ตอนที่ 452 อาจารย์พยุหะแห่งแผ่นดินตะวันตก

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

กิเลนมังกรมองไปรอบๆ ด้วยความวิตก กลัวว่าตึกราม บ้านช่อง และราชวังจะลุกขึ้นมาโลดเต้นอีกครั้ง

แต่เมืองต้นไผ่เงียบสงัด ทั่วทุกแห่งมองไม่เห็นเงาร่างผู้คน เมืองต้นไผ่นั้นน่าจะเป็นเมืองใหญ่อันมีประชากรนับแสน แต่พวกเขาทั้งหมดเหมือนกับจะหายสาบสูญไปในอากาศธาตุ

การที่ทำให้คนทั้งเมืองออกจากบ้านของตนเองไป คนผู้นั้นจะต้องมีอิทธิพลอำนาจอันเกินจินตนาการ

เมืองต้นไผ่โล่งว่าง แต่สำหรับฉินมู่และคณะ เมืองที่ดูคับคั่งเมื่อครู่กลับตายลงไปอย่างฉับพลัน

แต่ยิ่งมันเงียบสงัดมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกสยองขวัญพรั่นพรึงมากเท่านั้น

ทันใดนั้น ทั้งเมืองก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และพื้นดินใต้เท้าของพวกเขาก็นูนโป่งขึ้นมา ตึกราม บ้านช่อง และราชวังก็จมลงไปข้างล่าง และทั้งเมืองต้นไผ่กลับกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า

กิเลนมังกรรีบเหาะเหินขึ้นไปบนอากาศโดยเหยียบเมฆอัคคีขึ้นไป เสียงฉีเอ๋อกำแผงขนคอของเขาเอาไว้แน่น มองลงไปข้างล่างด้วยความกระสับกระส่าย

เมืองข้างล่างมันผ่าแยกออก และหินจัตุรัสก็ยกตัวขึ้นมาจากพื้น พวกมันซ้อนทับกันชั้นแล้วชั้นเล่าก่อตัวเป็นแท่งเสาจัตุรัสอันสูงเสียดฟ้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ภายในชั่วอึดใจเดียว ป่าดงแท่งเสาจัตุรัสก็ปรากฏห้อมล้อมฉินมู่และคณะเอาไว้!

พวกเขากลายเป็นเล็กกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับสภาพโดยรอบ

เสาพวกนี้จริงๆ แล้วกำลังเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว แต่ความเปลี่ยนแปลงในกระบวนพยุหะถูกซ่อนเอาไว้ ทุกครั้งที่เสาเคลื่อนขยับ พวกมันก็จะสูงขึ้น หรือไม่ก็หดสั้นลง หินจัตุรัสก็จะเคลื่อนที่แนวขนานหรือไม่ก็แนวตั้ง เข้าไปประกอบกับเสาแท่งอื่น

และยังมีเสาพาดขวางที่ห้อยลงมาจากเสาต้นอื่นๆ เหมือนกับคาน แต่ความยาวของคานพวกนั้นก็เปลี่ยนแปรไปตลอดเวลา บางครั้งมันก็หดสั้น บางครั้งมันก็ยืดยาว บางทีก็ดูเหมือนจะมีเส้นทางเดินข้างหน้ากลุ่มฉินมู่ แต่ในเสี้ยววินาทีถัดมา เสาหินพวกนั้นก็จะมาเชื่อมต่อเข้าด้วยกันกลายเป็นกำแพงตัน

เมืองต้นไผ่ดูจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง แต่มันแตกต่างไปจากเมืองที่ไล่กัดกินทุกสิ่งเมื่อครู่อย่างลิบลับ ตอนนี้มันดูเหมือนห้วงอวกาศสามมิติที่เปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลา

ก่อนหน้านี้ เมืองต้นไม่เป็นวัตถุใหญ่มหึมาที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง และดูอันตรายร้ายกาจ แต่ก็กลายเป็นเพียงแค่หมาเห่าแต่ไม่กัด ไม่มีภัยคุกคามร้ายแรงอะไร แต่ทว่า หลังจากที่มันกลายเป็นพื้นที่สามมิติ และเริ่มจะเคลื่อนไหวไปในแบบแผนของพยุหะ อันตรายของมันก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดด!

ผนังทั้งหกด้านของจัตุรัสได้ตราประทับได้ด้วยรอยอักษรรูนต่างๆ กัน แม้ว่าหินพวกนั้นจะหมุนปรับสลับเปลี่ยนไปมา แต่อักษรรูนก็จะยังเชื่อมต่อกันเป็นวงจรอย่างสมบูรณ์แบบกับก้อนอื่นๆ ที่อยู่ติดกัน

และที่ประหลาดที่สุด การประกอบเข้ากันใหม่ไปมาของหินสี่เหลี่ยมเหล่านั้นก็เป็นเพียงภาพภายนอกเท่านั้น ภัยซ่อนเร้นที่แท้จริงแฝงอยู่ในอักษรรูนที่แยกออกและต่อเข้าด้วยกันใหม่เหล่านั้น

การจัดเรียงแบบแผนอักษรรูนที่แตกต่างกันก็ย่อมหมายถึงกระบวนพยุหะที่ต่างกัน ในเมืองนี้มีก้อนหินมากมายนับไม่ถ้วน และอักษรรูนบนหินแต่ละก้อนก็ไม่ซ้ำกัน ดังนั้นจึงมีวิธีการไม่จำกัดในการประกอบพวกมัน และการเปลี่ยนแปลงในพยุหะก็จะไร้ที่สิ้นสุด!

ฉินมู่มองทะลุมันโดยพลัน หากว่าพวกเขานั่งนิ่งอยู่กับที่ข้างใน แทนที่จะเคลื่อนไหว พวกเขาก็จะไม่กระตุ้นการทำงานของพยุหะ แต่ว่าเมื่อใดที่พวกเขากระดุกกระดิกแม้สักน้อย พลานุภาพในกระบวนพยุหะพวกนี้ก็จะกระตุ้นเร้าขึ้นมา!

ทักษะเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตก น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ! ฉินมู่อุทานด้วยความชื่นชมอยู่ในใจ ทักษะเทวะของแผ่นดินตะวันตกอาจจะไม่เน้นพลังทำลายล้างแบบสันตินิรันดร์ แต่ความพิลึกพิสดารของมันและความไพศาลของมันทำให้เขานับถือชื่นชมอย่างเป็นที่สุด!

เขาได้เรียนวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ แต่เขามิเคยได้ทุ่มเทกายใจเข้าไปสำรวจมันอย่างลึกซึ้ง แต่ทว่าในบัดนี้ เมืองต้นไผ่ได้เผยให้เขาเห็นภูมิปัญญาของผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนไร้ประมาณในแผ่นดินตะวันตก

พื้นที่ว่างเริ่มเล็กลงๆ ทุกที มันบีบอัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และหากว่าเมืองนี้ยังทำเช่นนี้ต่อไป มันก็อาจจะกลายเป็นลูกบาศก์สามมิติขนาดใหญ่ หากฉินมู่ เสียงฉีเอ๋อ และกิเลนมังกรฝ่าออกไปไม่ได้ พวกเขาก็จะถูกบีบจนแหลกเละข้างใน

กิเลนมังกรก็สามารถมองเห็นความน่าสะพรึงกลัวของเมืองต้นไผ่ และรีบเริ่มลงมือคำนวณเส้นทางรอดชีวิตทันที ในเมื่อพวกเขากำลังเผชิญกับพยุหะค่ายกล มันก็จะต้องมีแบบแผนกระบวนการที่แน่นอน และในแบบแผนกระบวนการนั้นก็จะมีหนทางรอด

การเปลี่ยนแปลงแห่งเมืองต้นไผ่อยู่บนการเปลี่ยนตำแหน่งของก้อนหิน ดังนั้นนั่นคือจุดเดียวที่คณะเดินทางจะเสาะหาทางรอดได้

แต่ทว่าการไขพยุหะนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ เส้นทางที่ดูเหมือนว่าจะใช้หลบหนีได้ ในไม่ช้าก็ปรากฏว่าเป็นทางตัน หากว่าคณะหนีไปในเส้นทางนั้น พวกเขาก็จะมีแต่ต้องตกตายอย่างน่าสังเวช!

“กรงลูกบาศก์แห่งเมืองต้นไผ่ บรรจุไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงเชิงพีชคณิตที่ซับซ้อนอย่างสุดขั้ว!”

กิเลนมังกรมองไปรอบๆ และลูกตาเขาก็กลอกไปมาราวกับโคมไฟกระดาษหมุน ระหว่างที่เขาพยายามคำนวณการเคลื่อนไหวของลูกบาศก์ทุกลูกในพยุหะใหญ่มหึมานี้ ไม่นานนักเขาก็น้ำลายฟูมปากจากความเหนื่อยล้า เขารีบกล่าวทันที “หากว่าข้ามีเวลามากพอ ข้าก็จะสามารถคำนวณเส้นทางหลบหนีเอาชีวิตรอดได้! แต่ทว่า ข้าเกรงว่าก่อนที่ข้าจะคำนวณสำเร็จ พวกเราก็คงจะถูกบีบเค้นจนตายไปเสียก่อน! จ้าวลัทธิ ท่านมีวิธีการคำนวณทางออกหรือไม่”

ฉินมู่ประกายตาวูบวาบ และเขากล่าวด้วยความยินดี “จู่ๆ ข้าก็มีความคิดดีๆ ใช้จัดการกับซิงอ้าน! หากว่าแขนขาของเขาถูกปลุกให้เป็นพรายวิญญาณ ไม่ใช่ว่ามันจะหลุดพ้นการควบคุมหรอกหรือ นี่จะทำให้สังหารเขาได้ง่ายดายยิ่งขึ้น!”

กิเลนมังกรทั้งว้าวุ่นทั้งคลั่งใจ “จ้าวลัทธิ พวกเราจะตายกันอยู่แล้ว แต่ท่านยังมีเวลาคิดเรื่องแบบนี้อีกหรือ”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “บุคคลที่ควบคุมเมืองต้นไผ่มีความสำเร็จเชิงพีชคณิตอันสูงส่ง และไม่ด้อยไปกว่าข้า หากว่านี่เป็นการสู้อย่างยุติธรรมซึ่งๆ หน้า ข้าก็สามารถเอาชนะเขาได้ แต่ในเมื่อเขาวางแผนร้ายใส่ข้าและชิงลงมือก่อนในโอกาสอันดี มันก็ยากที่ข้าจะไขพยุหะนี้ออกไปได้ ในเวลาที่ข้าไขปัญหาออก พวกเราก็คงจะเละเป็นมะเขือเทศคั้นไปแล้ว”

กิเลนมังกรสิ้นหวัง แต่ฉินมู่ดูไม่เหมือนจะสิ้นหวังตามไปด้วย เขาตะโกนออกไปทันที “ศิษย์พี่อวี้ ไม่เจอกันนานเลยนะ เจ้าไม่คิดจะสนทนากันหน่อยหรือ ก่อนที่ข้าจะตายน่ะ”

“ข้าไม่คิด ข้ากลัวว่าถ้าข้าพูดมากเกินไปจะตายเสียเอง” ฉินมู่บอกไม่ถูกว่าเสียงของอวี้ป๋อชวนดังมาจากที่ไหน แต่น้ำเสียงนั้นดูกระหยิ่มใจอย่างปิดไม่มิด “เมื่อรับมือกับบุคคลเช่นจ้าวลัทธิฉิน ทางที่ดีที่สุดคือรีบส่งท่านให้ไปตายโดยไว ข้าไม่อาจเสี่ยงให้ท่านตายช้าไปแม้อึดใจเดียว มีแต่จ้าวลัทธิฉินที่ตายแล้ว ถึงจะเป็นจ้าวลัทธิฉินที่ผู้คนสามารถไว้วางใจ”

ฉินมู่สีหน้ามืดคล้ำเหมือนก้อนถ่าน

“แต่พี่ฉินไม่ต้องกังวลไป หากว่าข้าพบศพของเจ้า ข้าก็จะนั่งลงและบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับข้าให้เจ้าฟังอย่างแน่นอน” อวี้ป๋อชวนหัวเราะด้วยความรื่นเริง “น้องชายผู้นี้มีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือข้าจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปลิดชีวิตศัตรูเมื่อข้าสู้กับพวกเขา มีก็แต่เมื่อศัตรูตายไปแล้ว ข้าถึงจะเริ่มพูดคุยเจรจา และมีบทสนทนาอันสนุกสนานกับศพของพวกเขา บอกเล่าว่าทำไมพวกเขาถึงพ่ายแพ้ให้แก่ข้า ข้าคงยกเว้นให้จ้าวลัทธิฉินเป็นกรณีพิเศษไม่ได้หรอก”

ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “เป็นนิสัยที่ดีอะไรอย่างนี้ ข้าถูกกักเอาไว้ข้างในและถูกลิขิตไว้ว่าจะต้องตายในเงื้อมมือของเจ้าเป็นแน่ กระนั้นเจ้าก็ยังคงระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง นับว่าเป็นศัตรูอันมหัศจรรย์จริงๆ นี่สินะที่เรียกว่าได้พบกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ข้าอยากจะวาดภาพให้เจ้าเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงมิตรภาพอันก่อเกิดขึ้นมาจากการชื่นชมพรสวรรค์ซึ่งกันและกัน”

ความเคลื่อนไหวของกำแพงหินยิ่งเข้มข้นมากขึ้นทุกที และกรงลูกบาศก์อันก่อขึ้นมาจากเมืองต้นไผ่ก็แปรเปลี่ยนไปไวยิ่งยวด แต่ละการเคลื่อนไหวของมันอัดแน่นไปด้วยโครงสร้างคณิตศาสตร์อันลึกล้ำ

พวกมันกลายเป็นโครงสร้างพยุหะ และหินลูกบาศก์ที่ชั้นนอกก็ไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป ในเมื่อพวกมันกลายเป็นพยุหะสังหารไปเรียบร้อยแล้ว กักขังผู้ที่อยู่ข้างใน ไม่นานนัก ลูกบาศก์หินที่ชั้นในก็เริ่มหยุดเคลื่อนไหว กลายเป็นพยุหะสังหารเช่นเดียวกัน

เมื่อแต่ละชั้นห่อหุ้มแต่ละชั้น มันก็ยิ่งทำให้ทั้งสามคนยากที่จะหลบหนีมากขึ้นไปทุกที เมื่อพยุหะสังหารสุดท้ายถูกจัดวางลง ก็ไม่มีเส้นทางหนีอีกต่อไป

หากว่าฉินมู่และพรรคพวกขยับ พวกเขาก็จะตาย หากว่าพวกเขาไม่ขยับ พวกเขาก็จะตายอยู่ดี

ฉินมู่เลือกที่จะยืนนิ่ง เขายกพู่กันขึ้นมาและสาดหมึกจำนวนหนึ่ง จากนั้นเริ่มต้นวาดภาพด้วยพู่กันที่ตวัดไปอย่างรวดเร็ว

เสาหินเริ่มขยับเข้ามาใกล้พวกเขา และกระบวนพยุหะก็แปรเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในท้ายที่สุด พวกมันก็มาถึงจุดที่พวกเขาอยู่

เมื่อมันวิวัฒน์ไปจนถึงขั้นสุดท้าย มันก็กลายเป็นกำแพงหกด้านที่บีบอัดเข้ามายังใจกลาง กำแพงหินหกด้านนี้กดดันไปข้างหน้าด้วยเสียงตูมกัมปนาท

ท้ายที่สุด กำแพงทั้งหกด้านก็มาบรรจบกันและพลานุภาพอันเกินจะหยั่งก็พวยพุ่งออกมา วงจรพยุหะในลูกบาศก์ชั้นนอกกระตุ้นการทำงาน และอักษรรูนบนลูกบาศก์จำนวนนับไม่ถ้วนก็เปล่งแสงจ้า ส่งพลังให้ผนังทั้งหกด้านมีกำลังบดขยี้อันน่าสะพรึงกลัว ลูกบาศก์เมืองต้นไผ่ทั้งลูกสั่นสะท้านจากการกระแทกชน!

การกระแทกระดับนี้ต่อให้ยอดยุทธขั้นสะพานเทวะก็ยากจะรอดชีวิตมาได้ อย่าว่าแต่พวกอย่างฉินมู่และกิเลนมังกร!

“เยี่ยมมาก วิเศษจริงๆ!” อวี้ป๋อชวนปรบมือและหัวเราะร่า “อาจารย์พยุหะสมกับเป็นอาจารย์พยุหะ กระบวนพยุหะนี้นับว่าไร้เปรียบปานในโลกหล้า และไม่มีใครทัดเทียมได้ แม้ว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าจะเต็มไปด้วยเล่ห์กล แต่เขาก็จนปัญญาเมื่อเผชิญกับกระบวนพยุหะของอาจารย์พยุหะ เขาตายก็คงตายตาหลับ”

เสียงของสตรีนางหนึ่งตอบเขาอย่างชืดชา “คุณชายอวี้ชมข้าเกินไปแล้ว  ข้าได้ยินว่าจ้าวลัทธิฉินผู้นี้ครั้งหนึ่งเคยต่อสู้กับอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่ ผู้มีสายตาสูงส่งเหนือศีรษะแต่ก็พ่ายแพ้ให้แก่เขา นี่แสดงว่ามีบางอย่างที่เหนือธรรมดาในตัวเขา แต่เขามุ่งใส่ใจในเรื่องพิษมากเกินไป และความสำเร็จเชิงพีชคณิตและพยุหะของเขานั้นด้อยกว่าข้ามาก ดังนั้นข้าจึงสามารถกักขังเขาไว้ได้ จ้าวลัทธิฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอาหัวมาถวายและถูกประหารตายไป”

อวี้ป๋อชวนหัวร่อฮาๆ “เขาคิดว่าเมืองต้นไผ่นั้นมุ่งจะเอาชนะเขาด้วยกำลังเถื่อน ดังนั้นเขาจึงรี่เข้าไปเพื่ออวดโอ้ทักษะวิชาอันน่าประทับใจของเขา แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่ามันจะเป็นเพียงเหยื่อล่อที่อาจารย์พยุหะจัดวางเอาไว้เท่านั้น และลงเอยด้วยการตกเข้าไปในกับดัก อาจารย์พยุหะ อาจารย์พิษ และอาจารย์กระบี่ คือสามสุดยอดอาจารย์แห่งแผ่นดินตะวันตกของพวกเรา พวกเจ้าทั้งหมดล้วนแต่เลิศล้ำเหนือธรรมดา อาจารย์พยุหะ โปรดคลี่คลายกระบวนพยุหะนี้ ข้าอยากจะชมดูภาพวาดที่จ้าวลัทธิฉินหลงเหลือเอาไว้ให้ข้า”

เสียงของกระบี่กระทบกันเคร้งคร้างดังมา และกระบวนพยุหะมหึมาแห่งเมืองต้นไผ่ก็ค่อยๆ คลี่ออกมาด้วยตนเอง ก้อนหินใหญ่มากมายจมหายลงไปในดิน และบ้านเรือนกับราชวังก็ค่อยๆ ยกขึ้นมาจากใต้ดิน ไม่นานนัก เมืองต้นไผ่ก็หวนคืนกลับสู่สภาพเดิม และบนกำแพงจุดที่ฉินมู่และคณะเคยยืนอยู่นั้น มีภาพวาดแผ่นหนึ่งแขวนไว้ที่นั่น

อวี้ป๋อชวนมีรอยยิ้มเกลื่อนหน้าเมื่อเขานั่งรถสมบัติขับตรงไปยังกำแพง ข้างหลังเขาติดสอยห้อยตามด้วยฝูงยอดฝีมือแห่งแผ่นดินตะวันตก และผู้ที่นำพวกเขานั้นเป็นสตรีนางหนึ่ง นางมีรูปโฉมอันบอบบางและงดงาม ในมือของนางมีลูกบาศก์โลหะ

มันแตกออกจากกันกลายเป็นลูกบาศก์โลหะขนาดต่างๆ มันกลิ้งแกรกๆ แล้วก็ประกอบเข้าด้วยกันใหม่

หญิงผู้นี้คืออาจารย์พยุหะเหออีอี อันมีชื่อเสียงกระเดื่องดังร่วมกับอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่และอาจารย์กระบี่ลัวอิ่นอวี้

สามอาจารย์แห่งแผ่นดินตะวันตกล้วนแต่เป็นเด็กสาว และพวกนางก็มีสุดยอดวิชาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ที่ทำให้พวกนางสามารถสถาปนาอิทธิพลอำนาจของตนเอง

อาจารย์พยุหะเหออีอีปกครองเมืองต้นไผ่ และได้มีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะวิชาพยุหะของนางอันไร้ต่อต้านในแผ่นดินตะวันตก ไม่มีใครทัดเทียมนางได้ในวิชาพยุหะ

แม้ว่าตำหนักสวรรค์แท้จะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดินตะวันตก อาจารย์ทั้งสามก็มีจุดแข็งเป็นของตนเอง และมิใช่ผู้ใต้บัญชาของอำนาจใด แต่ทว่า เนื่องมาจากอิทธิพลอำนาจของตำหนักสวรรค์แท้ อาจารย์ทั้งสามก็ยังต้องกริ่งเกรงอยู่สองสามส่วน หากว่าแดนศักดิ์สิทธิ์มีข้อขอร้องใด พวกนางก็จะช่วยเหลือ

ข้างหลังเหออีอีคือยอดฝีมือแห่งเมืองต้นไผ่ พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้นำตระกูลใหญ่มากอิทธิพลในเมืองต้นไผ่ และกำลังฝีมือของพวกเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าผู้คนในเมืองหอมเบ่งบาน การที่สามารถสร้างเขตอิทธิพลอันเป็นอิสระขึ้นมาได้ พวกเขาย่อมไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อย

อวี้ป๋อชวนขับรถสมบัติมายังกำแพงหิน เขาเพ่งพิศดูภาพวาดและเห็นว่าข้างในนั้นมีฉินมู่ กิเลนมังกร และเสียงฉีเอ๋อ พวกเขาดูละเอียดประณีตสมจริง

“แจ่มชัด และมีชีวิตชีวา!” อวี๋ป๋อชวนหน้าบานแฉ่งและหัวเราะให้แก่ศิษย์สาวๆ แห่งตำหนักสวรรค์แท้ “แจ่มชัดและมีชีวิตชีวาอย่างแท้จริง! ภาพวาดของจ้าวลัทธิฉินนั้นล้ำเลิศอย่างไม่น่าเชื่อ หากว่าเขาเอาดีทางขายภาพ เขาก็จะต้องไม่อดตายอย่างแน่นอน! ฮ่าๆๆๆ”

หญิงสาวในรถสมบัติพากันหัวเราะ “น่าเสียดายที่เขาตายไปแล้ว นายน้อย ดูสิ จ้าวลัทธิฉินในภาพวาดยังคงยิ้มอยู่เลย!”

หญิงสาวแห่งตำหนักสวรรค์แท้อีกคนแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ได้ตายในน้ำมือของอาจารย์พยุหะ และได้พบเห็นพยุหะอันไร้ที่ติของนาง นี่คงจะควรค่าแก่การแย้มยิ้มโดยไม่ย้อนเสียใจสินะ”

อวี้ป๋อชวนหัวเราะด้วยเสียงอันดังและเดินออกไปจากรถสมบัติ มือของเขาไพล่หลังเอาไว้พลางเพ่งพิศภาพวาดบนกำแพงหิน จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างไม่รีบร้อน “จ้าวลัทธิฉิน มาคุยกันสักหน่อยปะไร”

“เยี่ยม!” ฉินมู่ในภาพวาดพลันเอี้ยวมองไปรอบๆ พลางยิ้มแฉ่ง “ข้าเองก็กำลังคิดอยากสนทนากับพี่อวี้! กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์–”