บทที่ 1 กลับสู่โลกเดิม
กลางคืนอันเงียบสงบกลางฤดูร้อน
จู่ ๆ ก็เกิดสายลมกระโชกแรง และทันใดนั้นสายฟ้าก็ได้ฟาดลงมายังพื้นพิภพ
ตลาดกลางคืนที่ปกติจะมีผู้คนครึกครื้นตลอด แต่คืนนี้มันกลับดูเงียบสงบเพราะผู้คนทั้งหลายต่างพากันรีบกลับบ้านเพื่อที่จะหลบพายุ
ในคอนโดหรูแห่งหนึ่งของย่านการค้าฉางเยี่ยแห่งเมืองฮ่วยอัน
ที่ชั้น 11 ในห้องนั่งเล่นของห้องเลขที่ 1102 มีเด็กสาวหน้าตาน่ารักราวกับเทพธิดาตัวน้อย อายุราว 4-5 ขวบคนหนึ่งกำลังนั่งจ้องสายฟ้าที่ผ่าลงมาโดยไร้ความหวาดกลัวในดวงตา
“น้าหรงเคยบอกว่าเมื่อไหร่ที่มีฟ้าผ่า มันหมายความว่ามีเทพพระเจ้าองค์หนึ่งกำลังสู้อยู่กับสายฟ้าเหล่านั้น…”
“องค์เทพ เจ้าขา หนูไม่ขออะไรท่านมาก หนูแค่อยากขอให้ท่านสละเวลามาช่วยตามหาคุณพ่อกับคุณแม่ของหนูให้หน่อยจะได้ไหม หนูคิดถึงพวกเขา…”
เด็กน้อยหลับตาพร้อมกับพนมมืออธิษฐานคำขอนี้ในใจไปเรื่อย ๆ โดยหวังว่ามันจะส่งไปถึงเทพที่หนูน้อยคิดว่ามีอยู่จริง
ในเวลาเดียวกันนั้น
จู่ ๆ สายฟ้าที่ดูแปลกประหลาดกว่าเส้นอื่น ๆ ก็ผ่าลงมากลางยอดเขาที่อยู่ไม่ไกลจากเมือง สายฟ้าเส้นนี้นั้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางหนากว่า 3 เมตรแถมมันยังเป็นสีม่วง!
บึ้ม!!!
ต่อมาเมื่อฝุ่นและควันจางลงไป ร่างของชายผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ก้นหลุมลึก ซึ่งเกิดจากสายฟ้าสีม่วงที่ผ่าลงมาเมื่อครู่
“ฮ่าฮ่าฮ่า โลก! ในที่สุดข้าอวี้ฮ่าวหรานก็กลับมาที่โลกมนุษย์เหมือนเดิมจนได้!”
ชายผู้ที่เพิ่งตะโกนขึ้นค่อย ๆ ปัดฝุ่นที่ติดอยู่ทั่วตัวด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว แต่สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“การเดินทางผ่านกำแพงมิติที่ซ้อนกันหลายสิบชั้นนั้นนับได้ว่าเป็นงานหินจริง ๆ มันถึงขนาดทำให้แกนดวงวิญญาณเทวะของข้าแตกสลาย”
“ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะข้ามีร่างเทวะ และได้รับการปกป้องจากเกราะศักดิ์สิทธิ์เอาไว้อีกชั้นแล้วล่ะก็ ป่านนี้ร่างของข้าคงแหลกสลายไม่มีทางรอดมาได้แบบนี้แน่นอน”
จากนั้นอวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ เดินขึ้นมาจากหลุมลึกอย่างอ่อนแรง และเริ่มตรวจสอบสภาพของตัวเองโดยใช้พลังวิญญาณอันน้อยนิดที่ยังเหลืออยู่ในร่างของเขา
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นหดหู่เพราะหลังจากที่ตรวจสอบมันก็ทำให้เขารู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่แย่พอสมควร แกนดวงวิญญาณเทวะแหลกสลาย พลังที่บ่มเพาะมาทั้งหมดไม่หลงเหลือเลย และชุดเกราะระดับเทวะก็เหลือแค่เศษซากที่ไม่สามารถเอากลับมาใช้งานใหม่ได้ มีเพียงอย่างเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ก็คือร่างกายเทวะของเขาที่ถูกบั่นทอนความแข็งแกร่งลงไปบ้างจากพายุมิติ
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเสียของเหล่านั้นไป แต่ท้ายที่สุดเขาก็ได้กลับมายังโลกเดิมของเขาสักที!
“นี่มันก็ผ่านมาแล้ว 30,000 ปีสินะ ในตอนนั้นข้าคือลูกเขยที่ไม่มีใครเหลียวแลของตระกูลหลี่แห่งเมืองฮ่วยอัน”
“แต่ด้วยความโชคร้าย จู่ ๆ ข้าก็ตกจากหน้าผาและไปเกิดใหม่ที่ดินแดนแห่งเทพพระเจ้า ด้วยความอุตสาหะของข้า ข้าใช้เวลาเพียงแค่ 3 หมื่นปีไต่ระดับการบ่มเพาะจนขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดเป็นมหาจักรพรรดิแห่งมวลเทพ!”
อวี้ฮ่าวหรานนั่งพักอยู่บนยอดเขาพลางมองไปที่แสงไฟในเมืองด้วยสายตาเศร้าสร้อย
ที่ผ่านมาถึงแม้ว่าเขาจะกลายเป็นผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของดินแดนแห่งเทพ แต่เขาก็ไม่เคยลืมโลกเดิมที่เขาจากมาเลยแม้แต่น้อย ทุก ๆ วันเขาเฝ้าเอาแต่หาทางกลับมายังโลกเดิมให้ได้
ความฝันนี้มันไม่เคยจางหายไปแม้ว่าเขาจะเผชิญกับความยากลำบาก สุขสบาย หรือเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
ท้ายที่สุดเขาก็หาวิธีการกลับโลกเดิมจนเจอ โดยการบุกฝ่ากำแพงมิตินับสิบชั้นที่กั้นขวางระหว่างดินแดนแห่งเทพและโลก
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่เขาต้องการจะกลับมาโลกเดิมนั้นเขาไม่ได้ต้องการที่จะมาชำระแค้นใด ๆ กับตระกูลหลี่ เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาอยากกลับมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นเป็นเพราะคน 2 คน
“3 หมื่นปีผ่านไปแล้ว ข้าเกรงว่าป่านนี้ทั้งเจ้าและลูกของเราคงสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว…”
“แต่ไม่เป็นไร ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะเกิดใหม่ไปแล้วสักพันสักหมื่นรอบข้าก็จะตามหาพวกเจ้าให้เจอให้ได้ ข้าจะบ่มเพาะจนพลังทั้งหมดของข้ากลับมาฟื้นสมบูรณ์เหมือนเดิม และเมื่อถึงเวลานั้นต่อให้พวกเจ้าจะอยู่ยมโลกชั้น 6 ข้าก็จะไปพาตัวพวกเจ้ากลับมาหาข้า!”
อวี้ฮ่าวหรานหลับตาลงไปอีกพักใหญ่ จากนั้นเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกรอบ ร่างกายของเขาที่เคยมีบาดแผลมากมายก็ฟื้นตัวจนสมบูรณ์ แต่น่าเสียดายที่พลังต่าง ๆ ของเขานั้นไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นคืนมาด้วย
“ร่างเทวะนี้ของข้านับได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในมวลหมู่เทพ นี่ขนาดข้าไม่มีพลังเทวะคอยเกื้อหนุนมันแล้วแต่มันกลับยังสามารถฟื้นฟูความเสียหายได้อย่างน่าตื่นตะลึงขนาดนี้ นับว่าไม่เสียแรงเลยที่ข้าพยายามบ่มเพาะมันจนสมบูรณ์อยู่เป็นเวลานาน”
จากนั้นไม่นานอวี้ฮ่าวหรานก็เดินตรงกลับไปที่เมืองซึ่งเต็มไปด้วยแสงไฟ
เมื่อเขาเดินเข้าไปในเมือง เขาก็ต้องแปลกใจว่าทำไมเวลาผ่านไปมากกว่า 3 หมื่นปีแล้วทุก ๆ อย่างมันกลับดูแทบไม่เปลี่ยนไปเลย
แม้แต่ป้ายของร้านซุปเนื้อที่เขาชอบกินซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับคอนโดที่เขาเคยอยู่ก็ยังคงเป็นป้ายเดิมที่ดูเก่าแก่
นี่มันไม่ถูกต้อง!
“หรือว่านี่จะเป็นผลมาจากความเหลื่อมล้ำของมิติเวลาที่ต่างกันระหว่างโลกมนุษย์และดินแดนแห่งเทพ?”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ดวงตาของอวี้ฮ่าวหรานก็เปล่งประกายในทันที เขารีบวิ่งตรงไปที่คอนโดที่เขาเคยอยู่อย่างรวดเร็ว
เมื่อยืนอยู่ในลิฟต์ อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่จอ LCD ซึ่งที่หน้าจอมันมีระบุวันที่เอาไว้ว่าวันนี้คือวันที่ 28 มิถุนายน 2019 สิ่งนี้มันทำให้เขาตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
เขาจำได้แม่นยำว่าก่อนที่เขาจะตกหน้าผาไปนั้นมันเป็นวันที่เขาพาภรรยา และลูกสาวอายุราว 2 ขวบไปเที่ยว ซึ่งวันนั้นมันคือวันที่ 3 พฤษภาคม 2016 จากนั้นเขาก็ตกหน้าผาไปเกิดใหม่ที่ดินแดนแห่งเทพพระเจ้าอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ 33 และเริ่มเส้นทางการบ่มเพาะของตัวเอง
ในช่วงเวลา 3 หมื่นปีแห่งการบ่มเพาะเขาผ่านประสบการณ์เฉียดตายมามากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งจนท้ายที่สุดเขาก็สำเร็จสุดยอดร่างเทวะที่ไร้เทียมทานที่สุดในดินแดนแห่งเทพ ขึ้นเป็นใหญ่ที่สุดเหนือหมู่เทพและสรรพสิ่งทั้งมวลในดินแดนแห่งนั้น
แต่แล้วตอนนี้เมื่อเขากลับมาที่โลกมนุษย์ เขากลับพบว่าเวลามันผ่านไปเพียง 3 ปีเท่านั้นเอง
นี่มันหมายความว่าเวลาที่แดนสวรรค์ชั้น 33 มันเร็วกว่าโลกมนุษย์เป็นหมื่นเท่าเลยงั้นเหรอ?
อย่างไรก็ตาม เมื่ออวี้ฮ่าวหรานคิดเรื่องนี้ไปได้สักพักเขาก็ละทิ้งแนวคิดเรื่องเวลาไปก่อน เพราะตอนนี้เขามีสิ่งที่ควรจะสนใจมากกว่า
หากเวลาผ่านไปเพียงแค่ 3 ปี งั้นมันก็หมายความว่าทั้งภรรยาและลูกของเขาต้องยังมีชีวิตอยู่แน่นอน!
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน อวี้ฮ่าวหรานมีเพียงแค่ความคิดเดียวคือเขาต้องกลับมาเจอลูกและภรรยาของเขาให้ได้
ด้วยความตั้งมั่นนี้ในท้ายที่สุดเขาจึงสามารถกลับมาที่โลกได้สำเร็จ
เวลาผ่านไปไม่นานลิฟต์ก็ขึ้นมาถึงชั้น 11 และเปิดออก อวี้ฮ่าวหรานไม่สามารถทนกับความต้องการของตัวเองที่อัดอั้นมานับหมื่นปีได้ไหว เขารีบวิ่งออกไปจากลิฟต์และตรงไปที่ห้องเบอร์ 1102 ทันที
เมื่อวิ่งมาถึงหน้าประตูห้องที่คุ้นเคย อวี้ฮ่าวหรานสูดหายใจลึกปรับอารมณ์ของตัวเองจากนั้นเขาค่อย ๆ กดกริ่งที่ข้างบานประตู
“ใครคะ?” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านในห้อง
‘นี่มันเสียงของพี่หนิงนี่นา!’ อวี้ฮ่าวหรานคิดขึ้นด้วยใจเต้นระทึก
พี่หนิงคือญาติห่าง ๆ ของภรรยาเขาเอง ก่อนหน้านี้อวี้ฮ่าวหราน และภรรยาของเขาขอให้พี่หนิงคนนี้ช่วยมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับลูกของพวกเขาทั้งคู่ หากผู้หญิงคนนี้ยังอยู่ที่นี่งั้นมันก็หมายความว่าทั้งภรรยาและลูกของเขาก็ยังต้องอยู่ที่นี่ด้วยแน่นอน!
“พี่หนิง นี่ผมเองอวี้ฮ่าวหราน ช่วยเปิดประตูที” อวี้ฮ่าวหรานรีบตะโกนขึ้นอย่างเร่งรีบ
แกร๊ก!
เสียงล็อกของบานประตูถูกปลด จากนั้นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งน่าจะมีอายุราว 30 กว่า ๆ ก็เปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ฮ่าวหราน…”
นี่…เขา ยังไม่ตายงั้นเหรอ?
“นะ นี่เธอหายไปไหนมาตั้ง 3 ปี! ทำไมเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้?”
เมื่อเห็นใบหน้าชัด ๆ ของอวี้ฮ่าวหราน พี่หนิงก็มั่นใจแล้วว่าเขาคืออวี้ฮ่าวหรานตัวจริง แต่เมื่อเธอมองดูสภาพเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งเธอก็แอบบ่นอยู่ในใจว่าผู้ชายคนนี้ไปทำอะไรมากันแน่ ทำไมถึงได้ซกมกขนาดนี้?
“เอ่อ…มันค่อนข้างอธิบายยากน่ะพี่หนิง” อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับด้วยสีหน้าขมขื่น “ว่าแต่เม่ยเม่ยกับถวนถวนอยู่ที่ไหน ทำไมผมถึงไม่ได้ยินเสียงทั้งคู่เลย?”
“คุณผู้หญิง เธอ…เธอไม่เห็นร่างของคุณ เธอก็เลยคิดว่าคุณยังไม่ตาย เธอจึงออกไปตามหาคุณได้ 2 ปีแล้ว” พี่เลี้ยงหนิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสลด
ในเวลาเดียวกัน จู่ ๆ ก็มีเสียงเดินเบา ๆ ที่น่าจะมาจากเด็กตัวเล็ก ๆ เดินออกมาจากห้องนั่งเล่น
เด็กสาวอายุราว 4-5 ขวบคนหนึ่งเดินออกมาดูที่ประตูพร้อมกับตุ๊กตาหมีในอ้อมกอด เธอจ้องอวี้ฮ่าวหรานที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งด้วยสายตาเวทนาพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “คุณลุง คุณลุงหิวงั้นเหรอคะ? ป้าหนิง ๆ พวกเรามีอาหารให้คุณลุงคนนี้บ้างไหม?”
“ถวนถวน…เอ่อ…คือ…คนคนนี้คือพ่อของหนู…” พี่เลี้ยงหนิงค่อย ๆ เดินเข้าไปอุ้มถวนถวน จากนั้นเธอก็เดินกลับมาหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าซับซ้อน
“พ่อ?” สายตาของถวนถวนสับสนเป็นอย่างมาก
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานเมื่อได้ยินเสียงนี้หัวของเขาแทบจะระเบิด
ร่างทั้งร่างของเขากลายเป็นแข็งค้างจากความรู้สึกซับซ้อนมากมายเกินกว่าใครจะจินตนาการได้
เด็กผู้หญิงคนนี้คือคนที่เขาเฝ้าฝันหามาตลอดมากกว่า 3หมื่นปี! ตอนนี้เด็กคนนี้สามารถเดินและพูดได้แล้ว!
ต้องรู้เอาไว้ว่าที่ผ่านมา 3 หมื่นปี ไม่มีสักครั้งที่อวี้ฮ่าวหรานจะหลั่งน้ำตา ไม่ว่าเขาจะเจอกับเหตุการณ์แบบใดแต่ตอนนี้ดวงตาของเขามันกลับแดงก่ำ และน้ำตาก็ค่อย ๆ ไหลออกมาช้า ๆ…
← ตอนก่อน