บทที่ 7 สถานชุมนุม

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

“เรื่องจัดการนั้น จัดการได้แน่นอน เพียงแต่…”

เจ้าอ้วนลำบากใจอยู่บ้าง เพราะรู้ว่าในงานชุมนุมดำนั้น ผู้เข้าร่วมล้วนเป็นคนแบบไหน

ผู้ร้ายฆ่าคน โจรปล้นชิง โจรภูเขา ขโมย คนที่ความเป็นมาไม่ชัดเจนอันใดต่างล้วนเข้าไป ถ้าพี่เซิ่งไม่ระวังตัวเกิดความขัดแย้งกับคนอื่น บาดเจ็บขึ้นมา นั่นจึงไม่คุ้ม

“เพียงแค่ข้า ไม่ทำตัวเด่น ดีมั้ย” ลู่เซิ่งยิ้มๆ ทราบถึงความกังวลของอีกฝ่าย

เขาไม่เพียงเป็นตัวแทนของตัวเอง ยังเป็นตัวแทนตระกูลลู่ในเมืองเก้าประสาน หากเกิดได้รับอันตรายอันใด ตระกูลลู่จะต้องมาคิดบัญชีกับเจิ้งเสี่ยนกุ้ยแน่

“ทราบก็ดีแล้ว สถานะของพี่เซิ่งท่านแตกต่าง ถ้าเป็นคนอื่นๆ ข้าก็ไม่เป็นห่วงขนาดนั้น…” เจิ้งเสี่ยนกุ้ยกล่าวพลางถอนหายใจ

“รู้แล้ว เจ้าไปจัดการให้ข้าเถอะ สิ่งนี้ข้าจะต้องเอามาให้ได้” ลู่เซิ่งอดกำชับไม่ได้

“เฮ้อ…” เจิ้งเสี่ยนกุ้ยจนปัญญา ได้แต่ตอบรับ

ลู่เซิ่งกับเขายืนยันเวลาเริ่มงานชุมนุมดำ จากนั้นเพียงรอเจิ้งเสี่ยนกุ้ยให้คนส่งเทียบเชิญแขกผู้มีเกียรติมาให้ใบหนึ่ง

เขาได้เทียบเชิญแล้ว ค่อยออกจากเหลาสุราไป

“แป้งน้ำสีชาดชั้นเลิศ คุณหนู คุณผู้หญิงรีบมาดูเร็ว”

“ของระดับหนึ่งชั้นเลิศ เป็นของจงหยวนที่เข้ามาจากเมืองม่วงโชติ!”

“สีชาดกลิ่นหอมดอกจื่อหยาง[1] ร้านอื่นๆ ไม่มีเด็ดขาด!”

บนถนนนอกเหลาสุรา คนหาบเร่ หลายคนเข็นรถไม้ขายแป้งน้ำ ค่อยๆ เลียบเลาะไปตามริมถนน

ลู่เซิ่งกวาดตามอง ถนนเส้นนี้มีไว้ขายแป้งน้ำสีชาดโดยเฉพาะ

สตรีจำนวนไม่น้อยต่างชมชอบมาเดินเล่นที่นี่

แสงอาทิตย์อุทัยสาดลงบนถนนที่ฝนเพิ่งตกปรอยๆ พื้นชื้นแฉะสะท้อนแสงเป็นสีแดงจางๆ ผืนหนึ่ง

ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจออกมา ลมหายใจเพิ่งออกจากปาก ก็กลายเป็นไอสีขาวค่อยๆ กระจายตัวไป

เขาหันไปมองเหลาสุรามัจฉาทอง แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาทำให้เกิดเงาดำขนาดใหญ่

เหลาสุราขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองเก้าประสานแห่งนี้ เวลานี้กำลังอยู่ในช่วงคึกคัก แขกที่ เข้าออกมารับประทานอาหารมีไม่ขาดสาย เสียงจึงดังจอแจเป็นพิเศษ

ลู่เซิ่งยืนอยู่ในเงาดำของเหลาสุรา มองไปยังสองฟากถนน

สถานที่อื่นๆ ที่อยู่ห่างจากประตูเหลาสุราล้วนเย็นฉ่ำอยู่บ้าง

คนหาบเร่หลายคนเข็นรถแป้งน้ำอย่างช้าๆ เคลื่อนไหวอยู่ในเงามืดไม่หยุด

ลู่เซิ่งมองไปมองมา คิดอยากซื้อของขวัญเล็กๆ กลับไปให้มารดารองกับอีอี แป้งน้ำเหล่านี้ราคาไม่แพง คุณภาพบางครั้งก็หาที่ดีได้ กลับเป็นของขวัญเล็กๆ ที่ไม่เลว

เขาเดินเลาะไปตามถนนหลายก้าว คิดดูว่าจะเลือกซื้อของจากคนหาบเร่คนไหน

เวลาเย็นเช่นนี้ บนถนนเย็นฉ่ำกว่าเดิม ร้านค้าหลายร้านปิดประตูแล้ว

คนที่เดินบนถนนทั้งสองข้างมีไม่มาก เห็นแค่ไม่กี่คน

สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจคือ ทั้งๆ ที่เห็นว่ารอบๆ ไม่มีคน คนหาบเร่ที่ขายแป้งน้ำเหล่านั้น ยังพยายามตะโกนด้วยรอยยิ้ม

เสียงตะโกนดังสลับกัน สะท้อนไปมาบนถนนใหญ่ที่ว่างเปล่า

ลู่เซิ่งหยีตา ไม่รู้สึกแปลกใจเลย พูดในใจว่า นี่อาจเป็นปรากฏการณ์และกฎเกณฑ์พิเศษของโลกใบนี้

เขาเลือกดูทั้งซ้ายและขวา จนเจอรถเข็นที่ถูกทาเป็นสีแดงจางๆ คันหนึ่ง คนหาบเร่คนนี้ปักธงคันหนึ่งไว้บนรถเข็น ข้างบนเขียนว่า แป้งน้ำของที่ระลึกจากจงหยวน

คนหาบเร่ค่อยๆ เคลื่อนย้ายรถไป รอยยิ้มประดับบนใบหน้า ใส่เสื้อสีเทา สวมหมวกหนังรูปเปลือกแตงโมสีเทา

‘จำได้ว่าแป้งน้ำที่ระลึกเป็นเครื่องหมายการค้าเก่าแก่ที่ค่อนข้างได้ตามมาตรฐานของจงหยวน’

ลู่เซิ่งหวนนึกในความทรงจำ ค่อยๆ เดินไปหารถเข็นของคนหาบเร่คนนั้น คิดจะเลือกแป้งน้ำที่ดีให้มารดารองกับอีอี

คนหาบเร่ผู้นั้นค่อยๆ เดินไปด้านหน้า ด้านข้างมีเด็กๆ ที่กำลังกำลังเล่นไล่จับกันอยู่อย่างสนุกสนาน

เขาค่อยๆ เข็นรถผ่านเด็กๆ พวกนั้น จากนั้นก็เดินอ้อมไปยังตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งในร่มเงาข้างทาง

ลู่เซิ่งคิดว่าเขาคงกำลังจะเก็บรถแล้ว จึงเตรียมเร่งฝีเท้าตามให้ทัน

“เฮ้! พี่เซิ่ง!”

อยู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งเรียกเขามาจากด้านหลัง

เสียงคุ้นหูยิ่ง คล้ายเป็นคนรู้จัก

ลู่เซิ่งหันกลับไปมอง เห็นบัณฑิตร่างกำยำผิวสีดำคล้ำคนหนึ่ง

“หลูเซิงหรือ”

เขาลังเลเล็กน้อย จำสถานะอีกฝ่ายได้

หลูเซิง หลูจวี้อี้เป็นคุณชายบ้านรวยตามมาตรฐานในเมืองเก้าประสานเหมือนลู่เชิง แต่เขาต่างจากคนอื่นๆ คนผู้นี้เป็นคนมีผลงานและมีชื่อเสียง ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเพิ่งสอบซิ่วไฉ[2]ได้ ว่ากันว่าความสามารถด้านวรรณกรรมของเขาไม่เลว

หลูจวี้อี้ความจริงมีความสัมพันธ์กับเขาธรรมดามาก เพียงแต่เป็นเพราะชื่อของเขาเหมือนผู้กล้าเขาเหลียงซานคนหนึ่ง ดังนั้นลู่เซิ่งได้ยินครั้งเดียวก็จำเขาได้แล้ว

“พี่เซิ่ง ยุทธภพต้องการความช่วยเหลือ!” หลูจวี้อี้เดินเข้าใกล้เขาอีกสองก้าว

ลู่เซิ่งพลันเข้าใจแล้วว่าคนผู้นี้มาตามหาเขาเพื่ออะไร ถึงแม้จะเป็นคุณชายบ้านรวย แต่ว่าหมอนี้ชมชอบเล่นพนันยิ่ง มักเล่นจนถุงย่ามอับอาย ยืมเงินชาวบ้านไปทั่ว

ตอนนี้คงจะเล่นพนันจนหมดตัวอีกแล้ว

เขายิ้มพลางหยิบแท่งเงินสิบตำลังจากในถุงข้างเอว ส่งไปให้

“วันนี้โชคเป็นอย่างไรบ้าง”

“ยังดีๆ ฮ่าๆๆ ยังเป็นพี่เซิ่งมีน้ำใจ”

หลูจวี้อี้หยิบแท่งเงินได้ ก็เดินจากไปอย่างเร่งรีบ

ลู่เซิ่งส่ายหน้า เงินทองล้วนเป็นเรื่องเล็ก ตรงกันข้ามตระกูลหลูมีทรัพย์สมบัติมากมาย แค่หันหลังกลับก็มีคนส่งเงินมาแล้ว

เขาหันหน้ากลับไปหาคนหาบเร่ที่ขายแป้งน้ำผู้นั้น

รถเข็นของคนหาบเร่เข้าไปในตรอกแล้ว เหลือเพียงครึ่งเล็กๆ โผล่ออกมาด้านนอก

เขาเพิ่มความเร็ว ก้าวเท้าจากสองก้าวเป็นสามก้าว เดินไปอย่างรวดเร็ว

อ้อมเข้าไปในตรอก

“เอ๋?”

ลู่เซิ่งหยุดฝีเท้าลงอย่างฉับพลัน

ตรอกนี้ถึงกับเป็นทางตัน!

ด้านในว่างเปล่า ไหนเลยจะมีรถเข็นอันใด แม้แต่เงาคนก็หายไปด้วย

เขาขยี้สองตา ร่างกายเตรียมระวังตัวเล็กน้อย

เขาตรวจสอบตรอกตันเส้นนี้อย่างละเอียดตั้งแต่ต้นถึงปลาย จากซ้ายไปขวารอบหนึ่ง

ตรอกที่ยาวแค่สิบกว่าหมี่เส้นนี้ สองข้างล้วนเป็นกำแพงของตัวบ้านสีดำอมเทา ปลายสุดของตรอกถูกกำแพงสีดำที่ดูเก่าแก่อยู่บ้างกั้นไว้ ด้านบนติดป้ายผนึกหลายใบ

ป้ายผนึกที่มีตัวอักษรสีแดง ภายใต้แสงอาทิตย์อัศดงดูมืดครึ้มอยู่บ้าง ยังมีมุมหนึ่งเลิกขึ้น คล้ายไม่มีความเหนียวแล้ว

‘บนกำแพงไม่มีประตูลับ เช่นนั้นรถเข็นไปไหนแล้ว…’

ลู่เซิ่งทบทวนความทรงจำ เขาจำได้อย่างชัดเจนว่ารถเข็นคันเล็กเข้ามาในตรอกนี้

เขาถอยออกไป เห็นเด็กหลายคนกำลังเล่นไล่จับกันอยู่

เด็กเหล่านี้เครื่องแต่งกายธรรมดา ดูท่าทางเป็นลูกหลานของคนทั่วไป

ลู่เซิ่งเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้ม ล้วงเงินทองแดงหลายแผ่นออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ ลากเด็กหญิงคนหนึ่งที่กำลังวิ่งไล่จับกันอยู่ออกมา

“แม่นางน้อย ขอถามเจ้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”

“พี่ชายท่านต้องการถามอะไร ”

แม่นางน้อยมัดผมแกะ อายุเก้าถึงสิบปี ใบหน้ารูปไข่แดงเรื่อ อาจเป็นเพราะมักเล่นบนท้องถนน จึงไม่กลัวคนแปลกหน้า ตอบอย่างปลอดโปร่ง

“พี่ชายอยากถามว่า เจ้าเห็นรถเข็นแป้งน้ำคันที่ผ่านทางนี้ไปเมื่อครู่ไหม ใช่เข้ามาในตรอกนี้หรือไม่”

ลู่เซิ่งยัดเงินทองแดงสองแผ่นใส่มือของแม่นางน้อย

เด็กคนนี้พลันยิ้มหน้าบาน

“ข้าไม่เห็นรถแป้งน้ำ พวกเราเล่นอยู่ที่นี่ทุกวัน รถแป้งน้ำปกติตอนเช้าถึงจะมาขาย ตอนบ่ายล้วนไปทางถนนโบราณแล้ว”

“มองไม่เห็นหรือ”

ลู่เซิ่งงุนงง รู้สึกว่าเด็กผู้หญิงนี้ตั้งใจโกหก

เมื่อเห็นสีหน้าของเขา แม่นางน้อยเบิ่งตาตอบอย่างจริงจัง

“ที่ข้าพูดเป็นความจริง บนถนนวันนี้ไม่มีรถสักคัน ไม่เชื่อท่านไปถามคนอื่นดู ถนนว่างเปล่าไม่มีอะไรสักอย่างเดียว”

เวลานี้เด็กที่เหลือต่างวิ่งมาสนับสนุนคำพูดของเธอ

“ใช่แล้วๆ มารดาของข้า ยังเตรียมจะมาซื้อของ แต่กลับไม่เห็นรถเข็นเหล่านั้นสักคัน น่าแปลกจริงๆ”

“พี่ชายคนนี้บอกว่าเขาเพิ่งเห็น รถแป้งน้ำที่ระลึกคันหนึ่ง” แม่นางน้อยชี้ไปที่ลู่เซิ่งพลางเอ่ย

“ที่ไหนหรือ ที่ไหน”

“ไม่เห็นมีเลย ถนนใหญ่ขนาดนี้”

“พี่ชายเห็นในฝันกระมัง คิกๆๆ…”

พวกเด็กๆ พูดไปพูดมาก็เริ่มหัวเราะขึ้นแล้ว

รอยยิ้มบนใบหน้าลู่เซิ่งค่อยๆ หายไปแล้ว

เขาหันไปมองเหลาสุรามัจฉาทอง

ใต้เงามืดของเหลาสุรา คนยังไปๆมาๆ การค้าคึกคัก

ทางนั้นคึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง กลายเป็นการประชันความครึกครื้นกับความสงบของถนนด้านนี้

“เช่นนั้นพวกเจ้าเห็นหรือไม่ว่า…”

ลู่เซิ่งหันกลับมา เสียงของเขาพลันชะงัก

เด็กๆ ที่อยู่ด้านข้างของเขาเหล่านั้น ไม่ทราบว่าหายไปตั้งแต่ตอนไหน

มองไปบนถนนรอบๆ โล่งว่างเปล่า ไม่มีอะไรสักอย่าง

แม้แต่ผู้คนก็หายไปด้วย

เสียงเอะอะของเด็กๆ หายไปอย่างฉับพลัน กล่าวตามเหตุผลเด็กอายุเท่านี้ไม่อาจเงียบเสียงลงพร้อมกันได้หมดอย่างนี้

ลู่เซิ่งมั่นใจว่าตนอย่างไรก็เป็นคนที่ฝึกฝนดาบพยัคฆ์ดำ ฟังเสียงลม แยกแยะตำแหน่งได้ แม้แต่หมาป่ายังรู้สึกได้ ตอนนี้ถึงกับไม่พบเสียงที่ห่างออกไปของเด็กหลายคน

ขณะมองเส้นทางที่เปล่าเปลี่ยวเงียบสงัด เขาพลันตัวสั่นระริก รีบเร่งฝีเท้าเดินไปเหลาสุรามัจฉาทอง

ตุบๆๆ…

เสียงฝีเท้าแจ่มชัดผิดธรรมดา เขายิ่งเข้าใกล้เหลาสุรา ร่างกายยิ่งรู้สึกถึงความอบอุ่นสายหนึ่ง

ฟู่ม!

ทันใดนั้น เหมือนกับเขาโผล่พ้นจากผิวน้ำ ลู่เซิ่งพลันรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบตัวสดใสขึ้นมา เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ลูกค้าที่มีร่างกายอบอุ่นหลายคนเดินผ่านตัวเขาไป มีคนที่ไม่ระวังชนเขาเข้า และยังรีบร้อนกล่าวขอโทษเขาด้วย

ยังมีสตรีที่ลงจากบนรถม้า ค่อยๆ เดินเข้าไปในเหลาสุราด้วยรอยยิ้ม เด็กรับใช้รีบต้อนรับเข้าไป

ยืนอยู่หน้าเหลาสุรา ลู่เซิ่งหันไปมองถนนที่ขายแป้งน้ำเส้นนั้น กลับไม่ทราบว่ามีคนเดินถนนส่วนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตอนไหน

เป็นคนละเรื่องกับความเย็นยะเยือกเมื่อก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

ลู่เซิ่งสูดหายใจอย่างหนาวเหน็บ เร่งฝีเท้าไปขวางรถม้าไว้คันหนึ่ง

“ไปคฤหาสน์ลู่”

“ได้ขอรับ ท่านนั่งดีๆ!”

คนขับรถฟาดแส้ม้าออกไป ม้าตัวผอมพลันเหยาะย่างอย่างเชื่องช้า

เมื่อนั่งบนรถม้า ลู่เซิ่งหวนนึกถึงเรื่องที่ได้เจอก่อนหน้านี้

คนหาบเร่คนนั้น เด็กกลุ่มนั้น ต่างไม่ธรรมดายิ่ง

เมื่อเขานึกทบทวนขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าคนหาบเร่ผู้นั้นคล้ายไม่ขยับเขยื้อน มอบความรู้สึกที่แปลกปลอมถึงขีดสุดอย่างหนึ่งให้แก่ผู้คน

เชื่อมโยงกับคดีสะเทือนขวัญของตระกูลสวี เขาพลันมีความรู้สึกฝนจะมาลมพัดห้องหอ[3]

“ในเมืองนี้อันตรายขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…” เขาพึมพำ

รถม้ามาถึงประตูใหญ่คฤหาสน์ลู่อย่างรวดเร็ว

คนเฝ้าประตูเห็นลู่เซิ่งที่นั่งอยู่บนรถ รีบออกมาต้อนรับ

“คุณชายใหญ่ ท่านมาถึงแล้วหรือ”

คนเฝ้าประตูแซ่หวาง ในตระกูลจัดอยู่ลำดับแปด ทุกคนปกติต่างเรียกเขาว่าเสี่ยวปา(แปดน้อย) เป็นเด็กมีไหวพริบดี ปีนี้เพิ่งอายุสิบเจ็ดปี รับช่วงงานต่อจากบิดา มาเป็นคนเฝ้าประตูที่ตระกูลลู่

เสี่ยวปากับลู่เซิ่งคุ้นเคยกันดี ปกติจะเล่าเรื่องประหลาดน่าสนใจที่แพร่หลายอยู่นอกเมืองส่วนหนึ่งให้ลู่เซิ่งฟัง

นี่เป็นสิ่งที่ลู่เซิ่งชอบฟังเช่นกัน

“นายท่านผู้เฒ่าอยู่ไหม”

ลู่เซิ่งลงรถแล้วจ่ายเงิน แล้วเอ่ยปากถามขึ้น

“นายท่านผู้เฒ่าไปที่ทำการแล้ว ใต้เท้าข้าหลวงเรียกท่านไป ดูเหมือนกำลังหาอะไรอยู่”

เสี่ยวปาตอบด้วยรอยยิ้ม

“หาสิ่งใดหรือ”

ลู่เซิ่งหลายวันมานี้ยุ่งกับเรื่องของตัวเอง กลับไม่ได้สนใจเรื่องในคฤหาสน์

“สิ่งของอันใด”

……………………………………….

[1] ดอกจื่อหยาง คือ ดอกไฮเดรนเยีย

[2] ซิ่วไฉ เป็นคำเรียกผู้สอบผ่านระดับอำเภอ

[3] ฝนจะมาลมพัดห้องหอ หมายถึง สัญญาณถึงสิ่งผิดธรรมดาที่กำลังจะมา