บทที่ 3

 

 

“หึ! ”

 

เสียงหัวเราะดังหลุดออกมาโดยไม่มีเวลาให้กลั้นมันเอาไว้

 

คนที่เรียกเธอคือบุตรชายของเบเจอร์ เขามีชื่อว่าเบเลซัก

 

เขาไม่มีส่วนไหนคล้ายกับมารดาอย่างเซรัลเลยแม้แต่ส่วนเดียว ชายหนุ่มผู้มีผมและนัยน์ตาสีน้ำตาลหน้าตาถอดแบบเบเจอร์ราวกับคัดลอกมาจากพิมพ์เดียวกัน เป็นใบหน้าตาดาษดื่นที่ดูชั่วร้าย แต่เพราะเป็นหลานชายคนโตของลอมบาร์เดีย จึงเป็นเหตุผลหลักๆ ที่ดึงดูดผู้หญิงเข้าหาอย่างไม่ขาดสาย

 

“วะฮ่าฮ่า!”

 

ทว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กผู้ชายอายุราวสิบขวบเท่านั้น

 

เบเลซักทำแต่เรื่องสกปรก จนเธอต้องคอยตามเก็บกวาด เขาเป็นผู้ชายที่ทำให้เธอต้องกัดฟันแน่นข่มความโกรธเคืองทุกครั้งที่พบหน้า แต่เบเลซักในวัยเด็กกลับมีรูปร่างหน้าตาที่น่ารักพอควร

 

“หัวเราะข้าอย่างนั้นเหรอ! ?”

 

ถึงแม้ไอ้นิสัยหัวร้อนนั่นจะไม่ได้น่ารักเลยแม้แต่นิดเดียวก็เถอะ

 

แต่ถึงยังไงเธอก็เป็นฝ่ายหัวเราะเขาก่อน เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่อีกฝ่ายจะอารมณ์เสีย พอตั้งใจว่าจะเอ่ยขอโทษออกไปคำพูดหยาบคายของอีกฝ่ายก็ดังออกมาไม่หยุดตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว

 

“นังเลือดผสมโสโครก เจ้ากล้าหัวเราะเยาะใครหา!”

 

“เลือดผสม?”

 

ฟีเรนเทียเริ่มนึกออกได้รางๆ ทีละน้อย

 

คำที่เบเลซักรวมถึงลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ เรียกเธออย่างเหยียดหยาม แค่เพราะแม่ของเธอเป็นสามัญชน

 

“พี่ ดูเหมือนว่ายายเลือดผสมมันจะโกรธแล้วละ”

 

เสียงที่เต็มไปด้วยคำยั่วยุเบเลซักทำให้เธอหันไปมองจึงได้เห็นว่าข้างเขามีอาสทัลลีอู บุตรชายคนโตของลุงรองอยู่ด้วย

 

หากเบเลซักทำให้เธอต้องคอยปวดหัวกับเรื่องการใช้ความรุนแรงและชีวิตส่วนตัวที่เละเทะแล้วละก็อาสทัลลีอูก็เป็นพวกเชื้อร้ายกัดกินสมองที่ลุ่มหลงอยู่กับการพนัน

 

ไอ้โง่กล้ามโต สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่แค่มองปราดเดียวก็รู้ไส้รู้พุง เป็นเพียงแค่เหยื่อที่ดีต่อพวกเจ้าของบ่อนการพนันเท่านั้น สุดท้ายคนคนนี้ก็เกือบถูกท่านปู่ขับไล่ออกจากตระกูล ก่อนจะย้ายเข้าไปเป็นอัศวินฝึกหัดในกองกำลังอัศวินประจำตระกูลลอมบาร์เดียในวัยที่ช้าเกินกว่าคนอื่นมาก

 

เพราะหนี้สินการพนันของอาสทัลลีอู ทำให้ที่ดินหลายผืนปลิวหลุดลอยไป

 

ใช่แล้ว สองคนนี้มักจะตัวติดกัน คอยกลั่นแกล้งเธอเสมอ

 

“โมโหแล้วจะทำไม”

 

“คงจะร้องไห้จนฉี่ราดอีกแล้วละสิ”

 

สมัยนั้นเธอเคยกลัวสองคนนี้มากจริงๆ

 

ถึงจะบอกว่ามันเป็นแค่การหยอกล้อกันเล่นของเด็กๆ แต่การกลั่นแกล้งของพวกเขามันรุนแรงและโหดร้ายมากเกินไป

 

เดิมทีก็มีคำกล่าวที่ว่าพวกเด็กๆ มักจะแกล้งกันรุนแรงกว่าอยู่แล้วตัวเธอในตอนนั้นทั้งยังเด็ก ทั้งยังไม่มีกำลังที่จะรับมืออย่างกล้าหาญกับความไม่เป็นมิตรพวกนั้นเพราะฉะนั้นเวลาที่ต้องเจอสองคนนี่แบบนี้ เธอก็จะวิ่งหนีไป หรือไม่ก็ได้แต่ยืนตัวสั่นขาแข็งจนวิ่งไม่ออก ได้แต่ภาวนาให้เรื่องทั้งหมดมันจบลงไวๆ

 

บางครั้งอาจจะจบลงแค่การล้อเลียนและพูดจาแดกดันกันเท่านั้น แต่ถ้าหากเป็นวันที่เบเลซักอารมณ์ไม่ดีแล้วละก็ วันนั้นเธอก็จะเต็มไปด้วยบาดแผลฟกช้ำเต็มตัว

 

ถ้าหากท่านพ่อโมโหเพราะเรื่องนั้น เบเจอร์กับลอเรนซ์ก็จะตำหนิบอกว่า ‘มันเป็นขั้นตอนการเติบโตของพวกเด็กๆ จะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ทำไม’

 

“ฮู่ว”

 

แต่เธอก็ยังพยายามที่จะควบคุมอารมณ์โกรธให้สงบลง แล้วถามออกไป

 

“เบเลซัก ตอนนี้ข้าอายุเท่าไหร่?”

 

“หา?”

 

เบเลซักมองเธอที่ถามคำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยออกมาด้วยสีหน้าประหลาด

 

“ถามว่าข้าอายุเท่าไหร่ไง”

 

เดิมทีอยากจะทำเสียงให้มันดูดุดันและน่ากลัวมากกว่านี้อีกหน่อย แต่เพราะอยู่ในร่างเด็ก การจะกดเสียงต่ำมันเลยมีขีดจำกัดอยู่บ้าง

 

“หรือนี่ไม่รู้กระทั่งเรื่องนั้น”

 

พอเธอพูดยั่วทำราวกับเมินเฉย เบเลซักก็ตอบกลับมาด้วยความโมโห

 

“เจ้าเจ็ดขวบไม่ใช่หรือไง! ข้ารู้หรอกน่ะ!”

 

โอ้โห งั้นนี่เธอก็อายุเจ็ดขวบสินะ

 

“ใช่ ข้าเจ็ดขวบ และเจ้าก็สิบ ส่วนอาสทัลลีอูก็แปดใช่มั้ย”

 

พวกเขาอายุห่างกับเธอประมาณสามกับหนึ่งปี เธอจึงพอจะคำนวณอายุของทั้งสองคนได้

 

“ตอนนี้ก็โตขึ้นพอสมควรแล้ว คิดจะทำตัวเป็นเด็กอยู่อย่างนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน”

 

ปกติพวกเด็กๆ มักจะเอาแต่คิดว่าตัวเองโตมากพอแล้ว

 

“จะเอาแต่ล้อลูกพี่ลูกน้องว่าเลือดผสมแบบนั้นอยู่เรื่อยไม่ได้สิ”

 

เธอตั้งใจว่าจะพยายามโน้มน้าวพวกเขาทั้งสองคนดีๆ

 

พวกเด็กๆ จะไปรู้อะไรถึงได้ทำตัวแบบนี้ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของพวกผู้ใหญ่ทั้งนั้น

 

แต่พลังของเบเลซักกลับมุ่งร้ายขึ้นมา

 

“ลูกพี่ลูกน้อง? เด็ก?”

 

ดูเหมือนจะมีเรื่องอารมณ์เสียมาจากที่ไหนอยู่ก่อนหน้าแล้ว แสดงว่าที่มาหาเรื่องเธอนี่ก็เพราะต้องการที่ระบายความโกรธตั้งแต่แรกแล้วสินะ

 

เบเลซักหอบหายใจด้วยความโกรธพลางเดินเข้ามาใกล้ เขาจ้องเธอด้วยสายตาข่มขู่

 

“ท่าจะบ้าไปแล้ว”

 

จากนั้นเด็กชายก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นสูง

 

แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ไม่ตบลงมา คล้ายกับว่ากำลังรออยู่ครู่หนึ่ง อีกฝ่ายคงรอคอยที่จะเห็นท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่นของเธอ แต่พอไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองตามที่ต้องการ คนที่เป็นฝ่ายตื่นตระหนกจึงเป็นเบเลซักกับอาสทัลลีอูแทน

 

และความอับอายนั่นก็แสดงออกมาในรูปแบบของการกระทำที่หยาบคายใส่เธอ

 

“โอ๊ย!”

 

มือข้างที่ชูขึ้นสูงเปลี่ยนมาเป็นกระชากผมเธออย่างรุนแรง ก่อนจะผลักเธอด้วยแรงทั้งหมดที่มี

 

ด้วยแรงนั่นทำให้เธอล้มจนหัวเข่ากระแทก หนังศีรษะก็แสบร้อนไปหมด

 

พอเงยหน้าขึ้นมาถึงได้เห็นว่าในมือของเบเลซักมีเส้นผมสีน้ำตาลของเธอที่ถูกเขาดึงออกไปอยู่หลายเส้น

 

“ฮ่าฮ่า! สภาพดูดีนะ!”

 

ใบหน้าของคนที่ชี้นิ้วหัวเราะเยาะเธอนั่น ช่างเหมือนกับใบหน้ายามที่สั่งงานเธอราวกับเป็นข้ารับใช้ หลังจากที่บังเอิญพบหน้าตอนเขาโมโหออกมาจากห้องทำงานของท่านปู่เหลือเกิน

 

ความรู้สึกที่สงบลงเพราะเห็นว่าเป็นแค่เด็กเริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมาด้วยความโกรธ

 

“เป็นแค่เลือดผสมชั้นต่ำ กล้าดียังไงมาสั่งสอนข้า”

 

เบเลซักพูดในขณะที่ผลักศีรษะของเธอที่ล้มกองอยู่บนพื้น

 

“คิดว่าแค่ใช้นามสกุลเดียวกัน แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพวกเราสินะ”

 

อาสทัลลีอูเองก็กำลังหัวเราะเยาะอย่างน่ารังเกียจอยู่ข้างหลัง

 

“เจ้าไม่ใช่ลอมบาร์เดีย เพราะฉะนั้นรีบไสหัวกลับไปเขตสามัญชนได้แล้ว ยายเลือดผสม”

 

“บอกแล้วไงว่าอย่า”

 

“อะไร”

 

“ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าเรียกข้าว่าเลือดผสม”

 

เธอยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นถีบเข้าที่หน้าแข้งของเบเลซักทั้งๆ ที่ยังล้มอยู่บนพื้น

 

แม้มันจะไม่ได้แรงอะไรขนาดนั้นหรอก แต่หน้าแข้งเป็นตำแหน่งที่แค่กระทบนิดเดียวก็เจ็บง่ายอยู่แล้ว

 

“อ๊าก!”

 

เบเลซักกรีดร้องเสียงดังลั่น ก่อนจะล้มขาพับถอยไปข้างหลัง ปวดร้าวไปทั้งขาจนต้องกลิ้งอยู่บนพื้น

 

ส่วนเธอก็หยิบหนังสือที่หล่นอยู่ข้างตัวแล้วลุกขึ้นยืน

 

“หะ…หน็อย!”