ภาคที่ 1 ตอนที่ 6 ไปยังเขาโบราณ

มรรคาสู่สวรรค์

ตอนที่ 6 ไปยังเขาโบราณ Ink Stone_Fantasy

นักพรตวัยกลางคนผู้นั้นนามอาจารย์หลี่ว์ มาจากยอดเขาซั่งเต๋อซึ่งเป็นยอดเขาที่สามของชิงซาน ตอนนี้สภาวะของเขาอยู่ในขั้นสามความนึกคิดบริบูรณ์ เนื่องจากความพยายามที่จะเข้าไปถึงขั้นมิประจักษ์สองครั้งก่อนหน้าไม่ประสบความสำเร็จ จึงจำต้องหยุดความพยายามที่จะเข้าไปถึงขั้นนั้นไว้ก่อน ตอนนี้รับหน้าที่เป็นอาจารย์ของศาลาหนานซง รับผิดชอบดูแลศิษย์นอกสำนักที่เข้ามาใหม่

ด้วยสถานะของเขา เดิมเขาไม่มีความจำเป็นต้องออกมาหาลูกศิษย์ด้วยตัวเอง แต่หลายปีมานี้คุณภาพของศิษย์ในศาลาหนานซงล้วนแต่ธรรมดาอย่างมาก มิอาจเทียบกับศิษย์จากส่วนอื่นได้ นี่ทำให้เขารู้สึกกดดันยิ่งนัก

ตอนนี้เขามิได้หวังจะสร้างชื่อเสียงอะไร เพียงหวังว่าตนจะสามารถฟูมฟักศิษย์ดีๆ ได้สักหลายคน หรือไม่ก็ได้รับยาวิเศษจากอาจารย์ แล้วสุดท้ายค่อยพยายามบำเพ็ญให้ถึงขั้นมิประจักษ์อีกครา

ในตอนที่เขาได้ยินข่าวคราวจากที่ไหนซักแห่งในยอดเขาที่เก้าว่าในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลแห่งนี้มีสิ่งที่ควรแก่การที่เขาจะแวะมาชม เขาจึงรีบรุดมาโดยเร็ว

เขาซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ คอยจับตาดูเด็กชายอายุสิบกว่าขวบคนนั้น ก่อนจะพบว่าข่าวคราวที่ได้ยินมามิผิด แม้นจะคอยจับตาดูอยู่ห่างๆ ก็ยังสัมผัสได้ถึงพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมของอีกฝ่าย

ในตอนที่ใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่กวาดออกไป เขายิ่งรู้สึกยินดีมากขึ้นกว่าเดิม — เด็กคนนั้นคือเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด!

เพชรเม็ดงามเช่นนี้ อย่าว่าแต่บริเวณรอบเขาชิงซานเลย แม้นจะเป็นเมืองที่มีความเฟื่องฟูเหล่านั้น หรือกระทั่งเมืองเจาเกอ เกรงว่าต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะมีคนเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาสักคน อาจารย์หลี่ว์ไหนเลยจะมัวคิดถึงว่าจะทำเด็กชายคนนั้นตกใจหรือไม่ เขาปรากฏกายออกมาจากความมืด แต่ยังมิทันที่จะเอ่ยปากกล่าววาจาใดออกมา เขาพลันถูกอีกเรื่องหนึ่งดึงดูดความสนใจเอาไว้

เด็กชายคนนั้นตกใจ จึงไปหลบอยู่หลังบุรุษหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่ง

เหตุที่เขาเกิดความรู้สึกระวังตัวขึ้นมา ก็เพราะในตอนที่เขาสังเกตดูเด็กชายจากระยะไกล เขาหาได้สังเกตเห็นบุรุษหนุ่มผู้นี้ไม่

อีกฝ่ายนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างบ่อน้ำ

จิตจำแนกแห่งกระบี่ของเขาลอยไปตกบนตัวบุรุษหนุ่มชุดขาวผู้นั้นในทันที แต่เขากลับพบว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้บำเพ็ญพรตมา ในร่างกายหาได้มีเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋า นี่ทำให้เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย

ทว่าในตอนที่สายตาของเขามองไปยังใบหน้าของบุรุษหนุ่มชุดขาว เขายิ่งรู้สึกตกใจกว่าเดิม

เขาอยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมาหลายปี แต่ยังไม่เคยพบพานบุรุษคนไหนที่มีใบหน้างดงามเช่นนี้มาก่อน

อย่าว่าแต่ลูกหลานของตระกูลขุนนางชั้นสูงในเมืองเจาเกอเหล่านั้นเลย แม้นจะเป็นเหล่าศิษย์น้องหญิงบนยอดเขาชิงหรง หรือเหล่าศิษย์หญิงมีชื่อเสียงเรื่องความงดงามในสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยก็ยังไม่อาจเทียบกับใบหน้านี้ได้

แต่ไหนแต่ไรมา โลกแห่งการบำเพ็ญพรตเชื่อในหลักเหตุผลข้อหนึ่ง นั่นคือ ‘ผู้ที่ยอดเยี่ยมนั้นไม่ธรรมดา’

ไม่ว่าจะสูงต่ำอ้วนผอมหรือรูปลักษณ์ภายนอกเป็นเช่นไร ขอเพียงมีความพิเศษมากพอ คนผู้นั้นจะต้องมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากคนปกติทั่วไปแน่

กล่าวให้เข้าใจง่ายกว่านั้นก็คือ ‘เมื่อเรื่องราวผิดปกติ นั่นจะต้องมีอะไรที่แปลกอยู่แน่นอน’

ซึ่งคำว่างดงามนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ได้รับการยกย่องสรรเสริญจากผู้บำเพ็ญเพียรมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นต้นสนที่ขึ้นอยู่ตรงหน้าผาหรือกระบี่บินที่เหมือนลำแสง ขอเพียงงดงาม มันจะต้องแฝงเอาไว้ด้วยความไม่ธรรมดาเป็นแน่แท้

เมื่อเห็นใบหน้าอันงดงามของบุรุษหนุ่มชุดขาว ไหนเลยอาจารย์หลี่ว์จะไม่เกิดความประทับใจ เมื่อใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่ทำการตรวจสอบดูอีกครา ก็พบว่าใจแห่งเต๋าของเขานั้นยังเยาว์วัยอยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าเลย

บุรุษหนุ่มชุดขาวอายุเยอะกว่าเด็กชาย ทว่าใจแห่งเต๋ากลับไม่อาจเทียบกันได้ พรสวรรค์แลสติปัญญาย่อมต้องห่างชั้นกันมาก

อาจารย์หลี่ว์เสียใจเล็กน้อย มิได้สนใจบุรุษหนุ่มผู้นั้นอีก เขามองไปทางหลิ่วสือซุ่ย ถามว่า “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าเป็นใคร?”

หลิ่วสือซุ่ยถูกคนแปลกหน้าที่จู่ๆ พลันปรากฏกายขึ้นมาผู้นี้ทำให้ตกใจอยู่ไม่น้อย เดิมก็มิกล้าที่จะโผล่หน้าออกมาอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้าเอ่ยปากออกไป เขาเพียงแต่กำแขนเสื้อของจิ๋งจิ่วไว้แน่น

จิ๋งจิ่วสังเกตดูเสื้อผ้าเครื่องประดับและกระบี่ที่สะพายอยู่บนหลังของนักพรตผู้นี้ พลันรู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นลูกศิษย์รุ่นที่สาม ระดับขั้นการฝึกปรือยังห่างไกลจากขั้นมิประจักษ์มากนัก เพียงแต่มิรู้อีกฝ่ายนามว่ากระไร

นี่เป็นเรื่องปกติอย่างมาก

ลูกศิษย์ในสำนักและนอกสำนักของชิงซานรวมกันมีนับหลายพัน นอกจากพวกตาแก่ที่อยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อแล้วยังมีเหล่าสตรีสูงวัยบนยอดเขาซีไหลอีก ใครจะสามารถจดจำคนทั้งหมดได้กัน

“ไม่เป็นไร” จิ๋งจิ่วบอก

ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ หลิ่วสือซุ่ยพลันรู้สึกเบาใจขึ้นมาก แต่ยังคงรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย เขายันกายลุกขึ้นมองไปทางนักพรตผู้นั้น ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อยว่า “หรือว่าท่านคือ…”

อาจารย์หลี่ว์กล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า “มิผิด ข้าคือนักพรตจากเขาชิงซาน หรือก็คืออาจารย์เซียนที่ปกติพวกเจ้าขานเรียกกัน”

เมื่อได้ยินคำว่าอาจารย์เซียน หลิ่วสือซุ่ยพลันหันไปมองจิ๋งจิ่วทันที

อาจารย์หลี่ว์นึกว่าเขาประหม่ามากเกินไป จึงยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์หลี่ว์ก็ได้”

หลิ่วสือซุ่ยเอ่ยถามด้วยความประหม่า “อาจารย์หลี่ว์…ท่านมาที่นี่ด้วยเรื่องอันใด?”

“ข้ามาถามเจ้า เจ้ายินดีเข้าสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร และปรารถนาจะมีชีวิตยืนยาวหรือไม่?”

ครั้นได้ยินคำพูดนี้ จิ๋งจิ่วพลันรู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย ภายในใจครุ่นคิด ผ่านมานานหลายปีแต่ก็ยังเป็นคำพูดประโยคนี้อยู่ มิเปลี่ยนไปเลยแม้แต่คำเดียว

หลิ่วสือซุ่ยยืนเหม่อลอยอยู่นานกว่าจะได้สติขึ้นมาใหม่ เขากล่าวอึกอักว่า “…ย่อมต้อง…ยินดีแน่นอน เพียงแต่…”

เด็กชายจากหมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกติไม่มีอะไรน่าสนใจแม้เพียงนิดเดียว ถูกอาจารย์เซียนจากชิงซานให้ความสำคัญแล้วพาตัวไป นี่คือเรื่องราวที่ดีงามที่สุดที่เล่าสืบต่อกันมาภายในหมู่บ้าน เขาฟังเรื่องราวเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ภายในหัวเขามึนงงไปหมด ไหนเลยจะเกิดความคิดคัดค้านได้ เพียงแต่ก็เหมือนกับที่เขาว่ามา เพียงแต่….

เขามองไปทางบ้านของตน บนใบหน้าเยาว์วัยมีความลังเลและความสับสน

อาจารย์หลี่ว์มิเพียงมิโกรธ แต่กลับยิ่งรู้สึกโล่งใจ “แม้นการบำเพ็ญพรตจะมิใช่เรื่องของโลกปุถุชน แต่พวกเราก็หาได้เหมือนหลวงจีนเหล่านั้นไม่ เรายังคงมาเหยียบโลกปุถุชนได้อยู่ ย่อมมิได้ตัดขาดสัมพันธ์ครอบครัวจนไร้ซึ่งเยื่อใย”

หลิ่วสือซุ่ยสับสนเล็กน้อย กล่าวว่า “จริงหรือ?”

อาจารย์หลี่ว์ยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “ประเดี๋ยวข้าย่อมต้องไปพูดคุยกับบิดามารดาของเจ้า ภายหน้าก็ย่อมต้องให้เวลาเจ้าได้กลับบ้านมาเยี่ยมบิดามารดา หากเจ้ามิสามารถเข้าเป็นศิษย์ในสำนักได้ ก็สามารถช่วยเหลือสำนักจัดการเรื่องราวทางโลกต่างๆ ได้ ย่อมไม่มีทางขัดสนเรื่องเงินทองอย่างแน่นอน และจะยิ่งมีเวลาได้กลับมาเยี่ยมบ้านมากขึ้นด้วย หากคิดอยากดูแลหมู่บ้าน ก็ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ…เพียงแต่ ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่มีโอกาสเช่นนั้นหรอก”

เห็นได้ชัดว่าเขาเชื่อมั่นในพรสวรรค์และคุณสมบัติของหลิ่วสือซุ่ยอย่างมาก

หลิ่วสือซุ่ยมองดูจิ๋งจิ่ว

อาจารย์หลี่ว์ประหลาดใจเล็กน้อย

จิ๋งจิ่วลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “อยากไปก็ไป”

หลิ่วสือซุ่ยสีหน้ายินดี กล่าวว่า “ขอรับ คุณชาย”

ความประหลาดใจของอาจารย์หลี่ว์แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตะลึง

ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลเช่นนี้ เหตุไฉนถึงได้มีคุณชายที่รูปงามถึงเพียงนี้ได้?

เขามองดูจิ๋งจิ่ว พลันกล่าวว่า “เจ้าล่ะ? ยินดีตามข้าเข้าสู่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร และปรารถนาจะมีชีวิตยืนยาวหรือไม่?”

……

……

อีกด้านหนึ่งของกำแพง คำพูดแลเสียงร่ำไห้ของสองสามีภรรยาตระกูลหลิ่วดังเล็ดรอดออกมา เพียงแต่พวกเขาจำคำเตือนของอาจารย์เซียนได้ จึงมิกล้าทำให้ในหมู่บ้านแตกตื่น ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามทำให้เสียงเบาที่สุด

จิ๋งจิ่วนั่งอยู่ริมหน้าต่าง สายตาทอดมองดูดวงดาราที่อยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน นิ่งเงียบมิเอ่ยวาจาใจออกมา ไม่รู้กำลังครุ่นคิดเรื่องใดอยู่

รุ่งเช้าพรุ่งนี้อาจารย์หลี่ว์ผู้นั้นจะมาพาหลิ่วสือซุ่ย…และตัวเขาไปยังสำนักชิงซาน

หลิ่วสือซุ่ยเก็บข้าวของ เขาเป็นเด็กที่ขยันขันแข็ง แต่การเก็บข้าวของสัมภาระเช่นนี้ เขาเพิ่งจะเคยทำเป็นครั้งแรก ทว่าสีหน้าสับสนบนใบหน้าเล็กๆ นั้นมิใช่เพราะเหตุนี้ หากแต่เป็นเพราะจิตใจเขากำลังตกตะลึงอย่างรุนแรง สติยังคงเลอะเลือนมิฟื้นคืนมาทั้งหมด บางทีอาจเพราะเหตุนี้ เขาจึงมิได้ครุ่นคิดถึงความเป็นจริงที่ว่าจิ๋งจิ่วมิใช่อาจารย์เซียน

“เพียงเท่านี้ก็เป็นอันใช้ได้งั้นหรือ…”

เด็กชายยังคงพูดติดๆ ขัดๆ เล็กน้อย “อาจารย์เซียนผู้นั้นมิต้องใช้เวลาในการดู… คุณธรรมของข้าหน่อยหรือ?”

จิ๋งจิ่วมองดูท้องฟ้านอกหน้าต่าง กล่าวว่า “นิสัย”

หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “ใช่ คำนี้แหละ”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เรื่องแบบนี้ย่อมต้องดูพรสวรรค์ นิสัยเแปรเปลี่ยนตามกาลเวลา จะดูได้อย่างไร? อีกอย่างหรือเจ้าคิดจริงๆ ว่าการที่เจ้าเป็นคนดีมันจะทำให้เจ้าไร้ศัตรู?”

หลิ่วสือซุ่ยเกาศีรษะ กล่าวว่า “หรือว่าไม่ใช่? ในหนังสือล้วนแต่ว่าไว้เช่นนี้”

จิ๋งจิ่วมิได้หมุนตัวกลับมา กล่าวว่า “แน่นอนว่ามิใช่ ผู้ที่ใจปล่อยวางต่างหากจึงจะไร้ศัตรู”

หลิ่วสือซุ่ยไม่เข้าใจคำพูดประโยคนี้ สายตามองดูแผ่นหลังของเขา ทว่าจู่ๆ ภายในใจพลันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว

……

……

ช่วงเวลาเช้าตรู่ ท้องฟ้าเริ่มสว่างรำไร ดวงอาทิตย์เริ่มเผยกายออกมาจากหมู่ยอดเขาที่อยู่อีกฟาก ไม่รู้เมื่อไรถึงจะลอยขึ้นมา

อาจารย์หลี่ว์มาแล้ว

สามีภรรยาตระกูลหลิ่วมาส่งหลิ่วสือซุ่ยตรงหน้าสวนเรือน พลางเช็ดน้ำตาอย่างเงียบๆ รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย แต่ที่มากกว่านั้นคือดีใจ

เสียงฝีเท้าดังขึ้น จิ๋งจิ่วเดินออกมาจากภายในบ้าน สายลมยามเช้าพัดผ่านชุดสีขาว สองมือของเขาว่างเปล่า มิได้ถืออะไรออกมาด้วย

เมื่อเห็นภาพนี้ สองสามีภรรยาตระกูลหลิ่วอดนึกถึงเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้ขึ้นมาไม่ได้ ในตอนที่เขาเดินเข้ามาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน เขาก็คล้ายจะอยู่ในสภาพเช่นนี้เหมือนกัน

มารดาแซ่หลิ่วมองดูบิดาแซ่หลิ่ว คล้ายจะกล่าวอะไรออกมา แต่ก็หยุดไป

บิดาแซ่หลิ่วใช้สายตาตักเตือนมองดูนาง ก่อนจะกล่าวอย่างเคารพนอบน้อมว่า “คุณชาย ท่านจะเอาอะไรไปใช้ระหว่างทางด้วยหรือไม่? สือซุ่ยแบกไหว”

จิ๋งจิ่วมิได้สนใจ สองมือไพล่หลังก้าวเดินออกไปด้านนอกสวน

อาจารย์หลี่ว์ที่อยู่ด้านนอกสวนมองดูภาพเหตุการณ์นี้ สองคิ้วขมวดเล็กน้อย

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในโอ่งน้ำด้านหลังห้องปีกข้างของบ้าน มียาวิเศษสีเขียวอ่อนครึ่งเม็ดกำลังละลายอย่างช้าๆ จนกระทั่งสลายหายไปในน้ำจนมองไม่เห็นอีก

อาจารย์หลี่ว์พาจิ๋งจิ่วและหลิ่วสือซุ่ยเดินเข้าไปม่านหมอกยามเช้า ก่อนจะหายไปในสายหมอกอย่างรวดเร็ว

สองสามีภรรยาแซ่หลิ่วเดินปาดน้ำตากลับเข้าไปในบ้าน ทันใดนั้นไม่รู้ว่าควรทำอะไร ทั้งคู่ยืนงุนงงอยู่ครู่ จึงเริ่มปัดกวาดภายในบ้านและต้มน้ำทำกับข้าว

ไม่ว่าจะต้มโจ๊กหรือชงชาราคาถูก น้ำที่ใช้ก็ล้วนแต่เป็นน้ำที่อยู่ในโอ่งน้ำ

ในเวลานี้ มารดาแซ่หลิ่วถึงได้พบว่าภายในบ้านมีบางสิ่งหายไป

เก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นไม่อยู่แล้ว

……

……

มิรู้เหตุใด อาจารย์หลี่ว์ถึงไม่ได้เลือกที่จะขี่กระบี่บินกลับมายังสำนักชิงซาน หากแต่ใช้การเดินแทน

หลิ่วสือซุ่ยย่อมคิดไม่ถึงเรื่องเหล่านี้ เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าบนโลกจะมีคนสามารถขี่กระบี่ไปไหนมาไหนได้

ทว่าจิ๋งจิ่วกลับทราบดีว่าศิษย์รุ่นสามของสำนักชิงซานผู้นี้ เวลานี้อยู่ในขั้นสมความนึกคิด ตามหลักแล้วสามารถขี่กระบี่เดินทางไปมาได้อย่างอิสระ แม้นจะพาคนมาด้วยอีกสองคนก็มิเป็นปัญหา

เช่นนี้เหตุใดคนผู้นี้ถึงดึงดันที่จะเดินเท้า? กังวลว่าจะถูกผู้บำเพ็ญเพียรสำนักอื่นเห็นร่องรอยของกระบี่บิน แล้วจะก่อให้เกิดปัญหางั้นหรือ?

จิ๋งจิ่วไม่เข้าใจ ตามความคิดของเขา แม้นจะบอกว่าในตอนนี้ฝีมือของศิษย์สำนักชิงซานแต่ละรุ่นจะด้อยลงไปเรื่อยๆ แต่มันก็ไม่น่าจะแย่ถึงขนาดนี้

หมู่บ้านอยู่ห่างจากประตูสำนักชิงซานอย่างมากก็แค่ร้อยกว่าลี้ หากศิษย์ของสำนักชิงซานยังต้องระมัดระวังขนาดนี้เมื่ออยู่ในที่แบบนี้ เช่นนั้นก็เรียกได้ว่าขี้ขลาดตาขาว

อาจารย์หลี่ว์มิรู้ว่าจิ๋งจิ่วกำลังคิดอันใดอยู่ เขารีบพาบุรุษหนุ่มและเด็กชายเดินไปยังหมู่ยอดเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลหมอกอย่างเงียบๆ และไม่เป็นที่สังเกต

วันที่สาม ทั้งสามเดินออกมาจากทะเลหมอก ภาพเบื้องหน้าพลันเปิดโล่งทันที

ยอดเขาเขียวขจีจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นตรงหน้า บางยอดวิจิตรงดงาม บางยอดสูงชันดูน่ากลัว บางยอดหน้าผาเรียบจนคล้ายกระจก ดูแล้วไม่สามาถปีนป่ายขึ้นไปได้ ทว่าบนยอดเขากลับมีร่องรอยคนอยู่อาศัย

ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานที่เล่าลือกันอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ?

หลิ่วสือซุ่ยอุทานไม่ขาดปาก ทว่าจิ๋งจิ่วกลับไม่แม้แต่จะชายตามอง

ทั้งสามคนเดินไปบนทางที่ปูด้วยแผ่นหินขึ้นไปบนยอดเขา ไม่นานก็มองเห็นประตูหินบานหนึ่ง

ประตูหินดูเรียบง่าย ด้านบนมีตะไคร่น้ำเกาะเต็มไปหมด ดูมีความเก่าแก่ บนแผ่นป้ายด้านบนพอจะมองเห็นตัวหนังสือเขียนว่าศาลาหนานซงอยู่ลางๆ

ที่นี่คือประตูหนานซงของสำนักชิงซาน

เมื่อมองเห็นประตูบานนี้ ใบหน้าอาจารย์หลี่ว์พลันมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ารู้สึกโล่งใจ

ตรงประตูเงียบสงัด เสียงนกในป่าเองก็มิได้ฟังดูน่ารำคาญ

ด้านล่างประตูมีโต๊ะไม้อยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะไม้มีพู่กัน หมึกแลกระดาษวางไว้ ชายหนุ่มสวมชุดสีเทาคนหนึ่งนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ

………………………………………………………………..