ตอนที่ 15 ศพอัปยศที่บ้าคลั่ง
หูเฟิงวางเด็กสาวลง ก่อนจะมีสตรีนางหนึ่งร้องไห้กระโจนเข้ามา นางยื่นมืออันสั่นเทาไปสำรวจลมหายใจของเด็กสาวผู้นั้น แต่กลับพบว่าไร้ลมหายใจ จึงร้องไห้จนแทบจะขาดใจในทันที
สัญชาตญาณของหมอที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติกระตุ้นให้ไป๋จื่อวางกะละมังไม้ในมือลง แล้วมุ่งหน้าเข้าไปตรวจสอบสภาพของเด็กสาว
บัดนี้เด็กสาวอยู่ในสภาวะหยุดหายใจชั่วคราวอันเกิดจากการจมน้ำ จำเป็นต้องปั๊มหัวใจ ผายปอดกู้ชีพในทันที ไม่เช่นนั้นก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
นางกล่าวกับสตรีที่กำลังเจ็บปวดอยู่บนร่างของเด็กสาวว่า “รีบหลีกไป ข้าจะช่วยนาง”
สตรีนางนั้นช้อนสายตามองไป๋จื่อทั้งน้ำตา กล่าวด้วยความงุนงง “เจ้าว่าอะไรนะ?”
ไป๋จื่อรู้สึกร้อนใจ น้ำเสียงจึงดูไร้ความอดทนอย่างมาก “ท่านรีบหลีกไป ขืนชักช้าไม่ช่วยอีก ลูกสาวของท่านคงจะไม่มีชีวิตเหลือแล้ว”
อีกฝ่ายมองไป๋จื่ออย่างตะลึงลาน เด็กคนนี้กำลังพูดอะไรกันแน่? อิงจื่อตายไปแล้วแท้ๆ นางกลับบอกว่าช่วยได้อย่างนั้นหรือ?
ไป๋จื่อสนใจการช่วยคน จึงไม่ได้สนใจเรื่องอื่นมากนัก นางออกแรงดันสตรีนางนั้นออกไป ก่อนจะคร่อมระหว่างเอวของเด็กสาว สองมือสอดประสาน แล้วกดลงตรงหน้าอกของอีกฝ่ายอย่างแรง อีกทั้งเปิดริมฝีปากเพื่อผายปอดให้เด็กสาวด้วย
การกระทำนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกตะลึงจนต้องอ้าปากค้าง โดยเฉพาะบิดาของอิงจื่อที่เพิ่งมาถึง เขาโมโหจนจะเข้าไปตีไป๋จื่อ
กำปั้นราวกับก้อนเหล็กเงื้อขึ้นสูง ขณะที่กำลังจะกระแทกถูกพวงแก้มของไป๋จื่อ มือใหญ่ที่มีเต็มไปด้วยผิวหนังแห้งกระด้างก็คว้ากำปั้นบิดาของอิงจื่อเอาไว้
“เจ้าทำอะไร?” บิดาของอิงจื่อตวาดใส่หูเฟิงด้วยความเดือดดาลสุดขีด
หูเฟิงมีสีหน้าเรียบเฉย พลางกวาดสายตามองไป๋จื่อที่ยังคงกดหน้าอกและผายปอดไม่ยอมหยุด แล้วกล่าวเสียงทุ้ม “นางกำลังช่วยลูกสาวของท่านอยู่”
“นางกำลังช่วยด้วยวิธีใด? เห็นชัดๆ ว่านางกำลัง…” บิดาของอิงจื่อพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว
ทว่าเขายังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นอิงจื่อที่เดิมทีใบหน้าไร้ชีวิตชีวาพลันสำลักน้ำออกมาเต็มหน้าไป๋จื่อคำหนึ่ง จากนั้นนางก็ไออย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็สำลักน้ำออกมาไม่หยุดหย่อน…
คนที่ไร้ลมหายใจไปแล้วแท้ๆ แต่บัดนี้กลับมามีชีวิตแล้ว
บิดาและมารดาของอิงจื่อ รวมไปถึงทุกคนที่มุงดูอยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็ตกใจจนอ้าปากค้าง
ที่แท้ไป๋จื่อก็กำลังช่วยคนจริงๆ และไม่ใช่ศพอัปยศที่บ้าคลั่งด้วย…
ในดวงตาของหูเฟิงที่แต่เดิมเคร่งขรึมและอ้างว้าง พลันเปล่งประกายที่ต่างไปจากเดิม ราวกับบนเส้นทางรกชัฏที่มืดมนและไม่เคยมีปลายทาง กลับมีตะเกียงนำทางสว่างจ้าผุดขึ้นมา
เขามองไป๋จื่ออย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากฝูงชนไป
“ฟื้นแล้วจริงๆ หรือ? จื่อยาโถวช่างมีความสามารถเหลือเกิน คนตายไปแล้วแท้ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจะช่วยกลับมาได้”
“แปลกประหลาดยิ่งนัก เด็กสาวไป๋จื่อผู้นี้เมื่อกลางวันก็ตายไปแล้วรอบหนึ่ง แต่กลับมีชีวิตคืนกลับมาอย่างน่าประหลาด ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญหรือ?”
“ไอ้หยา! ไม่ต้องพูดแล้ว เงียบปากเร็ว ข้าฟังแล้วขนลุกไปแล้ว ไปๆๆ รีบไปเถิด นี่ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน”
บิดาและมารดาของอิงจื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น บนใบหน้าของพวกเขาก็ปรากฏความประหลาดใจเช่นกัน แม้กระทั่งคำขอบคุณก็ลืมกล่าวออกมา เพียงแต่รีบร้อนพาอิงจื่อที่เปียกโชกไปทั้งตัวกลับไป เหล่าจีนมุงก็แยกย้ายไปเช่นกัน
ไป๋จื่อหัวเราะเยาะตนเองด้วยความจนใจ ขณะนั้นนางกระตือรือร้นช่วยชีวิตคนไว้ แต่กลับสร้างปัญหาออกมาเสียดาย ช่างน่าขันนัก
นางกลับไปหากะละมังไม้ของตนเอง ก่อนจะนั่งยองๆ ลงซักผ้าที่ริมแม่น้ำ เสียงดังโหวกเหวกเงียบลงแล้ว นอกเสียจากเสียงซักผ้าของนาง ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
…
ทางด้านสกุลไป๋ หญิงชรารู้ว่าจ้าวซื่อพาบุตรสาวไปที่สกุลหูแล้วเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรเสียก็เป็นความคิดของหัวหน้าหมู่บ้าน คงไม่ดีนักหากนางจะออกหน้าขัดขวาง
ทว่าสองวันนี้ที่จ้าวหลานและไป๋จื่อบาดเจ็บ ทั้งคู่ไม่อาจทำงานได้ ไปอยู่สกุลหูแล้วนับว่าประหยัดเสบียงอาหารของที่นี่ได้เสียหลายวัน
……….
ตอนที่ 16 ทำเรื่องวุ่นวาย
ขณะนี้เจ้าใหญ่และเจ้ารองพาบุตรชายของตนเองกลับมาจากที่ดินแล้ว ครั้นรู้เรื่องที่เกิดภายในบ้านวันนี้ สองพี่น้องก็เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง
บุตรชายคนโตแห่งสกุลไป๋ถลึงตามองมารดาและภรรยาด้วยความไม่พอใจ พลางกล่าวด้วยความโมโห “เหตุใดพวกท่านไม่ออมมือสักหน่อย นี่ยังดี ตีจ้าวหลานจนมีสภาพเช่นนั้น แล้วใครจะไปทำงานในทุ่งนาพรุ่งนี้เล่า?” เขาจ้องหลิวซื่อเขม็ง “เจ้าจะไปทำรึ?”
หลิวซื่อรีบโบกมือ “ข้าทำไม่ได้หรอก แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยทำงานในทุ่งนา ข้าทำไม่เป็นหรอก”
เจ้าใหญ่ทอดสายตามองจางซื่อ อีกฝ่ายช้อนสายตามองเขา ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ “คนเก่งเช่นสะใภ้ใหญ่ทำไม่ได้ ข้ายิ่งทำไม่ได้”
จางซื่อมองครอบครัวนี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ ในใจอดยิ้มเยาะไม่ได้ นางอาศัยอยู่ในตระกูลนี้มาสิบกว่าปี เหตุใดจะไม่รู้ว่าบุตรชายคนโตและบุตรชายคนรองของสกุลไป๋มีนิสัยอย่างไร พวกเขาไปที่ดินก็แค่ไปเดินเล่นเสียรอบหนึ่ง เลือกทำงานที่สะอาดและสบาย แถมผู้ชายสี่คน ตัวเล็กและใหญ่ลงงานพร้อมกัน ทว่าผ่านไปทั้งวันกลับทำงานใดไม่เสร็จแม้สักนิด ยังต้องรอจ้าวหลานทำงานในทุ่งนาเสร็จแล้ว ค่อยไปช่วยเก็บกวาดที่ดินต่อ
จ้าวหลานคนเดียวรับผิดชอบที่นาขนาดห้าหมู่ เจ้าใหญ่และเจ้ารองพาบุตรชายสองคนลงต้นกล้าเพียงครึ่งหมู่ ทว่าทำอยู่ทั้งวันก็ยังไม่เสร็จ
สายตาของจางซื่อกวาดมองเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านของบุรุษทั้งสองคน ในใจกล่าวว่าพวกเขากลับมาจากที่ดินเสียที่ไหนกัน เหมือนไปเที่ยวชมสถานที่สวยงามเสียมากกว่า
เจ้ารองถอนใจกล่าวว่า “ท่านแม่ ครั้งนี้ท่านทำเรื่องวุ่นวายแล้วจริงๆ”
หญิงชรามองตาขวาง “วุ่นวายอย่างไร? นางเด็กเจ้าเล่ห์ไป๋จื่อกินอยู่ในบ้านสกุลไป๋ของพวกเรามานานสิบสองปี ข้าไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์จะสั่งสอนนางเลยหรือ? นางเด็กน่าตายนั่น พวกเจ้าไม่เห็น นางถือกระบองไม้ไล่ตีข้ากับสะใภ้ใหญ่ของเจ้า พวกข้าสมควรโดนแล้วหรืออย่างไร?”
เจ้ารองถอนหายใจอีกเสียงหนึ่ง แล้วกล่าวกับผู้เป็นมารดาว่า “ท่านแม่ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น บัดนี้นางถูกตีจนบาดเจ็บแล้ว ที่นาเหล่านั้นของพวกเราต้องมีคนจัดการ จ้าวหลานลงมือทำไม่ได้ เช่นนั้นใครจะทำงานเหล่านั้นเล่า”
“ใครจะทำ? บุรุษอย่างพวกเจ้าสองคนใช้ไม่ได้เรื่องเลยหรืออย่างไร? พวกเจ้าย่อมต้องเป็นคนทำงานเหล่านั้นอยู่แล้ว สกุลอื่นอยากได้ที่นามากมายของสกุลเรายังไม่มีปัญญา หรือว่าพวกเจ้าไม่พอใจ?”
สะใภ้รองจางซื่อพูดแทรกว่า “ท่านแม่ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องงานในทุ่งนาเลยเจ้าค่ะ ผู้ใดจะทำอาหารเย็นวันนี้หรือเจ้าคะ”
แม่สามีมองตาขวางใส่นาง ก่อนจะกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วเจ้าว่าใครจะทำล่ะ? หรือยายแก่อย่างข้าต้องทำให้พวกเจ้ากินหรือ?”
จางซื่อหัวเราะแห้งๆ สองเสียง “ท่านแม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นเจ้าค่ะ วันนี้กะเทาะต้นกล้าทั้งวัน มือของข้าถลอกไปหมดแล้ว ข้าคงจะทำไม่ไหว ให้สะใภ้ใหญ่กับจูเอ๋อร์ทำเถิดเจ้าค่ะ”
ครั้นหลิวซื่อได้ยินคำพูดนี้ นางก็ไม่ยอมในทันที ทั้งยังเท้าเอวพูดอีก “เจ้าบอกว่ากะเทาะต้นกล้าทั้งวันอย่างนั้นหรือ? ข้าเห็นว่าต้นกล้าที่เจ้ากะเทาะออกมาก็ไม่เยอะเท่าไร ทั้งวันเจ้าทำงานเล็กน้อยแค่นี้ จะมือถลอกไปได้อย่างไร? เจ้าเห็นตนเองเป็นสตรีสูงศักดิ์ในเมืองอย่างนั้นรึ?”
ปกติจางซื่อและหลิวซื่อก็ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อหลิวซื่อถากถางเช่นนี้ จางซื่อจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟในทันที “ข้าทำงานเล็กน้อยเช่นนี้ทั้งวันอย่างนั้นหรือ? ไหนสะใภ้ใหญ่อย่างเจ้าพูดสิ ว่าวันนี้เจ้าทำงานอะไรไปบ้าง? ทำกับข้าวหรือว่าซักผ้ากันเล่า? กวาดลานบ้านหรือว่าถอนหญ้าในที่ดินกันเล่า”
หลิวซื่อคิดจนหัวแทบแตก ก็นึกไม่ออกว่าวันนี้ตนทำอะไรไปกันแน่ เหมือนกับว่าทั้งวันนี้นางกับแม่สามีอยากขายไป๋จื่อในราคาสิบตำลึงเงิน แต่น่าเสียดายที่นางเด็กไป๋จื่อได้ยินบทสนทนาของพวกนางหลังจากมื้อกลางวัน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเด็กสาวก็ไม่ยอมตกลง จึงทะเลาะเบาะแว้งกับพวกนาง ผลสุดท้ายนางกับหญิงชราก็ตีไป๋จื่อจนตายทั้งเป็น