บทที่ 8 เงินในกระเป๋าไม่พอ EnjoyBook
บทที่ 8 เงินในกระเป๋าไม่พอ
ฉู่ชวิ๋นแอบยิ้มฝืด ๆ ในใจ สงสัยว่าจะต้องรบกวนเฉินฮั่นหลงอีกรอบแล้วละ
“ขอตัวคุยโทรศัพท์ได้รึเปล่า?” ฉู่ชวิ๋นถามหงหลิง
“ได้แน่นอนสิ” หงหลิงพยักหน้า แค่จะคุยโทรศัพท์มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เธอคาดว่าเขาคงจะไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ เงินในการประมูลของเธอก็จะมากขึ้นอีก
“รบกวนยืมโทรศัพท์ของคุณหน่อยได้ไหม?” ฉู่ชวิ๋นเดินตรงไปหาหงหลิง
“เอ่ออ….” หงหลิงยืนนิ่งไปพักใหญ่ คนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ก่อนจะหัวเราะขึ้นเสียงดัง
“ไอ้หนุ่ม อย่าบอกนะว่าเงินที่จะซื้อโทรศัพท์ก็ไม่มีน่ะ?”
หงหลิงหลุดจากภวังค์ก่อนจะมองฉู่ชวิ๋นแบบแปลก ๆ แล้วพูดขึ้น “คุณบอกเบอร์มา เดี๋ยวฉันจะโทรให้” ในโทรศัพท์ของเธอมีความลับมากมายที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลในเมืองกู่เจียงจะให้คนอื่นยืมไปใช้ง่าย ๆ ได้ยังไง
“ผมไม่รู้เบอร์ แต่คิดว่าในโทรศัพท์ของคุณน่าจะมีนะ” เขาพอจะเดาออกว่าหงหลิงคนนี้ไม่ธรรมดา ในเมื่อสามารถที่จะเอาคนร่ำคนรวยมาอยู่ด้วยกันในที่เล็ก ๆ แบบนี้ได้ แสดงว่าจะต้องเป็นคนกว้างขวางพอสมควร และเขาก็เคยเห็นว่าในห้องทำงานของเฉินฮั่นหลงมีพวกของโบราณมากมาย อาจจะมาจากที่นี่ก็ได้
ฉู่ชวิ๋นพูดจบ คนอื่น ๆ ก็ยืนนิ่งอีกครั้ง แม้แต่หงหลิงก็มีสีหน้าที่เหมือนขี้ไม่ออก
“ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเบอร์โทร ไอ้หนุ่มนี่ออกมาจากโรงพยาบาลบ้ารึไง?” มีคนพูดขึ้นมาอย่างเหยียด ๆ เถ้าแก่โจวโมโหเอาการ คิดไม่ถึงว่าจะโดนคนบ้าหลอก ท่าทางเขาจะต้องเสียเงินยี่สิบล้านแน่ ๆ
สีหน้าของหงหลิงไม่สู้ดีนัก ก่อนหน้านี้ถูกลุคเรียบหรูของฉู่ชวิ๋นหลอกไปซะได้ ลืมที่จะตรวจเช็กดูให้ดีก็ปล่อยให้เข้ามาที่นี่ได้ง่าย ๆ ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดเรื่องน่าขันแบบนี้ได้
“แค่จะคุยโทรศัพท์ มันยากขนาดนั้นเลยรึไง?” พอเห็นว่าหงหลิงไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ฉู่ชวิ๋นก็ถามขึ้นมา
“คุณจะโทรหาใคร?” หงหลิงพูดอย่างไม่ชอบใจ
“เฉินฮั่นหลง บอกเขาไปว่าผมรอเขาอยู่ที่นี่”
“เฉินฮั่นหลง ประธานกรรมการบริษัทเทียนหยวน?” หงหลิงมีสีหน้าที่แปลกใจก่อนจะถามขึ้นอีก “นี่คุณรู้จักเฉินฮั่นหลงจริง ๆ งั้นเหรอ?”
ฉู่ชวิ๋นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “เคยเจอกันครั้งหนึ่ง” หงหลิงเลือดขึ้นหน้าและแทบจะกระอักเลือดออกมา
เธอต้องรู้จักเฉินฮั่นหลงอยู่แล้ว คนในนี้ก็ต้องรู้จักเหมือนกัน ถ้าเทียบเรื่องเงินเรื่องทองเถ้าแก่หลายคนก็ไม่น้อยหน้า แต่เฉินฮั่นหลงมีอย่างหนึ่งที่ทำให้ทุกคนกลัว ก็คือถึงแม้ว่าเขาจะชุบตัวเองจนสะอาดแล้ว แต่ก็ยังควบคุมพวกใต้ดินกว่าครึ่งของกู่เจียง เคยเจอแค่ครั้งเดียว ก็จะให้เธอโทรหา? ถึงแม้เธอจะรู้จักคนในกู่เจียงมากมาย แต่ถ้าเกิดไปผิดใจกับเฉินฮั่นหลงเข้า คนที่จะออกมาปกป้องเธอคงจะมีไม่กี่คน
“ไอ้หนุ่มนี่มันบ้าจริง ๆ”
“ไอ้หนุ่ม ฉันไม่สนหรอกนะ ถึงแม้ว่านายจะออกมาจากโรงพยาบาลบ้า แต่ว่าการกระทำของนายวันนี้ทำให้ฉันเสียเงินไปยี่สิบล้าน เตรียมตัวตายได้เลย”
“ที่แท้ก็แค่คนบ้า รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!”
หงหลิงมีสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เรื่องวันนี้ทำให้พวกเถ้าแก่เสียหน้า ดูเหมือนว่าเธอจะต้องลงทุนหนักเพื่อรักษาความสัมพันธ์ใหม่เสียแล้ว ในใจนึกเกลียดฉู่ชวิ๋นเป็นอย่างมาก และในตอนที่หงหลิงกำลังจะเรียกคนมาเอาตัวฉู่ชวิ๋นโยนออกไปนั่นเอง
ฉู่ชวิ๋นก็รีบพูดขึ้นมา “แค่โทรไปหาแค่นั้น ถ้าเกิดว่าเฉินฮั่นหลงมาจริง ๆ ล่ะก็ จะเป็นยังไงลองคิดดูให้ดี ๆ”
หงหลิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฉู่ชวิ๋นก็พูดถูก ถ้าเกิดว่าเฉินฮั่นหลงมาจริง ๆ ล่ะ? การที่เธอโยนฉู่ชวิ๋นออกไปก็ต้องเป็นการทำให้เธอผิดใจกับเฉินฮั่นหลงอีกแน่ ๆ แต่ถ้าเธอโทรไปมันอาจทำให้เฉินฮั่นหลงไม่พอใจเธอได้ หงหลิงรู้สึกปวดหัวอย่างบอกไม่ถูก
“หงหลิง คุณไม่ต้องกังวล ผมกับประธานเฉินรู้จักกันพอสมควร ผมจะเป็นคนโทรหาเขาเอง ผมไม่เชื่อหรอกว่าไอ้หนุ่มนี่จะรู้จักประธานเฉินจริง ๆ ให้ผมเป็นคนเปิดโปงมันเองละกัน” คนที่ดูสง่านั่นลุกขึ้นมาพูด
“งั้นก็ต้องขอบคุณ ท่านหลี่แล้วค่ะ” หงหลิงรู้สึกขอบคุณอย่างบอกไม่ถูกให้คนอื่นโทรคงจะดีกว่า
“คุณหงหลิงไม่ต้องเกรงใจ แต่พอจบเรื่องอย่าลืมเลี้ยงข้าวผมละกัน” ชายสง่ายิ้มเล็กน้อย การที่เขาโทรไปครั้งนี้หนึ่งคือสามารถตัดปัญหาของหงหลิงได้ทำให้เธอรู้สึกขอบคุณตัวเอง และสองก็เป็นการพิสูจน์เรื่องเส้นสายของตัวเองด้วย ถือได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว ส่วนฉู่ชวิ๋นก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้
โทรออกไปพักเดียว ปลายสายก็รับ
“สวัสดีครับประธานเฉิน ผมคือหลี่เทียน” ชายสง่าพูดขึ้นยิ้ม ๆ
“ประธานหลี่นี้เอง ไม่ทราบว่าโทรหาผมมีธุระอะไร?” เสียงของปลายสายเป็นของเฉินฮั่นหลง
“เรื่องมันเป็นแบบนี้…คือตอนนี้ผมอยู่ที่ร้านขายสมบัติ มีเรื่องน่าสนใจนิดหน่อยเกี่ยวกับคุณ ก็เลยอยากจะโทรหาเพื่อยืนยันสักหน่อย”
“มีเรื่องเกี่ยวกับผม?”
“คือแบบนี้ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง บอกว่าเขารู้จักคุณบอกให้คุณมาหาที่ร้านขายสมบัตินี่หน่อย”
“รู้จักผม…ใครกัน?”
“ดูเหมือนเขาว่าจะชื่อ ฉู่ชวิ๋น”
“พรึ้บ…ตรูดตรูดดดด”
เสียงวางสายดังขึ้น ก่อนจะเงียบไปเลย
เมื่อเฉินฮั่นหลงได้ยินชื่อของฉู่ชวิ๋นก็ราวกับโดนสายฟ้าฟาด เขาโยนโทรศัพท์ทิ้งก่อนจะรีบวิ่งออกประตูพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
“รีบเตรียมรถให้ฉันเดี๋ยวนี้!” อีกด้านหนึ่ง…หลี่เทียนที่ถือโทรศัพท์อยู่อึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะกดโทรไปอีกครั้งแต่กลับไม่มีคนรับสาย
“ประธานเฉินว่าไงบ้าง?” มีคนถามหลี่เทียน
“ประธานเฉินวางสายไปแล้ว” หลี่เทียนชะงักไปพร้อมกับบอกด้วยสีหน้าที่สงสัย
“ประธานเฉินวางสายไป ก็แสดงว่าเขาไม่รู้จักไอ้หนุ่มนี่”
“มีเหตุผล พวกเราโดนไอ้หนุ่มบ้านี่หลอกอีกแล้ว” หลี่เทียนขมวดคิ้วเข้าหากัน เขารู้สึกว่าปฏิกิริยาของเฉินฮั่นหลงมันแปลก ๆ ทำไมพอได้ยินชื่อของฉู่ชวิ๋นถึงต้องรีบร้อนวางสายไปแบบนั้น
“นายรู้จักประธานเฉินจริงงั้นเหรอ?” หลี่เทียนถามฉู่ชวิ๋น เขามีความรู้สึกว่าฉู่ชวิ๋นไม่ได้โกหก ฉู่ชวิ๋นทำเป็นไม่สนใจ เหมือนไม่ได้ยิน
“ยังจะมีหน้ามาแกล้งทำอีก คุณหงหลิงยังไม่เรียกคนมาโยนตัวไอ้หนุ่มออกไปอีก?” มีคนพูดขึ้นอย่างเหิมเกริม
“เรื่องแบบนี้จะให้คุณหงหลิงทำได้ยังไง ฉันจัดการเอง” เถ้าแก่โจวมองไปที่ฉู่ชวิ๋นอย่างไม่เป็นมิตร ก่อนจะกดโทรศัพท์เพื่อโทรออก
พักเดียว หนุ่มชายฉกรรจ์สองคนก็เดินเข้ามา ตรงไปหาเถ้าแก่โจวก่อนจะพูดขึ้น “เถ้าแก่ มีอะไรให้รับใช้ครับ?”
“เอาไอ้หนุ่มนี้โยนออกไป ซ้อมมันให้พิการแล้วเอาไปให้หมากิน” คนอื่น ๆ มองอย่างสะใจและสนุกสนาน ดูเหมือนว่าเถ้าแก่โจวจะโมโหแล้ว ไอ้หนุ่มนี่ช่างน่าสงสารจริง ๆ ชายฉกรรจ์สองคนพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปหาฉู่ชวิ๋น ร่างกายผอม ๆ และบอบบางนั่นไม่คณนามือของพวกเขาเลยสักนิด เหมือนลูกไก่ในกำมือมากกว่า พวกเขาเข้าไปจับแขนทั้งสองข้างของฉู่ชวิ๋นราวกับรวบปีกไก่ หวังจะเอาเขาโยนออกไป
ฉู่ชวิ๋นที่สายตามองต่ำอยู่เงยหน้าขึ้นมาเบิกตากว้างเผยให้เห็นแววตาเย็นยะเยือก ก่อนจะดีดนิ้วชี้ออกไปอย่างแรง
“บึก บึก”
เสียงที่เหมือนกับมีดแทงทะลุใบไม้ดังขึ้นสองครั้ง ชายฉกรรจ์ทั้งสองรู้สึกว่าฝ่ามือเจ็บปวดปานจะขาดใจจึงก้มดู ฝ่ามือตัวเองโดนนิ้วของฉู่ชวิ๋นแทงทะลุถึงได้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“เอะอะ น่ารำคาญ!”
หมัดอันรุนแรงต่อยไปที่คอหอยของชายฉกรรจ์ทั้งสอง เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเงียบไปทันที ทั้งสองกระเด็นไปนอนที่หน้าเถ้าแก่โจวก่อนจะก่อนจะสลบไป
เถ้าแก่โจวมองอย่างดุดัน กล้ามเนื้อบนหน้ากระตุกสองสามที คนอื่น ๆ มองไปยังชายฉกรรจ์ทั้งสองอย่างตกตะลึง สายตาล่องลอย
ฉู่ชวิ๋นเก็บมืออย่างช้า ๆ เหมือนว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ยี่สิบเอ็ดล้าน”
ผู้คนเงียบไปนานก่อนจะหลุดจากภวังค์ แล้วมองดูอย่างเงียบ ๆ เหมือนว่าทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
สายตาของฉู่ชวิ๋นมองตรงไปที่เถ้าแก่โจว “คุณอยากจะเพิ่มราคาอีกไหม?”
เถ้าแก่โจวยังไม่ทันได้อ้าปากก็มีคนเดินเข้ามาในร้านและก็คือเฉินฮั่นหลงนั่นเอง
เฉินฮั่นหลงมองข้ามคนอื่น ๆ พอเห็นฉู่ชวิ๋นก็รีบเดินเข้าไปหา ก่อนจะพูดอย่างสุภาพ “ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ครับที่ผมมาช้า”
ประโยคนั้นทำให้คนอื่น ๆ เหมือนมีอะไรมาทิ่มหัวใจ คาดไม่ถึงว่าเฉินฮั่นหลงจะเคารพไอ้หนุ่มนั่นขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นพวกคนใหญ่คนโต? แต่ว่าจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง เป็นพวกคนใหญ่คนโตทำไมถึงไม่มีเงินล่ะ?
“ขอโทษที่รบกวนนายนะ” พอเห็นเหงื่อบนหน้าผากของเฉินฮั่นหลง ฉู่ชวิ๋น ก็พอจะรู้ว่าเขารีบขนาดไหน
“ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เฉินฮั่นหลงมองไปที่คนอื่น ๆ ด้วยสายตาที่ดุดัน
“ไม่มีอะไร ก็แค่อยากได้ของชิ้นหนึ่ง ต้องโทษที่ที่กระเป๋าเงินผมมันแบนไปหน่อย สู้เถ้าแก่โจวคนนั้นไม่ได้ ก็เลยต้องรบกวนคุณแล้วล่ะ”
เฉินฮั่นหลงมองไปที่เถ้าแก่โจวด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก “เถ้าแก่โจวช่างมีเงินมากมายซะจริง!”
ในตอนที่เถ้าแก่โจวเห็นเฉินฮั่นหลงเดินเข้ามาก็รู้แล้วว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ ธุรกิจการขนส่งของเขาอยู่ในพื้นที่ของเฉินฮั่นหลง เขายิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ประธานเฉิน มันก็แค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น ผมยินดีที่จะขอโทษน้องชายคนนั้น”
“น้องชาย? นี่แกกล้าเรียกท่านแบบนี้ได้ยังไงกัน?” เฉินฮั่นหลงด่าอย่างแรง ขนาดตัวเขาเองยังเรียกฉู่ชวิ๋นว่าท่านเลย
ไม่ทันได้ให้เถ้าแก่โจวแก้ตัว เฉินฮั่นหลงก็หันไปโค้งคำนับให้กับฉู่ชวิ๋น
“ท่านวางใจได้ เรื่องนี้ผมจัดการเอง” พอเฉินฮั่นหลงพูดจบก็มองไปรอบ ๆ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเรียบ “นับแต่นี้เป็นต้นไป ทุกท่านยังสามารถประมูลต่อได้ แต่ไม่ว่าจะประมูลเท่าไหร่ ถือว่าผมประมูลด้วยราคาที่สูงกว่าพวกคุณสองเท่า!” ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเชื่อว่าฉู่ชวิ๋นจะรู้จักกับเฉินฮั่นหลง เลยทำเหมือนเขาเป็นตัวตลก
แต่ว่าตอนนี้เรื่องราวมันชัดเจนมากแล้วและเฉินฮั่นหลงก็ยังดูเคารพฉู่ชวิ๋น อย่างมากอีกต่างหาก เรื่องมันแตกต่างจากที่พวกเขาคิดไว้มาก มาถึงตอนนี้แล้วใครมันจะอยากจะหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวกันล่ะ และเพราะแบบนี้เอง พอเฉินฮั่นหลงพูดจบก็ไม่มีใครกล้าขัดขึ้นมาอีก