ภาคที่ 1 บทที่ 10 ช่วยพูด

มู่หนานจือ

นึกไม่ถึงว่าหลี่เชียนจะเป็นองครักษ์แล้ว

เจียงเซี่ยนแปลกใจมาก

ชาติก่อนนางไม่รู้ว่ามีเรื่องนี้หรือไม่

หากชาติก่อนก็เคยเกิดเรื่องแบบนี้เหมือนกัน แต่หลังเฉาไทเฮาตายตระกูลหลี่กลับไม่ถูกคิดบัญชี เป็นเพราะหลี่เชียนยังไม่ได้เข้าวังก็เกิดเรื่องขึ้นกับเฉาไทเฮาก่อน เรื่องนี้เลยถูกปล่อยทิ้งไป? หรือว่าหลี่ฉางชิงกลัวลูกชายคนโตจะอยู่เป็นตัวประกันที่เมืองหลวง จึงคิดหาทางบอกปัดงานนี้ ทำให้ตระกูลหลี่และหลี่เชียนหนีเคราะห์ร้ายพ้น?

เจียงเซี่ยนอยากรู้มาก

บางทีอาจเป็นเพราะเกลียดคนๆ หนึ่งแล้ว คนๆ นี้ทำอะไรจึงผิดไปหมด

เมื่อก่อนทุกครั้งที่ในราชสำนักหรือในวังเกิดอุบัติเหตุอะไร จ้าวอี้ก็ชอบลากเจียงเซี่ยนไปที่ที่ไม่มีคนและซุบซิบเบาๆ กับนางนานมากแบบนี้ นางมีความสุขที่เพื่อนไว้ใจและได้แบ่งปันกับเพื่อนสนิท แต่เวลานี้นางกลับรู้สึกว่าจ้าวอี้กำลังรังแกนางที่ยังเยาว์วัยไม่รู้ความ และถามถึงเจตนาของเฉาไทเฮากับนาง

นางรำคาญจ้าวอี้นิดหน่อย

ทว่าพอคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเฉาเซวียนที่เคยช่วยนางเยอะมาก นางจึงยังเอ่ยว่า “เรื่องนี้เป็นความคิดของเฉาเซวียนหรือ?”

ชาติก่อนจู่ๆ เฉาไทเฮาก็เสียชีวิตอย่างกะทันหัน ทุกคนต่างเดาว่าจ้าวอี้เป็นคนฆ่าเฉาไทเฮา ขุนนางใหญ่ทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ในราชสำนักและพระญาติทางฝั่งฮองเฮาที่มีความดีความชอบพิเศษต่างนิ่งเงียบ เพื่อสถานการณ์ทางการเมืองและเพื่อเกียรติของฮ่องเต้ ดังนั้นจ้าวอี้จึงไม่อาจฆ่าเฉาเซวียนได้ในทันที จึงคุมตัวเฉาเซวียนไว้ที่จวนเฉิงเอินกงก่อนเป็นการชั่วคราว

เฉาเซวียนอับจนหนทาง จึงขอให้ไป๋ซู่ออกหน้ามาหานางถึงที่นี่ผ่านทางจิ้นอันโหวสามีของไป๋ซู่ เขาอยากให้นางช่วยพูดให้เขาต่อหน้าจ้าวอี้สักหน่อย ขอเพียงไว้ชีวิตเขา จะปลดเป็นสามัญชนหรือเนรเทศไปชายแดนก็ได้ทั้งนั้น

จ้าวอี้อยากแต่งตั้งแม่นมของเขาเป็นฮูหยินเฟิ่งเซิ่ง

เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าไม่เหมาะสม

จ้าวอี้เหมือนค่อนข้างอยากจะแลกเปลี่ยน…เขาปล่อยเฉาเซวียนไป ส่วนนางก็เห็นชอบเรื่องแต่งตั้งแม่นมของเขาเป็นฮูหยินเฟิ่งเซิ่ง

ตอนนั้นไป๋ซู่เพิ่งจะแต่งงานกับจิ้นอันโหว นางอยากให้ไป๋ซู่สร้างบารมีที่ตระกูลไช่ จึงตอบรับคำขอของจ้าวอี้ แล้วทั้งสองคนก็จัดการเรื่องราวอย่างที่รู้ดีอยู่แก่ใจ

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่จ้าวอี้กลับไม่เคยคิดที่จะปล่อยเฉาเซวียนไปเลย

หากไม่ใช่ว่าเขาอายุสั้น เฉาเซวียนก็ตายไปนานแล้ว

ชาตินี้นางไม่คิดที่จะแต่งงานกับจ้าวอี้แล้ว ทว่าเฉาไทเฮาต้องส่งอำนาจคืนให้จ้าวอี้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นเฉาเซวียนก็ขาดคนปกป้องไปเหมือนกัน นางช่วยเฉาเซวียนได้นิดหน่อยก็ช่วยเขาหน่อยแล้วกัน!

แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ จ้าวอี้ได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วตลอด และเอ่ยว่า “เป่าหนิง เฉาเซวียนพูดอะไรกับเจ้าหรือเปล่า? ทำไมจู่ๆ เจ้าก็ช่วยเฉาเซวียนพูดขึ้นมา ถึงเรื่องนี้จะไม่ใช่ความคิดของเฉาเซวียนก็ต้องเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน…”

สีหน้าของเจียงเซี่ยนเต็มไปด้วยความงุนงง พลางเอ่ยว่า “ไทเฮาไม่น่าจะอนุญาตให้เฉาเซวียนรับเงินจากการซื้อขายตำแหน่งบรรดาศักดิ์ของขุนนางกระมัง?”

จ้าวอี้ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว

หลังจากเฉาไทเฮาตาย นางแบกรับชื่อเสียงที่ไม่ดีมากมาย แต่ไม่ว่าทุกคนจะด่าทอนางอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมในการเลือกขุนนางของนางได้

นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมจ้าวอี้จำเป็นต้องหาเหตุผลที่ชอบธรรมถึงจะฆ่าเฉาเซวียนได้ แล้วก็เป็นสาเหตุที่เฉาเซวียนมาช่วยนางได้ในภายหลังเช่นกัน

“จะเป็นเพราะหลี่ฉางชิงนั่นมีอะไรพิเศษมากกว่าหรือเปล่า?” เจียงเซี่ยนที่คิดว่าคนอื่นตายดีกว่าตนเองตาย จึงขายตระกูลหลี่ทันที

“เจ้าหมายถึงแม่ทัพฝูเจี้ยน?” จ้าวอี้ยันข้อศอกลูบคางของตนเองพลางครุ่นคิด “ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนกัน อยู่ไกลขนาดนั้น แถมยังเป็นโจรที่ราชสำนักรับเข้ามาเป็นขุนนาง ใช้งานไม่ได้อย่างสิ้นเชิง…หากไม่เข้าทางเฉาเซวียน ไทเฮายังอยากใช้งานเขาอีกอย่างนั้นหรือ?”

เจียงเซี่ยนได้ยินก็คิดถึงคนๆ หนึ่ง

จ้าวเซี่ยวจิ้งไห่โหว

เวลานี้เขายังไม่ปรากฏตัว

คนที่มีชื่อเสียงคือจ้าวควนพ่อของเขา

เขาสืบสายมาจากอ๋องจิ้งฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้น ต่อมาทำความผิด จึงถูกลดบรรดาศักดิ์ คิดดูแล้วจวนจิ้งไห่โหวก็ตระกูลเดียวกันกับจ้าวอี้และเป็นสายเลือดของราชวงศ์

ตระกูลของพวกเขาตั้งกองทัพรักษาการณ์อยู่ที่ฝูเจี้ยนมาหลายรุ่น ก่อนที่โจรสลัดญี่ปุ่นจะมารุกราน ตระกูลของพวกเขาก็เป็นพระญาติของฮ่องเต้ที่ใช้ชีวิตอย่างไร้เป้าหมายเช่นกัน จนโจรสลัดเข้ามารุกราน ตระกูลของพวกเขาจึงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการใช้กำลังทหารปราบปรามญี่ปุ่น จนกระทั่งจ้าวอี้กุมอำนาจ ราชสำนักก็ควบคุมเขาไม่ได้แล้ว

คิดดูแล้วตอนนั้นจ้าวเซี่ยวก็ลอบวางแผนทำร้ายนางไม่น้อย

ตอนนี้นางหาอะไรให้เขาทำสักหน่อยคงจะไม่ถือว่าเพิ่มภาระให้ใช่หรือไม่?

เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หลายวันก่อนตอนที่หม่อมฉันกลับไปฉลองเทศกาลบ๊ะจ่าง บางทีก็ได้ยินท่านลุงของหม่อมฉันเอ่ยขึ้นมาว่าเวลานี้ทหารเรือของราชสำนักต่างอยู่ในกำมือของจิ้งไห่โหว หลี่ฉางชิงนั่นเป็นโจรที่ราชสำนักรับเข้ามาเป็นขุนนางไม่ใช่หรือ? เขาต้องเป็นคนที่ไม่เชื่อฟังผู้ควบคุมอย่างแน่นอน เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ หลี่ฉางชิงอยู่ที่นั่นก็คงจะไม่ค่อยสบายนักกระมัง? หากเป็นหม่อมฉัน อย่างไรก็ต้องหาโอกาสออกไปเปลี่ยนสถานที่เช่นกัน”

นางยังพูดไม่จบก็เสียใจที่เอ่ยไปเช่นนั้นแล้ว

จะแยกเฉาเซวียนออกมาก็แยกออกมา ทำไมต้องแยกตระกูลหลี่ออกมาด้วย

ความคิดแวบผ่านไป นางปลอบใจตนเองอีกครั้ง ช่างเถอะ ก็ถือว่าเป็นคำขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ ที่นางมอบให้หลี่เชียนสำหรับตอนนั้นที่เขาบุกเข้ามาในพระราชวังต้องห้ามแล้วไม่ทรยศแล้วกัน!

จ้าวอี้ถูกเจียงเซี่ยนยุยงจนเริ่มคิดเรื่องนี้

“เจ้าหมายความว่า” จ้าวอี้ครุ่นคิด “หลี่ฉางชิงอยากโยกย้ายตำแหน่ง เสด็จแม่อยากให้เขาสู้กับจ้าวเซี่ยว…ให้ลูกชายคนโตของหลี่ฉางชิงเป็นขุนนางเล็กๆ ในราชสำนัก เพื่อปลอบใจเขา…ไม่กลัวว่าหลี่ฉางชิงจะดื้อแพ่ง…”

เหอะ!

จ้าวอี้ นี่เป็นวิธีของเจ้าใช่หรือไม่?!

ตระกูลหลี่แค่อยากประจบประแจงเฉาไทเฮาแล้วกลับไปเป็นเจ้าถิ่นที่บ้านเกิดอย่างซานซีเท่านั้น

ทว่าขอเพียงจ้าวอี้รู้ว่าเฉาไทเฮาเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ใช่เฉาเซวียนก็พอแล้ว

“ใครจะรู้เล่า?” เจียงเซี่ยนเอ่ยพลางหัวเราะคิกคัก “ความคิดของไทเฮามักจะเดายากมากเสมอ”

“ต้องเป็นแบบนี้อย่างแน่นอน!” จ้าวอี้เอ่ยอย่างมั่นใจในตนเอง แล้วถามเจียงเซี่ยน “เจ้าว่าข้าย้ายหลี่เชียนไปเป็นองครักษ์ที่วังเฉียนชิงเป็นอย่างไร?”

ถึงแม้เมื่อก่อนจ้าวอี้จะทำตัวเหมือนเด็กที่ถูกตามใจจนเสียคนต่อหน้าเฉาไทเฮา แต่กลับไม่กล้าเลื่อยขาเก้าอี้เฉาไทเฮาและใช้คนของนาง

ตอนนี้กล้าแย่งคนกับเฉาไทเฮาแล้ว!

พอจ้าวอี้พูดออกมา เจียงเซี่ยนก็รู้สึกได้ทันทีว่าจ้าวอี้ในเวลานี้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะโค่นล้มเฉาไทเฮาและสู้กับเฉาไทเฮาจนตายด้วยกันทั้งคู่แล้ว

“ฝ่าบาทก็ลองหาโอกาสทูลไทเฮาแล้วกันเพคะ” เจียงเซี่ยนตอบจ้าวอี้อย่างขอไปที นางคุยกับจ้าวอี้อย่างเรื่อยเปื่อยอีกเล็กน้อย แล้วก็เริ่มถูมือ

จ้าวอี้รู้ว่านางร่างกายไม่แข็งแรง กลัวว่านางจะแข็งตาย จึงกลับห้องอุ่นตะวันออกพร้อมกับนาง

ไทฮองไทเฮารีบสั่งให้นางในยกชาร้อนเข้ามาให้ทุกคน

ทุกคนดื่มชา พลางนั่งคุยกันบนเตียงอุ่น

จ้าวอี้อยู่รับประทานอาหารมื้อเย็นที่วังฉือหนิงถึงจะจากไป

พอเจียงเซี่ยนกลับถึงตำหนักตงซานก็สั่งให้ฉิงเค่อไปสืบเรื่องเซียวหรงเหนียง และกำชับนางเสียงเบา “…อย่าให้คนอื่นรู้เด็ดขาด เวลานี้นางอาจจะตั้งครรภ์โอรสของฝ่าบาทอยู่”

ฉิงเค่อตกใจมาก สีหน้าซีดเผือด ทว่ายังคงเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ท่านหญิงวางใจได้ ข้าทราบดีเจ้าค่ะ”

นางทำงาน เจียงเซี่ยนก็วางใจมาตลอด

เจียงเซี่ยนพยักหน้า แล้วให้เถิงหลัวเอาเงินให้นางห้าสิบตำลึง

ฉิงเค่อสอดเก็บไว้ในอกเสื้อโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

ไป๋ซู่มาหานางเพื่อเย็บปักถักร้อย

เจียงเซี่ยนไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลย จึงวางตะกร้าหวายที่นางเอามาไว้ข้างหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ใครยังอยากให้เจ้าสวมเสื้อผ้าใหม่งั้นหรือ? ดึกขนาดนี้ ระวังจะเจ็บตา”

ไป๋ซู่ก็ไม่ใช่คนที่ชอบเย็บปักถักร้อยเช่นกัน

นางจึงพิงหมอนใบใหญ่ตรงหัวเตียงอุ่นเสียเลย แล้วเอ่ยพลางถอนหายใจว่า “แค่รู้สึกเบื่อ เลยอยากคุยกับเจ้าหน่อยเท่านั้นเอง”

เมื่อก่อนพวกนางก็มักจะเป็นแบบนี้

เจียงเซี่ยนให้ติงเซียงไปชงชามากาหนึ่ง “ใช้ชาต้าหงเผาที่ส่งบรรณาการมาคราวที่แล้วแล้วกัน”

ติงเซียงขานรับด้วยรอยยิ้มระรื่นแล้วออกไป

ไป๋ซู่ก็เอ่ยว่า “ไทเฮาก็เช่นกัน ใต้หล้านี้ไม่ช้าก็เร็วก็เป็นของฝ่าบาท ทำไมนางถึงไม่เหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตระกูลเฉาสักทางด้วย ไม่ให้อำนาจฝ่าบาทแม้แต่นิดเดียวเช่นนี้ ต่อไปเฉิงเอินกงจะทำอย่างไรเล่า?”

————————————-