโยชน์จากกองวัสดุเหล่านี้ สร้างพื้นฐานใหม่บนพื้นฐานเดิม’

ไม่อาจเปลี่ยนแปลง สร้างความแข็งแกร่งของกายเนื้อและความแข็งแกร่งของโครงกระดูกขึ้นใหม่ โดยไม่ใช้อะไรเลย

นี่เป็นสิ่งที่ลู่เซิ่งคาดเดา

หลายวันต่อจากนั้น การเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเขา ก็ได้พิสูจน์การคาดเดานี้

ร่างของเขาค่อยๆ ฟื้นฟูตั้งแต่วันแรก ขณะเดียวกันแขน ขา ทรวงอกและกลางหลัง ล้วนมีกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ลู่เซิ่งยังรู้สึกได้ว่าความเจ็บปวดบนร่างกาย กลายเป็นอาการชาไปแล้ว บนฝ่ามือค่อยๆ เกิดผิวชั้นนอกที่หนาส่วนหนึ่งขึ้น

ความอยากอาหารของเขายิ่งมายิ่งมากขึ้นเช่นกัน

เพื่อไม่ให้ทุกคนประหลาดใจ ทุกๆ วันเขาจะแอบออกไปด้านนอก เพื่อรับประทานอาหารเพิ่มทุกวัน

วันหนึ่งรับประทานสี่มื้อ เช้ากลางวันเย็นสามมื้อ ด้านนอกเพิ่มมื้อดึกอีก

มื้อดึกด้านนอก เขายังกินปริมาณเท่าในบ้าน

เป็นเช่นนี้อยู่เจ็ดวัน ลู่เซิ่งเริ่มแข็งแรงขึ้น ร่างกายไม่ได้ผอมเหมือนก่อนแล้ว

คัมภีร์ลับวิชาดาบเล่มนั้น เขาคืนให้ลุงจ้าวอย่างสมบูรณ์แต่แรกแล้ว

ลุงจ้าวได้ยินเรื่องที่เขาป่วยบนเตียง ตอนรับคัมภีร์วิชาดาบกลับคืน นอกจากส่ายหน้าถอนใจแล้ว ก็ไม่มีการแสดงออกอื่นใด และไม่ถามไถ่เรื่องฝึกดาบเช่นกัน

ลู่เซิ่งคาดเดาว่า เขาคงนึกว่าตนเองทดลองฝึกดาบมั่วซั่ว ผลลัพธ์ทำร้ายตัวเองแล้ว

ลุงจ้าวมีความคิดแบบนี้จริงๆ

เดิมทีเขายังรอให้ลู่เซิ่งฝึกดาบไม่สำเร็จ แล้วค่อยไปถามข้อข้องใจกับเขา คิดไม่ถึงว่าพริบตาเดียวจะได้ยินเรื่องที่ลู่เซิ่งคุณชายใหญ่ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นต้องนอนเตียง

ภายหลังยังมาคืนคัมภีร์ลับให้เขาอีก และไม่ถามเรื่องวิชาดาบพยัคฆ์ดำอีกเลย

เขาจึงนึกว่าลู่เซิ่งไม่สนใจอีกต่อไป ยอมแพ้เสียแล้ว

กับเรื่องนี้ ลุงจ้าวนอกจากถอนใจแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย

เรื่องทั้งหมด จึงกลับกลายไปเป็นเหมือนก่อนหน้านี้

ชีวิตในคฤหาสน์ตระกูลลู่เหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องของตระกูลสวีเกินไปนัก

พวกผู้เยาว์ที่เคยไปเดินเล่นก็ไปเดินเล่น ที่เคยออกไปดื่มสุราก็ออกไปดื่มสุรา บางคนออกไปฟังเพลง บางคนออกไปขี่ม้า ยังมีคนออกไปเข้าร่วมชุมนุมกาพย์กลอน ชุมนุมดอกไม้อันใดอีก ถึงเมืองเก้าประสานจะไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก เรื่องสำราญเหล่านี้ที่ควรมีล้วนมีทั้งสิ้น

เหล่าผู้อาวุโสเข้าร่วมการชุมนุมพวกนี้เป็นครั้งคราว บางครั้งก็ไปเข้าร่วมการปรึกษาหารือ ณ ที่ว่าการ

ลู่เฉวียนอันก็ทุ่มเทเวลากับการค้าและธุรกิจทั้งวัน

ทุกคนเหมือนจะลืมเลือนคดีสะเทือนขวัญของตระกูลสวี กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิมอีกครั้ง

คนที่ใช้ชีวิตแตกต่างจากเดิมมีอยู่เพียงสองคน

คนแรกคือลู่อีอี นางที่ไม่ได้แต่งสามี นางที่ยังไม่มีคนในใจ ทุกๆ วันน้ำตานองหน้า ซูบโทรมมากขึ้น

อีกคนคือลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งชอบออกไปด้านนอกมากกว่าเดิม

เขาไม่ได้ไปหาความสำราญหรือไปฟังเพลง หากแต่ไปนอกเมืองเพื่อหาป่าน้อยที่ว่างแห่งหนึ่ง

เริ่มทดลองฝึกฝนวิชาดาบพยัคฆ์ดำด้วยตัวเอง

เขาลมทมิฬตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเก้าประสาน

ยามดึก เสียงลมหวีดหวิว

ลู่เซิ่งถือดาบด้ามยาวออกมาจากร้านตีเหล็ก กำลังเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

เขาไม่ได้คิดจะไปให้ถึงเขาลมทมิฬ เพียงคิดหาโอกาสทดลองดาบในระหว่างทาง

วิชาดาบพยัคฆ์ดำเป็นเขาได้มาจากการใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยน เขาจึงยังไม่คิดแสดงออก นี่สามารถเป็นท่าไม้ตายท่าหนึ่งของเขาได้

คนภายนอกมองดูเขา ล้วนนึกว่าเขาเป็นคุณชายบ้านรวยผู้ไม่มีเรี่ยวแรงฆ่าไก่ทั่วไป

ภายใต้การรับรู้ที่เข้าใจผิดเช่นนี้ เกิดว่ามีอันตรายอันใดเกิดขึ้นกับเขา ความสามารถนี้จะกลายเป็นที่พึ่งพาสำหรับพลิกกระดานที่ดีที่สุดของเขา

แน่นอนว่าเงื่อนไขคือประสบการณ์ในการใช้วิชาดาบพยัคฆ์ดำนี้ให้ใช้ได้จริงๆ

ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าเขาลมทมิฬอยู่ที่ไหน ห่างจากเมืองเก้าประสานไปเท่าไร

เมืองเก้าประสานไม่มีคำสั่งห้ามเข้าออกยามวิกาล ตอนกลางคืนประตูเมืองยังคงเปิดอยู่ ตัวเขาคนเดียวใส่ชุดหนากว้าง ก้มศีรษะอำพรางใบหน้า เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นแบบเรียบง่าย จากนั้นใช้แป้งน้ำของสตรีปรับเปลี่ยนหน้าตาเล็กน้อย

พลันเขาก็กลายเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไป ที่ไม่มีคนรู้จัก

อาศัยยามวิกาลออกจากตัวเมือง ลู่เซิ่งทอดตามองไปไกล

มองเห็นป่าบนเขาร้างที่มืดสนิท เหมือนกับสัตว์ยักษ์ที่หลับลึก หมอบอยู่ใต้แสงจันทร์อย่างเงียบเชียบ

จิตใจเขาเต้นรัวอยู่บ้าง

แต่เพื่อปกปิดตัวเอง และเพื่อทดลองว่าวิชาดาบพยัคฆ์ดำมีอานุภาพขนาดไหน

ยืนอยู่ที่ประตูเมืองครู่หนึ่ง เขาจึงปลุกปลอบความกล้า เดินไปยังเขาลมทมิฬ

ติ๊งๆๆ…

เสียงขบวนรถคณะพ่อค้าที่กลับมายามดึก กำลังเข้าเมืองจากถนนเส้นใหญ่

กระดิ่งที่แขวนบนรถม้าถูกลมเป่า จึงสั่นทำให้เกิดเสียงลอยไปไกลในสายลมยามวิกาล

ตำแหน่งที่ลู่เซิ่งออกจากเมืองคือประตูด้านข้าง

เมืองเก้าประสานประหลาดยิ่ง ไม่เพียงไม่ปิดประตูยามวิกาล แค่ประตูเมืองก็มีหลายบานแล้ว กำแพงเมืองมองดูสูงใหญ่แข็งแรง แต่ความจริงมีรูโหว่อยู่ทุกที่ ใช้ป้องกันเมืองไม่ได้

“วันนี้ก็กลับดึกอีกแล้วหรือ”

“ไหนเลยมิใช่…ตอนกลางคืนมืดสนิท ตอนเดินทางมายังทำล้อรถเสียหายอีก โชคร้ายจริงๆ…”

บนถนนใหญ่ที่ประตูหลัก เสียงสนทนาของหัวหน้าคณะพ่อค้ากับทหารรักษาเมืองลอยมาแต่ไกล

ที่ที่ลู่เซิ่งยืนอยู่เป็นเส้นทางเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ แคบกว่าถนนสำหรับรถที่ประตูหลักมาก

ประตูข้างสีดำทะมึน คบเพลิงสองอันบนกำแพงเมือง สาดแสงทึบทึมลงมา ทำให้เพียงมองเห็นวัตถุเรื่องราวห่างไปประมาณครึ่งหมี่ (เมตร) ตรงหน้าเท่านั้น

‘เป็นยุคโบราณจริงๆ…’ ลู่เซิ่งถอนใจ

เพ่งตามองออกไป สามทิศทางข้างหน้าล้วนมืดสนิท เหลือแค่เมืองเก้าประสานทางด้านหลังที่ยังมีแสงไฟอยู่

‘ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีแสงโคม นอกป่ายุคโบราณเป็นสวรรค์ของการล่าสัตว์ป่าจริงๆ ’

เขาลังเลอยู่บ้าง แต่ว่าวิชาดาบพยัคฆ์ดำที่ไหลอยู่ในตัวเขาทำให้ความรู้สึกหวาดกลัวของเขามีไม่มากนัก

เป็นเพราะในวิชาฝึกจิตดาบพยัคฆ์ดำ เหมาะกับสภาพความมืดเช่นนี้

หรืออีกอย่างหนึ่ง พยัคฆ์ดำเดิมเป็นเจ้าในการล่าสัตว์ตอนกลางคืนอยู่แล้ว วิชาดาบพยัคฆ์ดำมีเงื่อนไขฟังลม แยกแยะตำแหน่งที่ไม่ต่ำทราม จึงไม่กลัวสภาพแวดล้อมแบบนี้

ลู่เซิ่งกระชับผ้ามัดเอว กำดาบด้ามยาวแน่น เร่งความเร็วเดินไปบนถนนที่มุ่งไปยังเขาลมทมิฬ

เดินไปตามทางน้อยได้หลายร้อยหมี่ เขาหยิบหินเหล็กไฟจากในถุงผ้าตรงหว่างเอวขึ้นมา แล้วหยิบคบเพลิงขนาดเล็กที่เตรียมไว้ที่กลางหลังออกมา

วางหินเหล็กไฟก้อนหนึ่งไว้ที่คบเพลิง แล้วถูหินสองก้อนเสียดสีกันรอบหนึ่ง

พรึ่บ

สะเก็ดไฟกระเด็นไปบนคบเพลิง

สะเก็ดไฟกระจายเป็นจุดๆ สีแดงในตอนแรก จากนั้นก็แผ่ขยายไปทั่วบนคบเพลิงอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดก็มีแสงสว่างท่ามกลางความมืดแล้ว

ลู่เซิ่งหันหลังกลับไปมอง แสงไฟของเมืองเก้าประสานสลัวลงแล้ว

เขาชูคบเพลิงขึ้น ค่อยๆ เดินไปด้านหน้า

‘ตามที่นายพรานว่าไว้ ถนนเส้นนี้ตกดึก มักมีหมาป่าโผล่ออกมา ขึ้นอยู่กับโชคแล้ว’

เขายังไม่กล้าไปที่เขาลมทมิฬจริงๆ หลังรู้ว่าโลกนี้มีความเป็นไปได้ที่จะมีพวกภูตผี เขาจึงไม่กล้าออกจากเมืองมากเกินไป

ถ้าไม่ใช่เพราะว่า หาวิธีไปไม่น้อยแล้ว ล้วนไม่อาจลองขีดความสามารถของตัวเองในเมืองได้ เขาคงไม่ต้องมาเสี่ยงแบบนี้คนเดียว

เดินไปด้านหน้าอีกสักพัก เขาก็ค้นพบร่องรอยบนพื้นอย่างรวดเร็ว

เป็นร่องรอยของหมาป่าที่นายพรานผู้นั้นพูดถึง

มันเป็นมูลสัตว์ทรงไข่ลักษณะเหมือนดินเคลือบขาวหลายก้อน

ลู่เซิ่งเก็บหินขึ้นมาทุบมูลนั้นดู

มันถูกลมพัดจนแห้งแล้ว พอทุบจนแหลก ด้านในก็ปรากฏสิ่งที่เหมือนกับกรงเล็บส่วนหนึ่ง

‘สิ่งนี้นี่เอง…มูลก้อนนี้สมควรผ่านมาหลายวันแล้ว ตามคำพูดของนายพราน เมื่อวานเขาเห็นหมาป่าตัวนั้นที่นี่’ สมควรอยู่ใกล้ๆ แล้ว’

ลู่เซิ่งมือหนึ่งชูคบเพลิง มือหนึ่งค่อยๆ ชักดาบด้ามยาวออกมาจากเอวด้านหลัง

ดาบด้ามยาวเป็นดาบที่เกิดจากการผสมผสานกันของการใช้งานแบบทหารและใช้งานในการเกษตร ด้ามดาบยาวยิ่ง

ด้ามดาบของลู่เซิ่งเล่มนี้ยาวเท่าตัวดาบ ถ้าเอาตัวดาบออก สามารถใช้เป็นสากของเกษตรกรได้ คล้ายกับทวนที่หดเล็กลง

เขากำมันด้วยมือข้างหนึ่ง ยังรู้สึกกินแรงอยู่บ้าง

ถือโอกาสสอดคบเพลิงเข้าไปในร่องหินที่อยู่อีกด้าน

รอบๆ นี้ล้วนเป็นหินเกลื่อนกลาด มีแต่ศิลาประหลาดตะปุ่มตะป่ำ ไม่มีต้นไม้ จึงไม่กลัวจะติดไฟ

ลู่เซิ่งสอดคบเพลิงเสร็จแล้ว ก็หยิบห่อกระดาษห่อหนึ่งออกมาจากย่ามที่เอวอย่างระมัดระวัง ในห่อกระดาษวางเนื้อหมูสดใหม่ที่เขาเพิ่งเฉือนมาตอนบ่ายก้อนหนึ่ง

เขาแบกระดาษน้ำมันออกช้าๆ วางลงบนพื้น

ก้อนเนื้อยังมีเลือดติดอยู่ กลิ่นคาวกระจายไปตามลมอย่างรวดเร็ว

ลู่เซิ่งถือดาบหลบห่างออกมาเล็กน้อย หดตัวรออยู่ด้านหลังหินใหญ่ก้อนหนึ่ง

มีสายลมเย็นยะเยือกพัดมาอยู่บ้าง

ลู่เซิ่งเอียงตัว แนบตัวเข้ากับหินสีขาวที่สูงเท่าหนึ่งคนครึ่ง มองไปยังก้อนเนื้อ

เวลาค่อยๆ ผ่านไป

โฮก…

ทันใดนั้น ในสายลมมีเสียงหนึ่งลอยมาเลือนราง คล้ายกับเสียงลม และเหมือนกับเสียงร้องของสัตว์บางชนิด

ฟุ่บ!

เงาร่างสีดำสายหนึ่งโผล่ออกมาจากด้านข้างอย่างกะทันหัน คบเพลิงสะท้อนแสงดวงตาสีเขียวเลื่อมคู่หนึ่ง

เงาร่างสีดำนั้นมีความเร็วสูงสุด พริบตาเดียวก็พุ่งถึงตำแหน่งก้อนเนื้อ คาบก้อนเนื้อได้ก็ออกวิ่งไป

ลู่เซิ่งดีใจ กำลังจะเคลื่อนไหว

ทันใดนั้นหลังเขาพลันเกร็งขึ้นมา

กระแสลมเย็นสายหนึ่งพัดเข้าใส่กลางหลังของเขา

ลู่เซิ่งเบิกสองตาขึ้น ถือดาบด้ามยาวหมุนตัวฟันขวางออกไป

……………………………………….