ส่วนที่ 1 วิวาห์สลับตัวองค์หญิง ตอนที่ 8 วิวาห์สลับตัวองค์หญิง (8)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

เมื่อออกมาจากห้องลับ ซูหว่านก็ไอหนักมากจนมีหยดเลือดปนออกมาเปื้อนริมฝีปาก ในขณะนั้นแม้จะแต่งหน้าแต่ไม่อาจปกปิดหน้าที่ซีดราวกับคนตายของนางได้ 

 

 

“ท่านพี่!” 

 

 

เสียงซูรุ่ยเต็มไปด้วยความตื่นตกใจอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อเห็นแววตาตื่นของซุรุ่ย ซูหว่านก็รีบจับมือเขาเบาๆ “ไม่เป็นไร ข้าสบายดี” 

 

 

ซูหว่านฝืนยิ้มให้ซูรุ่ย เป็นรอยยิ้มที่ราวกับนางผ่านความเป็นความตายมาแล้ว 

 

 

สุขภาพของซูหว่านทรุดลงมาก ราวกับนางกลับสู่วันเวลาในช่วงที่อาการป่วยของนางหนักเกินเยียวยา ทำให้ซูรุ่ยยิ่งวิตกกังวล ในที่สุดเขาก็ต้องไปบ้านตระกูลซือเพื่อเชิญท่านหมอซือมารักษานาง 

 

 

ไม่ได้พบกันหลายวัน ท่านหมอซือดูซูบผอมลงไปมาก ถึงแม้ซูรุ่ยจะเห็นว่าท่านหมอซือขวางหูขวางตา แต่เพื่อเรื่องสำคัญที่เป็นความเป็นความตายของซูหว่านแล้ว เขาจำต้องเพลาๆ ลงบ้าง 

 

 

ขณะนี้ ภายในห้องที่ตกแต่งอย่างโอ่อ่า มีเพียงซูหว่านกับท่านหมอซือ 

 

 

“ท่านซูบผอมลงไปมาก” 

 

 

ซูหว่านมองท่านหมอซือที่อยู่ข้างเตียงซึ่งพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแหบห้าว ท่านหมอซือนิ่งอึ้งเมื่อเห็นแววตาซูหว่านที่เต็มไปด้วยความปวดร้าวใจ 

 

 

เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้นที่จวนอ๋องเย่ว์ เขารู้ว่าซูหว่านถูกซูรุ่ยพาตัวไปหลังจากนางหมดสติ 

 

 

เขานึกไม่ออกเลยว่าตอนนั้นซูหว่านจะรู้สึกอย่างไร สิ้นหวัง หรือเจ็บปวด เพียงใด? 

 

 

“ทำไมท่านไม่ดูแลตัวเองบ้าง” 

 

 

ท่านหมอซือจับชีพจรของซูหว่านจึงรู้ว่าอาการของนางทรุดลงมาก อาจเป็นเพราะนางไม่ได้กินอาหารดีๆ พักผ่อนไม่เพียงพอ และยังเก็บกดความคับข้องใจเอาไว้ 

 

 

ซูหว่านไม่ตอบคำถามท่านหมอซือ แววตาเขาแสดงความลังเล มองไปยังโต๊ะที่อยู่ไม่ไกล “ท่านหมอซือ บอกข้าหน่อยได้ไหมว่าคนเราอยู่ไปเพื่ออะไร เพื่อตัวเอง เพื่อคนอื่น เพื่อความรัก หรือเพื่ออะไร” 

 

 

“จวิ้นจู่….” 

 

 

“เรียกชื่อข้าเถอะ” 

 

 

ซูหว่านหลบตาและยิ้มน้อยๆ ให้ท่านหมอซือ “ท่านเป็นเพื่อนคนเดียวของข้านะ ตอนข้าเป็นเด็ก สุขภาพไม่ดีจึงแทบไม่ได้ออกไปนอกจวนท่านแม่ทัพเลย หลังจากนั้นเมื่อโตขึ้นข้าก็ได้เข้าวังเพื่อเรียนหนังสือและได้เจอเปี่ยวเกอหลายคน…..” 

 

 

เมื่อเล่าถึงตรงนี้ ซูหว่านก็ลดเสียงต่ำลงเรื่อยๆ “หากย้อนเวลากลับไปได้ จะวิเศษมากเพียงใด ท่านหมอซือ……” 

 

 

ไม่รู้ว่าซูหว่านคิดอะไรอยู่ แต่ทันใดนั้นนางก็ยื่นมือเล็กๆ ที่เย็นและนุ่มนวลไปจับมือใหญ่ๆ ของท่านหมอซือ “ความสามารถทางการแพทย์ของท่านนั้นน่ายกย่อง ไม่ทราบว่า ไม่ทราบว่า…ท่านพอจะช่วยคิดค้นยาที่ทำให้ข้า…รักใครไม่เป็นได้หรือไม่ การรักใครสักคนนั้น…เจ็บปวดเหลือเกิน ข้า…เจ็บปวดจริงๆ” 

 

 

“ซูหว่าน” 

 

 

ท่านหมอซือรู้สึกเจ็บแปลบในใจ อดไม่ได้ที่จะยกแขนขึ้นมาโอบนาง “อย่าทำเช่นนี้เลย โลกนี้กว้างใหญ่นัก ต้องมีใครสักคนที่รักท่านรอท่านอยู่ หากท่านเป็นคนดีจะต้องมีคนมากมายรักท่านแน่นอน ฉะนั้น ท่านต้องมีชีวิตอยู่ และมีชีวิตที่ดี เข้าใจไหม?” 

 

 

“มีชีวิตที่ดี…” 

 

 

ซูหว่านรู้สึกเหนื่อยจึงคู้ตัวอย่างอ่อนแรงอยู่ในอ้อมกอดท่านหมอซือ “ข้าก็ปรารถนาจะมีชีวิตที่ดี แต่เมื่อข้าคิดถึงท่านพี่เปี่ยวเกอที่ใช้ชีวิตรักร่วมกับเยี่ยจือหวา ข้าก็เจ็บปวดใจยิ่งนัก เหตุใดเขาจึงใจร้ายเช่นนี้ เขาบอกว่าไม่รักข้าแล้ว ไม่รักข้าอีกแล้ว แล้วที่ผ่านมาคืออะไร ข้าไม่อาจเข้าข้างตัวเองและหลอกตัวเองได้อีกต่อไป หลายครั้งข้าเคยคิดชั่ว ถ้าสักวันเปี่ยวเกอทิ้งเยี่ยจือหวาไป ข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะปล่อยวางได้ แต่ข้าจะรู้สึกเจ็บปวดน้อยกว่านี้ ท่านหมอซือ ช่วยบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าข้าเป็นคนที่แย่มากเลยใช่ไหม บางทีที่เปี่ยวเกอและเยี่ยจือหวาพูดก็อาจจะถูกว่าข้าเป็นคนใจร้าย” 

 

 

“หามิได้ ท่านผิดแล้ว” 

 

 

ท่านหมอซือกระชับวงแขน “ท่านไม่ใช่คนใจร้าย พวกเขาต่างหาก” 

 

 

พวกเขา… 

 

 

เมื่อได้ยินท่านหมอซือกล่าวเช่นนั้น จากที่ซูหว่านอารมณ์ขึ้นก็ดูเหมือนจะสงบลงมาก นางค่อยๆ หลับตา “ท่านหมอซือ มีใครเคยบอกท่านหรือไม่ว่าอ้อมกอดของท่าน…อบอุ่นเหลือเกิน” 

 

 

ซูหว่านอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของเขาและหลับไปโดยไม่รู้ตัว 

 

 

ท่าทางการนอนหลับของนางดูสงบและหลับลึกจนท่านหมอซือไม่กล้าขยับตัว เขานั่งนิ่งมากและกอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา…… 

 

 

คืนนั้น ลี่ว์จูให้ซูหว่านดื่มยาต้มตามใบสั่งยาใหม่ของท่านหมอซือ ครั้งนี้ยาถูกโรคกับซูหว่านมาก นางดื่มยาจนเกลี้ยง 

 

 

หลังจากดื่มยาแล้ว ลี่ว์จูก็รออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง และดับเทียนเข้านอน 

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงหายใจยาวดังมาจากเตียงของซูหว่าน เมื่อเห็นนายหญิงหลับแล้ว ลี่ว์จูก็โล่งใจและไปพักผ่อนบนเตียงในห้องข้างๆ 

 

 

ยามดึกดื่นค่อนคืนพลันปรากฏเงามืดอยู่ข้างเตียงซูหว่าน 

 

 

เงานี้นั่งลงเงียบๆ ข้างเตียงนาง ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความมืด ดวงตาของเงาที่จ้องมองนางเป็นประกายและเพ่งมองไม่ละสายตา 

 

 

ซูหว่านนอนอยู่บนเตียงไม่รู้สึกตัว ดูเหมือนว่านางจะนอนหลับไม่สนิท นางพลิกตัวเล็กน้อยทำให้ผ้าห่มขยับตามจนเลื่อนลงเผยให้เห็นไหล่นาง คนที่อยู่ข้างเตียงนางขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นดึงผ้าห่ม ดึงแล้วดึงอีกจนคลุมตัวของซูหว่านมิด เขาจึงพอใจและหยุดดึง จากนั้นก็เฝ้ามองนางโดยไม่ละสายตาจนกระทั่งรุ่งสาง… 

 

 

วันต่อมา ซูหว่านเริ่มสดใสขึ้น เพราะได้ “การรักษา” จากท่านหมอซือ นางจึงไม่คิด “ทำร้าย” ตัวเองอีก ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลกันเสียที… 

 

 

เมืองหลวง บ้านตระกูลเยี่ย 

 

 

ในช่วงนี้ สถานการณ์ในบ้านตระกูลเยี่ยย่ำแย่มาก ตอนแรกที่เยี่ยจือหวาได้เป็นพระชายาของท่านอ๋องเย่ว์ บ้านตระกูลเยี่ยน่าจะภาคภูมิใจและมีความสุข แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากเยี่ยจือหวาได้รับแต่งตั้งเป็นพระชายาของอ๋องเย่ว์ ใต้เท้าเยี่ยก็ถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพราะมีคนฟ้องร้อง เขาไม่เพียงถูกตัดเงินเดือนสามเดือน แต่คนอื่นในตระกูลเยี่ยก็ติดร่างแหไปด้วย 

 

 

เสนาบดีแต่ละคนล้วนเป็นตัวก่อปัญหา ลูกของใครใครก็รัก แล้วใครจะกล้าออกหน้าให้ตระกูลเยี่ย 

 

 

ไม่เห็นหรือว่าท่านอ๋องเย่ว์มีใบหน้าเศร้าหมองไม่พูดไม่จา 

 

 

เพราะพระองค์ทรยศต่อซูหว่าน เซวียนหยวนรุ่ยจึงเป็นฝ่ายผิด เดิมทีฮ่องเต้ทรงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นที่ท่านอ๋องเย่ว์แต่งตั้งเยี่ยจือหวาเป็นพระชายา ใครจะรู้ว่าซูรุ่ยจะลุกขึ้นมาเอาคืนบ้าง! 

 

 

ฮ่องเต้ให้เกียรติตระกูลซูอย่างสูงเพราะมารดาของซูรุ่ยและซูหว่านเป็นเชื้อพระวงศ์ สองตระกูลเกี่ยวดองด้วยการสมรสและมีความผูกพันที่ตัดไม่ขาด การสมรสระหว่างซูหว่านและเซวียนหยวนรุ่ยถือเป็นการกระชับความเกี่ยวดองที่มีมาแต่เก่าก่อน แต่ทว่าเยี่ยจือหวามาขัดขวางจนทุกอย่างปั่นป่วนไปหมด 

 

 

ในตอนนี้ฮ่องเต้ทรงลืมไปแล้วว่าพระองค์เป็นผู้ให้ความเห็นชอบในการสมรสครั้งนั้น พระองค์เห็นเซวียนหยวนรุ่ยเป็นพระเอกผู้พ่ายให้กับความสวยของสตรี เขาเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวเหนือสิ่งอื่นใด พระองค์จึงไม่พึงใจในบุตรชายคนโปรดคนนี้ 

 

 

แล้วเซวียนหยวนรุ่ยล่ะ 

 

 

เขาขมขื่นจนพูดไม่ออก หลังจากกำจัดตัวกาลกิณีจอมเจ้าเล่ห์เพทุบายที่เป็นเสี้ยนหนามอย่างเซวียนหยวนชิงไปแล้วและได้พบรักแท้ ก็น่าจะสมหวังในชีวิตแล้ว แต่ซูหว่านมาจากไปกะทันหันและซูรุ่ยก็มาโจมตีเขาอีก ชีวิตของเซวียนหยวนรุ่ยยังวุ่นวายไม่จบ 

 

 

ฮ่องเต้พูดเป็นนัยต่อสาธารณชนว่าให้เขาแต่งตั้งซูหว่านเป็นพระชายาเย่ว์อีกครั้ง และให้เยี่ยจือหวาคืนตำแหน่งพระชายาเย่ว์ให้ซูหว่าน สำหรับข้อเสนอนี้ เซวียนหยวนรุ่ยไม่เห็นด้วย 

 

 

เวลานี้ ตระกูลเยี่ยมีศัตรูรอบด้านจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากจวนอ๋องเย่ว์ เยี่ยจือหวาอยากช่วยแต่ไม่สามารถช่วยได้ เรื่องนี้หนักเกินไปจนทำให้นางล้มป่วย เซวียนหยวนรุ่ยต้องตามท่านหมอซือมาดูอาการของนาง 

 

 

เยี่ยจือหวานอนป่วยอยู่บนเตียง ใบหน้าซีด แสดงให้เห็นว่า ข้าน่าสงสารเหลือเกิน ท่านหมอซือมองนางที่ป่วยและไม่รู้ทำไมจึงคิดถึงซูหว่านขึ้นมาตอนที่นางไม่สบายไอเป็นเลือด ในใจของเขาเกิดความรู้สึกเกลียดชังเยี่ยจือหวาทวีขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“ท่านหมอหลวงซือ ข้าได้ยินว่าท่านไปยังจวนท่านแม่ทัพเมื่อวันก่อน?” 

 

 

แม้จะอยู่ลึกๆ ในใจ นางรู้ว่าซูหว่านและเซวียนหยวนรุ่ยไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว เยี่ยจือหวาไม่รู้ตัวว่านางอยากรู้เรื่องของพวกเขาอย่างใกล้ชิดและทุกความเคลื่อนไหวของซูหว่าน 

 

 

อันที่จริง เยี่ยจือหวาก็เข้าใจความหมายของฮ่องเต้ หากเป็นในอดีต ตราบใดที่นางมีโอกาสอยู่กับเซวียนหยวนรุ่ยนางก็พอใจแล้ว ถึงแม้ชะตาจะไม่ต้องกันและไม่อาจครอบครองเขาได้ก็ไม่เป็นไร 

 

 

แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ตอนนี้นางคือพระชายาเย่ว์และเป็นภรรยาที่ชอบธรรมของเซวียนหยวนรุ่ย พวกเขารักกันอย่างหวานชื่นดื่มด่ำ และเมื่อลองลิ้มชิมรสความสุขมากเกินไป นางก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจ เซวียนหยวนรุ่ยเป็นของนาง เหตุใดจึงต้องยกให้ซูหว่าน? 

 

 

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าซูหว่านกำลังจะตาย คนที่กำลังจะเผชิญกับความตายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ ทำไมจึงยังอยากแย่งสามีที่รักไปจากนาง 

 

 

ขณะนี้แม้เยี่ยจือหวาจะอ่อนแอ แต่ท่านหมอซือยังสังเกตเห็นนางจ้องมองแปลกๆ  

 

 

ขณะพึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ท่านหมอซือถอนใจเฮือก “เฮ้อ ข้าแค่ไปตรวจดูอาการของจวิ้นจู่ สุขภาพของนาง…..” 

 

 

“ซูจวิ้นจู่ เป็นอะไรหรือ” 

 

 

ดวงตาเยี่ยจือหวาส่องประกายวาบในขณะที่จ้องหน้าท่านหมอซือ 

 

 

“อาการป่วยของจวิ้นจู่นั้นเกินจะเยียวยา นางนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน…” เมื่อพูดถึงนาง ท่านหมอซือแสดงความท้อแท้สิ้นหวังและมีสีหน้าที่โศกเศร้า “นางต้องอยู่…..อย่างเจ็บปวดมาก” 

 

 

บางทีอาจเป็นเพราะพอเขานึกถึงวันนั้น นางที่ดูโศกเศร้าทุกข์ทรมานอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดเขา น้ำเสียงท่านหมอซือจึงเจือความเศร้าโศกโดยไม่รู้ตัว 

 

 

ในทางกลับกัน เยี่ยจือหวาไม่ได้สนใจว่าท่านหมอซือจะอารมณ์เสีย นางสนใจเพียงสองคำคือ “อาการป่วยที่เกินจะเยียวยา” และซูหว่านจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน 

 

 

“จวิ้นจู่ผู้น่าสงสาร” 

 

 

เยี่ยจือหวามองท่านหมอซืออย่างอ่อนโยน “ข้าแค่เป็นหวัดธรรมดายังรู้สึกไม่สบาย แต่จวิ้นจู่ป่วยหนักอาจรู้สึกอยากตายมากกว่าอยู่ ตอนที่ข้าคิดว่านางทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วย ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ แทนที่จะต้องทรมานจากโรค บางที …..การจากไปอย่างสงบอาจเป็นวิธีที่ทำให้นางสบายที่สุด” 

 

 

เยี่ยจือหวาพูดไปพลางก็มองดูว่าท่านหมอซือมีการตอบสนองอย่างไร 

 

 

เยี่ยจือหวามีชื่อเสียงในนามนักปราชญ์ที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์ นางรู้สึกว่าตัวเองฉลาดล้ำ โดยเฉพาะเมื่อนางกลับชาติมาเกิดใหม่ การชอบวางแผนทำให้นางรู้สึกว่าตนเองอยู่เหนือผู้อื่น 

 

 

ตั้งแต่ครั้งแรกที่ท่านหมอซือมารักษาอาการป่วยให้นางที่จวนอ๋อง เยี่ยจือหวาก็เห็นว่าท่านหมอหลวงซือเป็นคนใจอ่อนและชอบพอนางอยู่บ้าง 

 

 

หากนางรีบฉวยโอกาสกับความรู้สึกนี้ของเขา… 

 

 

กล่าวได้ว่าเยี่ยจือหวาเป็นคนฉาดและเจ้าเล่ห์ ยิ่งนางกลับชาติมาเกิดนางยิ่งเข้าใจดีว่าจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้วและตำแหน่งของนางให้เต็มที่ได้อย่างไร 

 

 

แต่โชคไม่ดีที่ตอนนี้นางใช้มันผิดเวลา 

 

 

เมื่อได้ยินเยี่ยจือหวากล่าวเช่นนั้น แววตาท่านหมอซือกลับเย็นชาใบหน้าเคร่งขรึม “พระชายาไม่อยากให้จวิ้นจู่เจ็บปวด ช่างมีใจประเสริฐนัก แต่….แม้แต่มดยังอยากมีชีวิตอยู่ จวิ้นจู่อาจมีชีวิตอยู่โดยต้องทนกับความเจ็บปวดแต่ไม่ได้หมายความว่าตายจะดีกว่า ข้าเป็นหมอ รู้แต่เพียงว่าต้องรักษาคนไข้ทุกคนอย่างเต็มที่” 

 

 

เมื่อได้ยินท่านหมอซือกล่าวเช่นนั้น เยี่ยจือหวาก็ตกตะลึง นางคลายการจ้องเขม็ง “ที่ท่านหมอหลวงซือพูดนั้นมีเหตุผล ข้าแค่….แค่รู้สึกเสียใจกับจวิ้นจู่มากไปหน่อย ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น” 

 

 

ยิ่งนางแสร้งทำเป็นเป็นห่วง ท่านหมอซือยิ่งเย็นชากับนาง 

 

 

เห็นอกเห็นใจ 

 

 

หรือมุ่งร้ายกันแน่? 

 

 

ท่านหมอซือคิดถึงที่ซูหว่านพูดวันนั้น นางไม่เคยซ่อนความคิดที่ขมขื่นเอาไว้ในใจ แม้นางจะคิดร้าย แต่ก็พูดออกมาหมดไม่ปิดบัง 

 

 

มนุษย์ปุถุชน ใครเล่าจะละได้ซึ่งความเห็นแก่ตัวและกิเลส 

 

 

อันที่จริงท่านหมอซือก็มีความเห็นแก่ตัวแต่ไม่ได้พูดออกมา เขาปิดบังไว้ได้ดีจนไม่มีใครค้นพบ ก็เท่านั้นเอง….